หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 272 หวั่นหวั่นพบประมุข
“ท่านไม่กังวลว่าองค์ประมุขจะได้พบองค์หญิงน้อยหรือ?” ราชครูเอ่ยถาม
หนานกงหลีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “องค์ประมุขไม่เคยพบตี้จีองค์โต แม้จะได้พบองค์หญิงน้อยก็จำนางไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างหากจำนางได้ จะไม่เป็นการดียิ่งกว่าหรือ?”
ผู้คนต่างรู้ดี องค์ประมุขไม่เต็มใจจะรับรู้ถึงตี้จีองค์โต หากทรงทราบว่าบุตรสาวของนางมาที่หนานจ้าว และไม่รีบขับไล่ออกจากหนานจ้าวให้เร็วที่สุดก็คงแปลกแล้วกระมัง
ยิ่งไปกว่านั้นตี้จีองค์โตไม่ได้แต่งงานกับประมุขแห่งเผ่าปีศาจหรอกหรือ? เหตุใดนางถึงกลายมาเป็นภรรยาของคนในต้าโจวได้? ข้อหาความผิดนี้องค์ประมุขไม่มีทางปรานีคนครอบครัวนั้นเป็นแน่
หนานกงหลีออกจากสำนักราชครูไปเยี่ยงผู้มีชัย
ความจริงขอเพียงคนพวกนั้นออกไปจากเมืองหลวง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
หนานกงหลีปัดแขนเสื้อกว้างก่อนจะขึ้นรถม้าของจวนประมุขหญิง
“องค์ชาย พวกเราจะกลับจวนเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” สารถีเอ่ยถาม
หนานกงหลีชะงัก “ไม่ ไปที่ศาลาเทียนจิ่น ข้าจะเลือกหนังสือต้นฉบับไปให้ท่านพ่อสักสองสามเล่ม”
ราชบุตรเขยรักหนังสือ ทุกคนรู้กันดี องค์ชายน้อยเคารพเขา และแสวงหาหนังสือต้นฉบับที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกมุมโลกมาให้เขา ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ความกตัญญูนี้กลายเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ถูกเล่าขานกันทั่วหนานจ้าว
เขาปฏิบัติต่อบิดาอย่างบริสุทธิ์จริงใจ หากเทียบกันแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉานับเป็นสิ่งใดกัน?
สิ่งใดทำให้ท่านพ่อคะนึงถึงเขาไม่เคยลืม?
ความอิจฉาริษยาที่ไม่อาจบรรยายท่วมล้นหัวใจหนานกงหลี
เขาสูดหายใจ ข่มกลั้นมันลงไป
แค่สุนัขข้างถนนที่กำลังจะถูกเขี่ยออกจากหนานจ้าว ไยข้าต้องลดตัวลงไปเทียบชั้น?
แน่นอน การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อกำจัดจอกหนามในตาของตนเอง สกุลเห้อเหลียนสมรู้ร่วมคิดกับราชวงศ์ต้าโจว อาชญานี้เพียงพอที่พวกเขาจะล้มทั้งตระกูลให้วอดวาย เมื่อถึงตอนนั้น เขาและท่านแม่จะออกหน้าร้องขอความเมตตาแทนสกุลเห้อเหลียน องค์ประมุขต้องปูทางให้ประมุขหญิง และอาจทำให้สกุลเห้อเหลียนเป็นหนี้บุญเจ้าประมุขหญิงในครั้งนี้
ขอเพียงสกุลเห้อเหลียนพึ่งพาอาศัยจวนประมุขหญิง ราชบัลลังก์ของประมุขหญิงก็จะยิ่งมั่นคง
ณ จวนเห้อเหลียน
เด็กชายสามคนอ่อนแรงไร้กำลัง ข้าวก็ไม่กิน นมก็ไม่ดื่ม เอาแต่นอนในอ้อมแขนของบิดามารดาอยู่อย่างนั้น
เสี่ยวเป่ายึดครองมารดาไว้เพียงผู้เดียว จึงทำท่าอวดเบ่งมากเป็นพิเศษ
ใครใช้ให้เขาป่วยน้อยที่สุด อีกทั้งแขนขาเล็กๆ ก็ยังมีพละกำลังมากที่สุด?
แน่นอนว่ามีพละกำลังมากที่สุด เป็นแค่คำพูดที่ใช้เปรียบเทียบ แท้จริงอาการของเขาก็มิได้สู้ดีนัก
มื้อเช้ากินโจ๊กไปได้ครึ่งชาม มื้อกลางวันก็กินไม่ลงเสียแล้ว
“เสี่ยวเป่า กินสักคำนะ” อวี๋หวั่นยื่นช้อนโจ๊กนุ่มละมุนลิ้นป้อนเขา
เสี่ยวเป่าหันหน้าหนี “ไม่กิน”
“เสี่ยวเป่ารู้สึกไม่ดีมากเลยใช่ไหม?” อวี๋หวั่นวางช้อนลง แล้วตบหลังบุตรชายเบาๆ
เสี่ยวเป่าไม่ได้บอกว่าเขารู้สึกไม่ดี แต่ท่าทางเซื่องซึมนั้นเห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกแย่มาก
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าไข้สูงจนเริ่มเหม่อลอย
เด็กน้อยทั้งสองนั่งอย่างว่างเปล่าภายในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาหมายจะไปหยิบของบางอย่าง จึงวางพวกเขาลงบนธรณีประตู พวกเขาก็ไม่เอะอะ นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่เช่นนั้น ราวกับบุตรชายผู้โง่เขลาสองคนของเจ้าบ้าน
อวี๋หวั่นจะไปเตรียมยาจึงวางเสี่ยวเป่าลง
สามพี่น้องนั่งกันอย่างโฉดเฉา
เมื่ออวี๋หวั่นเตรียมขี้ผึ้งลดไข้กลับมา เด็กชายโง่เขลาจากสามก็กลายเป็นสี่
ซิวหลัวก็มาเช่นกัน
ซิวหลัวนั่งบนธรณีประตูถัดจากต้าเป่า สองมือวางบนเข่า ทั้งล่องลอย ทั้งเชื่อฟังและน่าสงสาร
จะโทษผู้ใดละ?
อวี๋หวั่นพูดในใจ
ใครให้เจ้ารีดนมแพะทุกวัน?
คงจะติดหวัดจากเด็กพวกนี้แล้วกระมัง?
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
ทั้งสี่คนจามติดกันเป็นชนวน
อวี๋หวั่นกุมขมับ
เธอไม่อาจไล่ตะเพิดชายผู้นี้ออกไปได้จริงๆ และก็ไม่อาจนั่งดูดายไม่จัดการสิ่งใดได้เช่นกัน หมดสิ้นหนทาง ได้แต่ทำยาขี้ผึ้งเพิ่มอีกหนึ่งชุด ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อและทาบลงบนหน้าผากของพวกเขา
เด็กสามผู้ใหญ่หนึ่ง ต่างแปะห่อคลายความร้อนของทารกที่อวี๋หวั่นทำด้วยตนเอง
อาการป่วยหนักถึงเพียงนี้ แค่ห่อคลายร้อนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอแน่ ยังต้องกินยาด้วย ปริมาณยาของพวกเขาแตกต่างกัน ทว่ารสชาติเหมือนกัน
อวี๋หวั่นยื่นชามยาใบที่ใหญ่ที่สุดให้ซิวหลัว
ซิวหลัวกลั้นใจกลืนลงไปด้วยแรงฮึด จากนั้นตาก็กลอกกลับเป็นสีขาวและแลบลิ้นออกมาด้วยความขมของรสยา!
แต่ไม่กินยาก็กินนมไม่ได้
ซิวหลัวมองไปที่ขวดนมเล็กๆ บนโต๊ะและกล้ำกลืนยารสขมลงคอด้วยความอัปยศอดสู
ไข่ดำทั้งสามก็ดื่มด้วยความทรมานเช่นกัน
หลังจากพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมดื่มนมแล้ว พวกเขาก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนป่วยร่วมทุกข์กันอีก!
…
มื้อเย็น จู่ๆ เสี่ยวเป่าก็บอกว่าอยากกินฝูหยวนจื่อ
ห้องครัวของจวนก็รีบทำฝูหยวนจื่อออกมาชามหนึ่ง ทว่าเสี่ยวเป่ากลับส่ายหัวและกล่าวอย่างออดอ้อน “ไม่ใช่อันนี้”
“เช่นนั้นคืออันไหน?” อวี๋หวั่นถาม
“อันนั้น” เสี่ยวเป่ากล่าวพร้อมกับชี้ไปข้างนอก
“อันไหน?” อวี๋หวั่นยังคงงง
เสี่ยวเป่าเริ่มร้อนรน “ก็คือ…ก็คือ…อันนั้นไง!”
อวี๋หวั่นกอดเสี่ยวเป่า พลางมองไปยังสามีด้วยความแปลกใจ “ท่านเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก “เขาพูดถึง ร้านค้าร้านหนึ่ง”
ในวันที่เสี่ยวเป่าหนีออกจากบ้าน เขาได้พบกับราชบุตรเขยโดยบังเอิญ ราชบุตรเขยพาเขาไปกินอาหาร และสิ่งที่เขากินก็คือฝูหยวนจื่อ
หากเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าใจไม่ผิด บุตรชายของเขากำลังอยากกินฝูหยวนจื่อ[1]ของที่นั่น
“ท่านยังจำได้รึไม่ว่ามันอยู่ที่ใด?” อวี๋หวั่นถาม
“อื้อ” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า
อวี๋หวั่นอุ้มเสี่ยวเป่าที่ไม่ยอมลงจากแขนของเธอ เดินไปหน้าเตียงและบีบแก้มของเด็กน้อยทั้งสอง “พ่อกับแม่พาต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าออกไปกินฝูหยวนจื่อดีหรือไม่?”
เด็กน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเตียงพยักหน้าอย่างล่องลอย
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มพวกเขาและเดินออกจากห้องไปพร้อมกับอวี๋หวั่นที่อุ้มเสี่ยวเป่า
จากประตูหลังของจวนเห้อเหลียนไปยังร้านค้ามีทางลัดอยู่สายหนึ่ง ใช้เวลาเดินไม่ถึงครึ่งเค่อ เยี่ยนจิ่วเฉาจึงไม่ได้สั่งเตรียมรถม้า เดินเอื่อยๆ ไปตามตรอกกับภรรยาราวกับคู่รักชาวบ้านทั่วไป
“เหตุใดท่านถึงรู้จักถนนนี้ได้?” อวี๋หวั่นอยู่ที่นี่มานาน แต่เธอยังไม่รู้เลยว่าออกจากประตูหลังเลี้ยวซ้ายมีตรอกเช่นนี้อยู่ด้วย
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัด “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนเจ้ารึ?”
นี่เขาด่าเธอว่าโง่ทางอ้อมเช่นนั้นหรือ?!
“ท่านแม่พูดกับเสี่ยวเป่า!” เสี่ยวเป่ากอดคออวี๋หวั่น จากเดิมที่รักจะยึดครองท่านแม่ไว้คนเดียวอยู่แล้ว มายามนี้เกิดเจ็บป่วยก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน แค่บิดามารดาคุยกับสองประโยคก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
อวี๋หวั่นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แม่อยากคุยกับท่านพ่อ”
“ไม่ได้ๆ ท่านแม่คุยกับเสี่ยวเป่าได้เท่านั้น” เสี่ยวเป่าบิดก้นไม่ยินยอม
หลังจากกระวนกระวายถึงสองครั้ง ร่างกายก็เริ่มมีเหงื่อออก
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าอาการของเสี่ยวเป่าดีขึ้นเล็กน้อย
ครอบครัวห้าคนเดินมาถึงร้านขายฝูหยวนจื่อ ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ ว่ากันว่าสืบทอดกันมาถึงสามชั่วอายุคนแล้ว อย่ามองว่าเป็นเพียงหน้าร้านเล็กๆ ทว่าธุรกิจกลับดำเนินไปได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ ครั้งก่อนเสี่ยวเป่ากับราชบุตรเขยมานอกเวลามื้ออาหาร ทว่ายามนี้เป็นเวลามื้ออาหารพอดี ทั้งด้านนอกและด้านในต่างเต็มไปด้วยผู้คนล้นหลาม
เยี่ยนจิ่วเฉาพาอวี๋หวั่นไปที่ภัตตาคารฝั่งตรงข้าม และจองห้องพักระดับสูงที่กินราคาอย่างต่ำสุดสองสามตำลึง เพื่อฝูหยวนจื่อราคาเจ็ดแปดเหรียญทองแดงเพียงสองสามชาม อวี๋หวั่นรู้สึกว่ายามที่บุรุษผู้นี้จะทำตามใจบุตรชาย ก็ตามใจมากระดับหนึ่งทีเดียว
อวี๋หวั่นหยิบกระเป๋าบนหลังเยี่ยนจิ่วเฉา หาชุดใหม่มาเปลี่ยนให้เสี่ยวเป่า
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่านอนแน่นิ่งในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา เนื้อตัวจึงไม่เปียกเหงื่อ
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่าเดินได้แล้ว อวี๋หวั่นจึงจูงมือเขาลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อฝูหยวนจื่อที่เขาอยากกิน
เสี่ยวเป่าอยากกินฝูหยวนจื่อหรือไม่ อวี๋หวั่นไม่รู้ แต่มั่นใจว่าเขาอยากออกมาเดินเล่นสูดอากาศจริงๆ คนตัวเล็กมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น ต่างจากต้นกล้าป่วยไร้เรี่ยวแรงเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน
เวลานี้คนเริ่มเยอะแล้ว ไม่เพียงแต่ร้านค้าเต็มแน่นไปด้วยผู้คน แม้กระทั่งแถวรอก็แทบไร้ที่ให้แทรกเท้ายืน
อวี๋หวั่นกังวลว่าเด็กน้อยจะถูกคนเบียดเสียด พลันคว้าตัวเขาอุ้มขึ้นมา
เสี่ยวเป่ามีความสุข หันซ้ายแลขวาไปมาในอ้อมแขนของท่านแม่
ทั้งสองยืนต่อแถวมาประมาณครึ่งเค่อ ไม่นานก็จะถึงพวกเขาแล้ว ทันใดนั้นเสี่ยวเป่าก็จับกางเกง “ปวดฉี่”
“ตอนนี้หรือ?” อวี๋หวั่นหันมองสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าแล้วหันกลับไปมองเสี่ยวเป่า “ทนไหวไหม?”
“ไม่ไหว” เสี่ยวเป่าส่ายหัว
อวี๋หวั่นถูกคนตัวเล็กทำให้หมดอารมณ์ ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พลางอุ้มเขาไปที่ห้องสุขาหลังร้าน
หลังจากปลดทุกข์เบาเรียบร้อย เสี่ยวเป่าก็ออกมาด้วยอารมณ์สดชื่น
อวี๋หวั่นล้างมือด้วยน้ำจากบ่อน้ำ
ในขณะที่ล้างอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงพูดมาจากด้านข้าง “เป็นเจ้ารึ?”
“หือ?” เสี่ยวเป่าหันไปมองอีกฝ่าย
อวี๋หวั่นก็หันไปมองเช่นกัน
เป็นชายชราที่ดูไม่เหมือนปุถุชนธรรมดาทั่วไป แต่งกายภูมิฐานดูดี ไม่หรูหราฉูดฉาดเกินงามแต่กลับให้ความรู้สึกเงียบขรึมสงบนิ่ง
อวี๋หวั่นเห็นว่าอีกฝ่ายพูดกับบุตรชายของเธอ แต่เธอจำไม่ได้ว่าพวกเขาเคยพบกัน
คนผู้นั้นคลี่ยิ้มอ่อนโยน เดินไปบีบแก้มของเสี่ยวเป่า “จำข้าไม่ได้หรือ?”
เสี่ยวเป่าจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง
อีกฝ่ายจึงแกล้งทำโกรธ “กินอาหารบ้านข้ามากเพียงนั้น หันมาอีกทีเจ้าก็ลืมข้าไปแล้วรึ?”
กินอาหารบ้านเขา? เด็กพวกนี้เคยกินอาหารที่บ้านคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?
ช้าก่อน จวนข้างเคียง
ต้าเป่า
ชายชราผู้นี้คงมิใช่เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่จวนข้างเคียงหรอกกระมัง?
ต้าเป่าใช้โพรงสุนัขลอดเข้าไปในบ้านคน ยามออกมาท้องเล็กๆ ก็กลมป่อง ดูแล้วคงกินอะไรมาไม่น้อยเลย
สายตาอวี๋หวั่นตกกระทบร่างของเขา “ที่แท้ ท่านก็คือนายท่านผู้ใจดีคนนั้นเอง ข้าเป็นแม่ของต้าเป่า ครั้งก่อนต้าเป่าทำให้ท่านลำบากแล้ว แต่เด็กคนนี้ไม่ใช่ต้าเป่า เป็นเสี่ยวเป่าเจ้าค่ะ”
องค์ประมุขหันมองอวี๋หวั่น เค้าหน้าสวยสดงดงามหน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่อาจบอกได้ว่างามเพริศพริ้งเกินไป แต่กลับมีอารมณ์สุขุมอ่อนโยน
องค์ประมุขตกตะลึงไปชั่วครู่
เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจบอกได้ว่าตนเองแปลกใจในสิ่งใด
…………………………………………
[1] ฝูหยวนจื่อ แปลว่าลูกกลมลอยน้ำ ซึ่งกลายมาเป็นทังหยวนในปัจจุบัน