หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 299 วิธีของพี่จิ่ว
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดจริงทำจริง
ถึงจะปล่อยให้แม่ของหูจื่อโขกศีรษะจนเลือดไหล เขาก็ยังจะตัดมือข้างหนึ่ง
แต่เป็นมือพ่อของหูจื่อ
พ่อของหูจื่อหดหัวอยู่ในกลุ่มคน มิได้มองทั้งลูกและภรรยา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าเขาคือพ่อของหูจื่อ
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบกลิ่นคาวเลือด
อิ่งสือซันจึงจับเขาไปตัดมือในลานหลังบ้าน
จะตัดมือเขาก็ไม่ผิด เขาให้ลูกและภรรยาออกไปทำงาน ส่วนตนขลุกอยู่แต่ในบ้านคอยนับเงิน เมื่อเกิดเรื่องก็เอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว บุรุษที่ใจร้ายใจดำเช่นนี้ โดนตัดมือไปข้างหนึ่งก็นับว่าสมควรแล้ว
เสียงของพ่อหูจื่อดังลั่นไปทั่วเรือน
ผู้คนซึ่งเดิมทีกลัวเพียงเจ็ดส่วน หลังจากที่พ่อหูจื่อถูกตัดมือ พวกเขาก็กลัวจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ปัสสาวะรดกางเกง
แม่ของหูจื่อเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น
หูจื่อและพรรคพวกกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมา
หลังจากวันนี้ ภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้จะกลายเป็นเงามืด ตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต
แต่ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเห็นใจหรือ?
ไม่เลย
ถ้าหากลูกของเขาไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเป็นอย่างดี คนที่จะมีเงามืดตามหลอกหลอนไปตลอดชีวิตก็คือลูกชายของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว
อิ่งสือซันจับพ่อของหูจื่อซึ่งกำลังเจ็บปวดจนหมดสติไปใส่ถุงกระสอบแล้วลากออกมาจากลานหลังบ้าน สิ่งที่ถือออกมาพร้อมกับถุงกระสอบก็คือกล่องไม้ ในกล่องไม้บรรจุอะไรนั้น ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจ
และเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจ จึงตัวสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม
อิ่งสือสือซันโยนถุงกระสอบและกล่องไม้ออกไปนอกประตูด้วยท่าทางประหนึ่งโยนหัวผักกาดขาวเน่าๆ ออกไป
สิ่งที่เรียกว่าไม่เห็นค่าของชีวิตผู้ใด ก็คือสิ่งนี้แหละ!
เมื่อเทียบกันแล้ว การเขวี้ยงไข่เน่าใส่หรือการตบตีนั้นไม่อาจสู้ได้
ผู้คนต่างตระหนักแล้วว่าพวกเขาได้ไปหาเรื่องปีศาจกลุ่มหนึ่ง หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะไม่ไปหาเงินก้อนนั้นเป็นอันขาด เพียงแต่ว่าตอนนี้ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว…
“คุณชายโปรดไว้ชีวิตด้วย! คุณชายโปรดไว้ชีวิตด้วย! พวกเราไม่ได้ตั้งใจ! พวกเราไม่ทันระวัง!”
“ใช่แล้วขอรับคุณชาย! พวกข้าไม่มีทางเลือก! มีคนสั่งให้พวกข้าทำ!”
“คุณชายได้โปรดเห็นแก่พวกเราที่มีผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กต้องเลี้ยงดูด้วยเถิด!”
“คุณชายปล่อยพวกข้าไปเถิดขอรับ! พวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว!”
“พวกข้าไม่ได้แตะต้องคุณชายน้อยแม้แต่นิดเดียว! เป็นพวกหูจื่อ! เป็นพวกเขา! พวกเขาเป็นคนทำ!”
“พวกเจ้าพูดพล่อยอะไร? ก็เห็นอยู่ว่าทำด้วยกัน ทำไมโยนมาให้ข้าซะละ? เจ้าคนแซ่จาง! เป็นเจ้าที่รับเงินแล้วเรียกให้ข้ามาทำการใหญ่ด้วยกันไม่ใช่เรอะ!”
“ข้า…ข้าให้พวกเจ้ารังแกคุณชายน้อยรึ? ขะๆๆ…ข้า…ข้าให้พวกเจ้ารังแกนางคนนั้นต่างหาก!”
“เจ้าบอกว่าให้ตบตีคุณชายน้อยต่างหาก!”
พวกเขาเริ่มแตกคอกันเอง
เยี่ยนจิ่วเฉาและพวกอิ่งสือซันยืนมองด้วยสีหน้าเย็นชา
กลุ่มคนซึ่งก่อนหน้านี้ร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น พริบตาเดียวก็ตกใจกลัวจนกลายเป็นเม็ดทรายที่กระจายอยู่ในจาน ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่ามโนสำนึก ใช่ว่าจะมีกันทุกคนจริงๆ
ขณะที่พวกเขาเริ่มทะเลาะกันหนักขึ้นและกำลังจะลงไม้ลงมือ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ชี้นิ้วออกมา
อิ่งสือซันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หุบปาก!”
พวกเขาเงียบลงทันที
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามาอย่างมิได้รีบร้อน “พวกเจ้าได้รับคำสั่งจากผู้ใด ใครระบุตัวตนและลักษณะของคนผู้นั้นได้ก่อน ข้าจะปล่อยไป”
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับพ่อของหูจื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว พวกเขาได้เห็นแล้วว่า ผู้ที่ข่มขู่ให้พวกเขาทำเรื่องนี้ก็ยังไม่น่ากลัวเท่าคุณชายคนนี้ คุณชายคนนี้ยังหนุ่มยังแน่น หน้าตางดงามแลดูบริสุทธ์ผุดผ่อง แต่จิตใจกลับโหดเหี้ยมอำมหิต!
นี่ไม่ใช่คุณชายแล้ว นี่มันคนบ้า!!!
“ข้าพูด! ข้าพูด!”
บุรุษฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าคลานเข้ามา
“เจ้าถอยไป! ข้าพูดเอง!” ขอทานอายุห้าสิบต้นๆ เข้ามาจากทางด้านข้าง เขาก็คือคนแซ่จางคนนั้น เป็นขอทานมานานหลายปี จนก่อตั้งกลุ่มขึ้นมา และถูกเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่เรียกว่าหัวหน้าจาง
หัวหน้าจางเปรียบดังงูเจ้าถิ่นตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เขามีหน้ามีตาอยู่บ้าง และสามารถปกปิดสิ่งที่ทำได้อย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมีความสามารถในการแสวงหาทรัพย์ศฤงคารจากอันตรายมากกว่าผู้ใด เพียงแต่ว่าเขาคำนวณผิดพลาดไป เขาคิดมาตลอดว่าจวนประมุขหญิงคือผู้มีอำนาจสูงสุด แต่จวนสกุลเห้อเหลียนไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลายเป็นหินรองเท้าให้จวนประมุขหญิงเหยียบ
ผลก็คือสกุลเห้อเหลียนจะถึงหรือไม่ถึงจุดจบไม่รู้ แต่เขากำลังจะถึงคราวหายนะแล้ว
“คุณชายได้โปรดปล่อยข้าไปเถิดขอรับ ข้ารู้สิ่งใด! ข้าจะบอกทั้งหมด!”
หัวหน้าจางโขกศีรษะหลายครั้ง จนหน้าผากแตกเป็นรอยเลือด
อิ่งสือซันมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้าน้อยๆ
อิ่งสือซันก้าวไปหยุดตรงหน้าเขา “ผู้ใดสั่งพวกเจ้า ผู้ที่สั่งพวกเจ้าบอกอะไรบ้าง”
“เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งขอรับ น่าจะอายุไล่เลี่ยกับท่านจอมยุทธ์ เตี้ยกว่าท่านจอมยุทธ์ประมาณหนึ่งศีรษะเห็นจะได้ โครงหน้าเหลี่ยม คิ้วตก มีไฝอยู่ที่คาง”
ระหว่างที่เขาพูด ชิงเหยียนก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้ววาดรูปพรรณสัณฐานของเขา
หัวหน้าจางเล่าต่อ “เขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร บอกเพียงว่าเขามาทำงานแทนประมุขหญิงรัชทายาท”
“ประมุขหญิงรัชทายาท?” อิ่งสือซันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หัวหน้าจางรีบเปลี่ยนคำพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ตี้จี”
“เล่าต่อสิ!” อิ่งสือซันตะคอก
“ขอรับๆๆ!” หัวหน้าจางปาดเหงื่อ “ข้าถามเขาว่างานอะไร เขาให้ข้าเฝ้าตรอกเส้นนั้นไว้ หากเห็นว่าคุณชายน้อยสกุลเห้อเหลียนผ่านมา ให้หาของมาทุบตีพวกเขา ด่าว่าพวกเขาเป็นกาลกิณี ให้พวกเขาไสหัวออกจากหนานจ้าว ทางที่ดีที่สุดคือทำให้คนสกุลเห้อเหลียนลงไม้ลงมือ เพื่อให้สกุลเห้อเหลียนได้รับโทษฐานสังหารผู้บริสุทธิ์! เขาให้เงินมาห้าพันตำลึง และบอกว่านี่เป็นเพียงมัดจำ หากทำสำเร็จก็จะให้เงินข้าอีกหนึ่งหมื่นตำลึง ขะ…ข้า…ข้าไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ทันทีที่เห็นเงิน…ดวงตาก็…ก็…พร่ามัว คุณชายได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยขอรับ!”
หนึ่งหมื่นห้า จวนประมุขหญิงตระหนี่เสียจริง
เงินจำนวนน้อยนิดแค่นี้แต่คิดจะลากสกุลเห้อเหลียนให้ตกต่ำ
อีกด้านหนึ่ง ชิงเหยียนก็ร่างภาพเสร็จแล้ว เขาส่งให้ให้เยี่ยนจิ่วเฉา “เจ้าดู”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไม่ออก กลับเป็นเจียงไห่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างที่รู้สึกคุ้นตา
เจียงไห่ขมวดคิ้ว “นี่มันลูกศิษย์สำนักราชครูไม่ใช่หรือ? คนที่เฝ้าห้องปรุงยา”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ชิงเหยียนก็รู้สึกคุ้นหน้าขึ้นมาเช่นกัน
พวกเขาลอบเข้าไปในสำนักราชครูระยะหนึ่ง ได้พบกับลูกศิษย์จำนวนไม่น้อย มีหนึ่งในนั้นที่หน้าเหมือนคนในภาพ
ชิงเหยียนกัดฟันกรอด “เป็นคนของสำนักราชครู ที่แท้พวกเขาก็เป็นพวกเดียวกัน!”
เกี่ยวอะไรกับสำนักราชครูอีก? หัวหน้าจางไม่เข้าใจ แต่ผู้น้อยอย่างเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้ เขามองไปยังใบหน้าเย็นเยียบของเหล่านายท่านทั้งหลาย รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “สะ…สะ…สิ่งที่ข้ารู้ ข้าได้เล่าไปหมดแล้ว…ปล่อย…ปล่อยข้าไปได้หรือยังขอรับ?”
พวกชิงเหยียนมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉากวาดสายตาไปมา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคุณชายท่านนี้จะทำอะไร จะสับมือใครอีก ทุกคนล้วนแต่กลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
“อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
“อยากขอรับ!”
“อยากมากขอรับ!”
“คุณชายโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ทุกคนโขกศีรษะปลกๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าอยากก็ทำตามที่ข้าบอก”
หัวหน้าจางถามว่า “คุณชายต้องการให้พวกข้าทำอะไรหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “แพร่ข่าวออกไปอีกว่าคนสกุลเห้อเหลียนทำเรื่องโหดร้าย ทั้งยังปกป้องตี้จีองค์โต ไม่ยอมไล่กาลกิณีผู้นี้ออกไป”
ทุกคนล้วนตะลึงงัน
เขาไม่ได้เป็นคนสกุลเห้อเหลียนหรอกหรือ? ไฉนจึงใส่ร้ายครอบครัวตนเองเช่นนี้เล่า?
เขาโง่หรือบ้ากันนี่?
อิ่งสือซันมองไปยังคุณชายบ้านตนด้วยความสงสัย แต่เขาก็เชื่อว่าคุณชายไม่มีทางทำร้ายสกุลเห้อเหลียน เขาต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง
เขาบอกว่า “ให้พวกเจ้าทำพวกเจ้าก็ไปทำ หากหลังจากวันนี้ มีคนใดในเมืองหลวงที่ยังไม่รู้เรื่องที่คนสกุลเห้อเหลียนทำเรื่องโหดร้ายและปกป้องตี้จีองค์โต ข้าจะไปจับพวกเจ้ามาฆ่าทีละคน!”
หัวหน้าจางรีบตอบว่า “ขอรับๆๆ ! ข้าน้อยจะไปแจ้งแก่พรรคพวก ไม่เกินสามวัน ทั้งเมืองหลวงต้องรู้เรื่องสองเรื่องนี้กันถ้วนหน้าแน่นอนขอรับ!”
เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ของสำนักราชครูสั่งให้เขาทำเช่นกัน พวกเขาทำไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่ต้องทำให้สำเร็จ เขาไม่มีความสามารถอันใด แต่การแพร่ข่าวลือนั้นเขาเชี่ยวชาญยิ่งกว่าใคร
“จิ่วเฉา เจ้าคิดจะทำอะไร” หลังจากที่คนกลุ่มนั้นวิ่งหัวหกก้นขวิดออกไปจากเรือน ชิงเหยียนก็เอ่ยปากขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ในตอนนี้ควรห้ามไม่ให้พวกเขาพูดข่าวเท็จ และพูดความจริงเพื่อให้สกุลเห้อเหลียนพ้นความผิดไม่ใช่หรือ? จากนั้นก็เปิดโปงแผนการชั่วร้ายของจวนประมุขหญิง”
เยี่ยนจิ่วเฉาทำเช่นนี้ย่อมต้องคิดมาแล้ว
ขอทานธรรมดาเพียงไม่กี่คน ก็เพียงพอให้ข่าวแพร่สะพัดไปเป็นวงกว้าง เป็นเพียงหลักฐานของความร่วมมือกันระหว่างตี้จีองค์เล็กและราชครูก็ไม่ได้มีค่าเท่าไรนัก และในตอนนี้ อีกฝ่ายก็อาจแว้งกลับมากัดพวกเขา บอกว่าพวกเขาติดสินบนเหล่าขอทาน เพื่อใส่ร้ายราชครูและตี้จีองค์เล็ก
นอกจากนั้นแล้ว การใช้คนพวกนั้นล้างมลทินให้จวนสกุลเห้อเหลียนนั้นง่าย แต่การล้างมลทินให้ตี้จีองค์โตนั้นไม่ง่าย นางถูกตราหน้าให้เป็นดาวหายนะของบ้านเมืองมาตั้งแต่เกิด เยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ลงมือก็ได้ แต่ถ้าลงมือแล้วย่อมต้องเด็ดขาด
คนพวกนั้นไม่ได้บอกหรอกหรือว่าตี้จีองค์โตนำพาหายนะ ส่วนตี้จีองค์เล็กนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข?
เช่นนั้นก็ทำให้พวกเขาเห็น ว่าแท้จริงแล้วใครคือดาวนำโชค และใครคือหายนะ!
………………………….