หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 291 ตี้จีองค์โตกลับมา
หนานกงหลีได้ยินว่าองค์ประมุขตื่นแล้วจึงรีบไปที่จื่อเวยเก๋อ
ไม่คาดคิดว่าเขาเข้าประตูไปไม่นาน ก็บัญเอิญได้ยินคำพูดที่บอกว่าจะปลดประมุขหญิง เขาตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
เขารู้ว่าองค์ประมุขจะทรงกริ้ว แต่ไม่คิดว่าจะกริ้วมากถึงเพียงนี้
ท่านแม่คือบุตรสาวที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาบอกว่าจะถอนตำแหน่งก็ถอนเลยหรือ?
หลังจากถอนตำแหน่งละ? ผู้ใดจะสืบทอดบัลลังก์ของประมุข? เด็กที่ถูกเขาเนรเทศออกไปหรือเลือดเนื้อราชวงศ์อื่นในบรรดาราชนิกูล?
มิใช่ว่ารัชสมัยนี้ไม่มีแบบอย่างในการรับสายข้างมาก่อน แต่ประการที่หนึ่ง องค์ประมุขมีตี้จีของตนเอง ประการที่สอง กลุ่มราชวงศ์สายแยกเหล่านั้นไม่โดดเด่นเท่าตี้จีองค์เล็ก
ทว่ายามนี้ ตี้จีองค์เล็กไม่อาจรับมือการใหญ่ ท่านตาจึงต้องยอมเอาสิ่งที่รองลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หันไปหาพวกเขาอย่างนั้นหรือ?
ในช่วงเวลาสั้นๆ ความเป็นไปได้ที่ไม่เคยคาดคิดก่อตัวขึ้นในใจของหนานกงหลีนับไม่ถ้วน
ความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ถือกำเนิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
เขาไม่เคยคาดคิดว่าองค์ประมุขจะปลดมารดาของเขา เขาที่เป็นหลายชายคนโตของฮองเฮา เรื่องนี้เขาเองก็มีส่วนร่วม เขาก็มีส่วนผิด ไม่ว่าเขาจะถูกยุยงส่งเสริมหรือเป็นผู้เริ่มยั่วยุเอง เขาก็ไม่ใช่คนที่จะปัดความรับผิดชอบเช่นนั้น
ท่านแม่จะสูญเสียอำนาจไม่ได้ มิฉะนั้นเขาก็จะสูญเสียตำแหน่งรัชทายาท
หลังจากครุ่นคิด เขาก็คุกเข่าลงกับพื้น มองไปที่องค์ประมุขด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ “ท่านตา! ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้า! ท่านแม่ไม่เกี่ยวข้อง ข้ารู้สึกอิจฉาเยี่ยนจิ่วเฉาที่แย่งท่านพ่อไป! ข้าอิจฉาที่ท่านพ่อรักเขามากกว่าข้า นั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดข้าจึงอยากสั่งสอนเขาสักหน่อย!”
นี่เป็นส่วนหนึ่งของความจริง แน่นอนเหตุผลที่ตรงที่สุดคือประมุขหญิงถูกราชบุตรเขยทำให้ลุ่มหลง เขาทนไม่ได้ที่เห็นท่านแม่ถูกท่านพ่อหลอกใช้ จากนั้นเขาก็คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง แต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายที่จะบอกท่านตา
ท่านแม่ถูกท่านตารังเกียจอยู่แล้ว หากท่านตารู้ว่านางลุ่มหลงบุรุษคนเดียวได้ถึงเพียงนี้ เกรงว่าเขาคงไม่เต็มใจให้นางเป็นประมุขหญิงยิ่งกว่าเก่า
แต่องค์ประมุขจะเชื่อเขาได้อย่างไร?
องค์ประมุขมองตี้จีองค์เล็กที่อยู่ด้านข้างอย่างเย็นชา “ยามเกิดเรื่อง แม้แต่บุตรชายยังรับโทษแทนเจ้า ละอายบ้างหรือไม่!”
เขามารับโทษแทนมารดา แล้วเหตุใดท่านตาถึงยิ่งผิดหวังในตัวมารดา?
หนานกงหลีตื่นตระหนกจนแทบไม่อาจระงับตนเองได้ “ท่านตา! ท่านแม่ไม่ได้สั่งให้ข้าทำ! สิ่งที่ข้ากล่าวเป็นความจริง พิษเป็นของข้า เป็นแผนการของข้า! ท่านแม่ไม่เคยคิด ข้าเป็นคนคิดเอง!”
องค์ประมุขไม่ไหวติง “ข้ารู้ว่าเจ้าทุ่มเทให้กับแม่ของเจ้า แม้เจ้าจะเป็นผู้ร่วมกระทำผิดในเรื่องนี้ ไม่อาจปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่อย่าคิดว่าเจ้าเอาความผิดทั้งหมดมาโทษตนเองแล้วข้าจะให้อภัยพวกเจ้า! ประมุขไร้ปรานี ราษฎรไม่สุขสงบ หากบอกว่าเจ้าเกิดมาในราชวงศ์ ก็ควรจะรู้หลักธรรมและเข้าใจกฎหมายยิ่งกว่าคนทั่วไป ถึงจะเป็นบุตรของตาสีตาสา พวกเขาก็ไม่อาจกระทำการชั่วช้าได้เช่นนี้!”
หนานกงหลีแทบบ้า สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง! เขาทำคนเดียว! มารดาของเขาไม่รู้เรื่อง! ไยท่านตาไม่เชื่อ! ! !
หนานกงหลีขอร้องอ้อนวอนอีกครั้ง กระทั่งบอกวิธีหลอกล่อเด็กรับใช้ไปที่เรือน และวิธีการลงมืออย่างละเอียด แต่ในสายตาขององค์ประมุข เขาก็ยังคงเป็นเพียงผู้ร่วมกระทำผิดเท่านั้น
หากไม่มีความเห็นชอบจากประมุขหญิง เขาก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้
ต้องโทษที่ในอดีต เขามีชื่อเสียงดีเกินไป แสร้งเป็นเด็กดีมากเกินไป
เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เป็นตายอย่างไรองค์ประมุขก็ไม่เชื่อว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
อวี๋หวั่นที่เฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่นอกประตู ก็เลื่อมใสอย่างยิ่ง
เคยเห็นแต่คนที่ดิ้นรนเพื่อปัดความผิด แต่ไม่เคยเห็นคนดิ้นรนเพื่อสารภาพความผิด ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ
“พวกเจ้าย้ายออกจากจวนประมุขหญิงภายในสามวัน” องค์ประมุขตรัสประโยคนี้อย่างไม่แยแส
ตั้งแต่วินาทีที่ประมุขหญิงทราบว่าถูกปลดออกจากตำแหน่ง ทั้งร่างก็นิ่งตะลึงไป
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่!” หนานกงหลีเรียกนาง แต่นางก็ไม่ตอบสนอง
หนานกงหลีให้คนพยุงนางกลับไปที่เรือน
หนานกงหลีคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้านาง พร้อมกับจับมือ “ท่านแม่อย่าได้กังวล ข้าไม่อาจดูดายเห็นท่านเกิดเรื่องได้! ยังเหลือเวลาอีกสามวัน…ข้าต้องหาทางได้แน่!”
น่าเสียดาย สามวันเป็นเพียงเวลาที่จำกัดในการย้ายออกจากจวนประมุขหญิงเท่านั้น ในคืนนั้นองค์ประมุขได้ประกาศปลดประมุขหญิง
องค์ประมุขไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนี้ดึงดูดการคาดเดาของผู้คนจำนวนมาก บางคนกล่าวว่าเป็นเพราะราชบุตรเขยนั้นเป็นเยี่ยนอ๋องจริงๆ ประมุขหญิงสมรู้ร่วมคิดกับเยี่ยนอ๋อง ทำให้องค์ประมุขไม่พอใจ บ้างก็ว่า ประมุขหญิงทำของศักดิ์สิทธิ์หายไป เป็นความผิดที่ไม่อาจอภัย
องค์ประมุขไม่ได้ให้ความสนใจกับการคาดเดาเหล่านี้ เขารู้สึกราวกับหัวจะระเบิด วันรุ่งขึ้นจึงหยุดพักว่าราชการ
เมื่อหยุดพักว่าราชการ ก็มีผู้คนที่กล่าวถึงขึ้นหนาหู
องค์ประมุขไม่คิดว่าตนเองเป็นประมุขมานานถึงเพียงนี้ ในปีหลังๆ จะพบเจอกับสถานการณ์ที่ปั่นป่วนเช่นนี้ หรือจะเป็นอย่างที่ราชครูคนเก่าบอก ความโชคดีของหนานจ้าวจะหมดลง
“ความโกลาหลบังเกิด ราชสำนักยุ่งเหยิง ประชาชนปั่นป่วน ความโชคดีได้สิ้นสุดลง”
นี่คือคำกล่าวของราชครูคนเก่า เขาเคยถามราชครูคนเก่าว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่ ราชครูคนเก่ากล่าวว่าอย่างไร?
ราชครูคนเก่ามองไปที่ฮองเฮาและสนมอวิ๋นเฟยที่กำลังตั้งครรภ์ “โชคดีและโชคร้ายเกิดคู่กัน นำความโชคดีเลี่ยงความโชคร้าย อาจเปลี่ยนกลับดีขึ้น”
เพื่อการเปลี่ยนแปลง เขาจึงส่งบุตรสาวคนโตวัยทารกออกไป และทะนุถนอมเลี้ยงดูบุตรสาวคนเล็กอยู่เคียงกาย
แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงก็ยังไม่มาถึง
เขามองท้องฟ้าสีเทาหม่น
ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ
กาลเวลายาวนานเป็นหมื่นๆ ปีของบรรพชน ท้ายที่สุดก็แตกสลายย่อยยับในมือของเขา
เรื่องประมุขหญิงถูกปลด คนที่มีความสุขที่สุดก็คือชุยเฒ่า
เขาให้ห้องครัวเตรียมอาหารชั้นเลิศเต็มโต๊ะใหญ่ ทั้งยังออกไปซื้อเหล้าฮวาเตียวเก่าแก่ที่ร้านอาหารด้วยตนเอง มาเทใสชามใบใหญ่ยกให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นจ้องมองสุราอาหารบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ “วันนี้วันอะไรหรือ? เยอะแยะยิ่งนัก”
ชุยเฒ่ากล่าวว่า “ประมุขหญิงถูกปลดแล้ว มาๆๆ นางหนู เฉลิมฉลองสักหน่อย!”
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “มีอันใดน่าเฉลิมฉลองกันหรือ? ทำอย่างกับนางลาจากตำแหน่งแล้วข้าจะขึ้นไปแทนอย่างนั้นละ!”
ชุยเฒ่าสำลัก “…”
ที่แท้เจ้าก็เป็นอาหวั่นเช่นนี้เอง!
หนานกงเยี่ยนนิสัยไม่ดี แย่งชิงเยี่ยนอ๋อง ทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา นางล้ม อวี๋หวั่นมิได้ไม่มีความสุข แตกต่างกับหนานกงหลี เมื่อคิดว่าทำให้อนาคตของประมุขหญิงดับวูบด้วยมือของตนเอง หนานกงหลีโศกเศร้าเสียใจอย่างหนักหนา
หากรู้แต่แรก เขาคงไม่คิดทำลายเยี่ยนจิ่วเฉา!
แต่เงินทองไม่อาจซื้อยาแก้ความเสียใจ มาพูดสิ่งใดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว มีเพียงต้องหาทางนำทุกอย่างของจวนประมุขหญิงกลับคืนมาเท่านั้น
เขาหมายจะไปหาฮองเฮา แต่ดูเหมือนองค์ประมุขจะคาดได้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น จึงพาฮองเฮาออกจากวังไปอยู่เรือนที่เขาซื้อไว้ในเมือง
หนานกงหลีคว้าอากาศ ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮองเฮา
หนานกงหลียังตามหาผู้อาวุโสที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทในท้องพระโรง ขอร้องพวกเขาช่วยออกหน้าโน้มน้าวองค์ประมุขให้ถอนรับสั่ง
ทว่าไม่มีผู้อาวุโสคนใดกล้าย้อนเกล็ดมังกรในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
หนานกงหลีชกกำปั้นกับเสา!
หนานกงหลีมีชีวิตราบรื่นมาถึงยี่สิบปี ยังไม่เคยสิ้นหวังเช่นยามนี้
เขาเป็นโอรสที่น่าภาคภูมิใจที่สุด เป็นหลานชายคนโตขององค์ประมุข เป็นรัชทายาทในอนาคต เขามีโชคชะตาที่ใต้หล้าต่างไม่อาจเอื้อมแม้เพียงริษยา แน่นอน เขาเองก็มีใจสู้ไม่ยอมผู้ใด ความรู้ความสามารถและพรสวรรค์ เขาก็ไม่ขาดแคลน
ยอดเยี่ยมเช่นเขา ไยสู้ไอ้บ้าเพียงหนึ่งคนไม่ได้?
ไอ้บ้าผู้นั้นนกลับต้าโจวไป ยังได้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง ยามนี้แม้แต่ตำแหน่งองค์ชายเขาก็ยังรักษาไว้ไม่ได้
เขาจะไม่มีวันยอมให้ตนเองพ่ายแพ้เยี่ยนจิ่วเฉาเด็ดขาด
และจะไม่ยอมยกบัลลังก์ที่ได้มาอย่างง่ายดายให้แก่ผู้อื่น
ในขณะที่เขาเกือบจะหมดหวัง เงาของราชครูก็แวบเข้ามาในความคิด
จริงสิ เหตุใดเขาถึงลืมชิ้นส่วนสำคัญเช่นนี้ไปได้?
เขานั่งรถม้าไปยังสำนักราชครู
ระยะนี้ราชครูปิดประตูทำสมาธิภาวนา ไม่รับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก เมื่อได้ยินว่าหนานกงหลีมา เดิมทีราชครูคิดจะไปพบเขาหลังออกการทำสมาธิ แต่ลูกศิษย์ก็มากระตุ้นเขาถึงสองครั้ง แจ้งว่าองค์ชายมีเรื่องสำคัญที่เร่งด่วน ราชครูจึงจำใจออกไปพบอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน สีหน้าของหนานกงหลีก็ซีดเซียวลงมาก
“มีเรื่องอันใดหรือ? แผนร้ายของราชบุตรเขยแดงออกมาแล้วหรือ?” ราชครูถาม
หนานกงหลีกล่าว “ไม่ใช่เรื่องของท่านพ่อ ยามนี้ไม่ใช่เวลาสนใจเขา เป็นเรื่องของท่านแม่ข้า”
“ประมุขหญิงเป็นอันใดรึ?” ราชครูสงสัย
หนานกงหลีกล่าวว่า “ไม่มีประมุขหญิงอีกแล้ว”
ราชครูผงะ
หนานกงหลีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แม่ของข้า นาง…ถูกปลดแล้ว อีกสองวันต้องย้ายออกจากจวนประมุขหญิง ท่านคงรู้ว่าหากย้ายออกไปแล้ว ก็ยากจะกลับไปอีกครั้ง”
หากเพิ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง ขอเพียงยังอาศัยอยู่ในจวน คนภายนอกยังมองว่ามีโอกาสคืนตำแหน่ง แต่หากล่วงรู้ว่าถูกคนในครอบครัวดึงลงมา นี่อาจถือได้ว่าเป็นการดึงฟืนร้อนออกจากใต้หม้อ[1]
หนานกงหลีกล่าวอย่างปวดหัว “ท่านตาอาจรับเด็กคนหนึ่งมาจากสายข้าง ท่านช่วยสอดแนมการเคลื่อนไหวของท่านตาแทนข้าที หากจำเป็นก็พยายามหาทางโน้มน้าวเขา”
ราชครูมุ่นคิ้ว “มีบางอย่างที่ท่านอาจไม่รู้”
“เรื่องอันใด?” หนานกงหลีถาม
“ข้าเพิ่งได้ยินมาเร็วๆ นี้” ราชครูตอบ
“อย่าได้อุบไว้” หนานกงหลีคะยั้นคะยอ
ราชครูถาม “เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่หนานจ้าวได้พบเรื่องปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง ท่านทราบเรื่องหรือไม่?”
หนานกงหลีพยักหน้า “หนึ่งในนั้นคือปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งในจวน”
“เช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่าอีกสามคนที่เหลือคือผู้ใด?” ไม่รอให้หนานกงหลีตอบ ราชครูก็กล่าวต่อ “พวกเขาคือบุตรของเยี่ยนจิ่วเฉา”
หนานกงหลีเกือบตกเก้าอี้ “ทา…ทารกสามคนที่ฟันยังขึ้นไม่ครบนั่นน่ะรึ!!!”
“มีจวนเห้อเหลียน มีวิหารปรมาจารย์พิษอาวุโส ความเป็นไปได้ที่ประมุขจะรับจากสายข้างไม่มากนัก”
ราชครูกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองดูละอองดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืน “ตี้จีองค์โต จะกลับมา”
…………………………………………
[1] ดึงฟืนร้อนออกจากใต้หม้อ หมายถึงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ