หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 30 ฉีกหน้ากาก (3)
นี่มันช่าง…
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าตนเองดูจนจบได้อย่างไร
“คุณชาย วันนี้ท่านมีเวลามาได้อย่างไรขอรับ?” ด้านหน้าทางเดิน ผู้จัดการโรงเตี๊ยมนำทางให้เยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความระแวดระวัง จนมาหยุดฝีเท้าที่หน้าห้องหรู เปิดประตูห้องให้เยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความเคารพนบนอบ
เยี่ยนจิ่วเฉาย่างกรายเข้าไปในด้านใน ทันทีที่เท้าแตะพื้น เขาปิดประตูด้านหลังลงทันที ปล่อยให้คนที่เหลือซึ่งกำลังจะเข้ามาถูกทิ้งเอาไว้ด้านนอก
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันมีวิชายุทธ์ จึงถอยหลังออกมาได้ทันควัน ส่วนผู้จัดการโรงเตี๊ยมนั้นกลับถูกประตูตีจมูกจนเลือดกำเดาไหล…
อวี๋หวั่นปีนอยู่ที่หน้าต่างของห้องฝั่งตรงข้าม หันหลังให้ประตู
เยี่ยนจิ่วเฉามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอวี๋หวั่น มิใช่เพราะเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากว่าในใต้หล้า นอกจากสตรีผู้นี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดใจกล้าเข้ามาทำเรื่องวุ่นวายในห้องของเขาเป็นแน่
หากช้าเพียงอีกก้าวเดียว เหล่าบุรุษที่เหลือต้องเห็นอวี๋หวั่นอย่างแน่นอน
เยี่ยนจิ่วเฉาสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินเข้าไปด้วยสีหน้านิ่ง
อวี๋หวั่นมองจนไม่ทันได้สนใจว่ามีคนเข้ามาในห้อง ตราบจนเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามาดึงตัวเธอขึ้นราวกับจับลูกไก่ ดวงตาสวยดุจผลซิ่งจึงเหลือบมอง “เยี่ยนจิ่วเฉา?”
วินาทีต่อมาเธอก็เบะปาก พูดด้วยสีหน้าเศร้าสลดว่า “น่าเกลียดมาก…ทำไมน่าเกลียดขนาดนั้นนะ…เยี่ยนจิ่วเฉา ของท่านคงไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้นหรอกใช่ไหม…”
หลังจากที่เข้าใจแล้วว่าอะไรน่าเกลียด เยี่ยนจิ่วเฉาก็โมโหจนอยากฆ่าคน!
เป็นสตรี ยังกล้าแอบถ้ำมองผู้อื่นทำเรื่องพรรค์นี้กลางวันแสกๆ นางไม่รู้จักกระดากอายหรืออย่างไร?!
อวี๋หวั่นหันหน้าไป เธอนึกบางอย่างออกจึงถามเขาว่า “ใช่สิ เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านไม่ได้ถูกลงโทษ ถูกขังอยู่ในห้องทบทวนตนเองหรือ? ทำไมถึงออกมาได้แล้วล่ะ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอด้วยสายตาเย็นเยียบ “อย่าเปลี่ยนเรื่อง! หากข้าไม่ได้ออกมา จะรู้หรือว่าเจ้า…ไม่รู้จักความอดทนถึงเพียงนี้?”
“…ฮะ?” อวี๋หวั่นยิ่งรู้สึกว่าแปลก
เยี่ยนจิ่วเฉาโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง “ถึงเจ้าจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยว แต่ก็ไม่ควร…มาถึงห้องของข้าเช่นนี้”
เดี๋ยวนะ ห้องนี้เป็นห้องของเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ? เธอเดาออกแล้ว คนที่จะอยู่ห้องชุดหรูหราอย่างนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาก็ย่อมต้องเป็นองค์ชายจากวังหลวง
แต่เธอออกจะน่าสงสารไปสักหน่อย สะกดรอยตามฮูหยินไป๋มา แต่กลับรุกล้ำอาณาเขตของเยี่ยนจิ่วเฉา สวรรค์มีตา เธอไม่ได้มาหาเยี่ยนจิวเฉาจริงๆ นะ!
ครั้งนี้ อวี๋หวั่นจะไม่ยอมรับความผิด เธอจึงตัดสินใจเล่าเรื่องการช่วยเหลือไป๋ถังให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟังทั้งหมด ทว่าสายตาบอกเป็นนัยว่า ‘ถ้าเจ้าอยากตายก็ลองดู’ ทำให้อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
ไม่ว่าอย่างไร ความกล้าก็สู้สมองไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “เก็บความห่วงใยของเจ้าเอาไว้เถอะ ข้าไม่เดินทางเดียวกับเจ้าแน่ ข้ายังมียางอายอยู่!”
“เยี่ยนจิ่วเฉา”
“เจ้าจะใช้ลูกไม้อะไรอีก?”
สายตาของอวี๋หวั่นลากลงด้านล่างของเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉายืนตัวแข็งทื่อ “…”
……
ฮูหยินไป๋คลึงเคล้าอยู่กับชายชู้อยู่สองชั่วยาม ความโกรธที่มีต่อไป๋ถังก็ลดลงมาก เพียงแต่เมื่อคิดว่ากลับไปก็ต้องเผชิญหน้ากับพ่อลูกน่ารำคาญทั้งสอง ฮูหยินไป๋ก็เผยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“อะไรกัน? ยังโมโหนางเด็กนั่นอยู่หรือ? มีอันใดให้น่าโมโห บังคับไปก็สิ้นเรื่อง” ชายชู้กล่าว
ฮูหยินไป๋พูดอย่างแค้นเคือง “ไม่รู้ว่านางเด็กนั่นใช้วิธีใด แสร้งว่าป่วยเป็นไข้ทรพิษ แม้แต่หมอยังแยกไม่ออกว่าจริงหรือปลอม!”
“เจ้าก็ติดสินบนหมอสักสามสี่คน! ให้บอกว่านางไม่ได้เป็นไข้ทรพิษ รักษาประเดี๋ยวก็หาย!” ชายชู้กล่าวอย่างมิได้ยี่หระ
ฮูหยินไป๋แค่นเสียง “เจ้าพูดง่าย คิดว่านางไม่มีแม่ แล้วก็ไม่มีพ่อหรือ?”
ชายชู้หัวเราะ “พ่อนางก็เข้าข้างเจ้าไม่ใช่หรือ?”
ฮูหยินไป๋แค่นเสียง “จะว่าเข้าข้างข้าก็ใช่ แต่อย่างไรนางก็เป็นลูกแท้ๆ ของเขา เวลาเช่นนี้ข้าทำอะไรก็ไร้ประโยชน์ ข้าติดสินบนหมอไปสิบคน แต่เมืองหลวงมีหมอนับร้อยนับพันคน จะไปติดสินบนครบทุกคนได้อย่างไร?”
ชายชู้เดาะลิ้น “เจ้าถูกเด็กนั่นทำให้โมโหจนเลอะเลือนเสียแล้วกระมัง? หมอวินิจฉัยว่านางเป็นไข้ทรพิษ แต่เมื่อเป็นไข้ทรพิษย่อมต้องตาย นางหนึ่งเดือนยังไม่ตาย สองเดือนก็ยังไม่ตาย เช่นนั้นจะเป็นไข้ทรพิษได้อย่างไรกัน?”
ฮูหยินไป๋ยืดตัวตรงทันที “ใช่แล้ว ไฉนข้าคิดไม่ถึง?”
ชายชู้พูดต่อ “ตอนนี้เจ้าก็แค่จัดการเรื่องสกุลเฉินให้ดี ในเมื่อเป็นเรื่องที่เสแสร้งได้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเผยออกมา! ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าเดาไม่ผิด นางจะต้องกินยาเพื่อให้เกิดอาการของไข้ทรพิษ ช่วงเวลาสั้นๆ ก็คงไม่เป็นไร หากผ่านไประยะหนึ่ง ก็อาจมีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ นางคงไม่โง่ถึงกับแสร้งป่วยจนตัวตายหรอก รอดูระหว่างนางกับเจ้า…ใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน”
ฮูหยินไป๋กลับคฤหาสน์สกุลไป๋ไปอย่างอารมณ์ดี
นางตรงไปยังห้องของไป๋ถัง บ่าวในห้องสวมผ้าคลุมหน้าและถุงมือ ตัวสั่นเทิ้ม ทว่าฮูหยินไป๋รู้ว่านางแกล้งป่วย จึงเดินเข้าไปโดยมิได้มีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ นางยกถ้วยยาขึ้นมา แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง “เจ้าเป็นไข้ทรพิษ แม่ปวดใจเหลือเกิน เรื่องที่สกุลเฉินมายกเลิกการแต่งงานเจ้าย่อมต้องได้ยินมาบ้างแล้ว เจ้าควรจะขอบคุณแม่ที่จัดการเรื่องของสกุลเฉินให้”
ไป๋ถังชะงักไป
ฮูหยินไป๋กล่าวต่อ “สกุลเฉินบอกว่าให้เจ้ารักษาตัวไปก่อน รักษาหายเมื่อไร พวกเขาก็จะให้ลูกพี่ลูกน้องเจ้ามาสู่ขอ เจ้าไม่สบายหนึ่งปี พี่ชายก็จะรอเจ้าหนึ่งปี เจ้าป่วยสองปี พี่ชายก็จะรอเจ้าสองปี หากเจ้าป่วยทั้งชีวิต…พี่ชายก็จะให้บ่าวสักสองสามคนให้กำเนิดลูกเสียก่อน นายท่านคงจะไม่มีปัญหาอะไร”
ทันทีที่ฮูหยินไป๋ออกไป ไป๋ถังก็เขวี้ยงถ้วยยาลงบนพื้นอย่างเกรี้ยวกราด
ฮูหยินไป๋พูดเอาไว้ไม่ผิด ยาที่อวี๋หวั่นให้ไป๋ถังกินนั้นไร้ซึ่งผลข้างเคียงในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าไม่ควรเกินหนึ่งเดือน มิเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ ที่สกุลเฉินมาเยือนถึงคฤหาสน์ ก็เพราะไป๋ถังให้พ่อบ้านติงนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ที่บ้านสกุลเฉิน
กระนั้นพ่อบ้านติงลงมือเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนี้ก็คงต้องเป็นไปตามยถากรรม เพื่อไม่ให้ฮูหยินไป๋สามารถเอาความเขาได้
แต่บัดนี้คงไม่ต้องเอาความผู้ใดแล้ว ฮูหยินไป๋ก็เพียงนั่งๆ นอนๆ รอให้ไป๋ถังแกล้งป่วยอีกต่อไปไม่ไหว
“ฮูหยิน” วันที่สาม สาวใช้จากห้องของไป๋ถังก็เข้ามา “คุณหนูอยากพบท่าน”
ฮูหยินไป๋วางปิ่นปักผมที่เลือกไปได้เพียงครึ่งเดียวลง แล้วลุกไปยังห้องของไป๋ถัง
ไป๋ถังนั่งเงียบอยู่ที่หัวเตียง สีหน้าอิดโรย ท่าทางอ่อนเพลีย บนโต๊ะมียาซึ่งยังไม่ได้ดื่มวางอยู่ถ้วยหนึ่ง
ฮูหยินไป๋กล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า “เหตุใดเจ้าไม่กินยาเล่า? หากนายท่านรู้ จะกล่าวโทษข้าได้ว่าทำให้เจ้าหายช้า”
“เจ้าจะทำอย่างไรให้สกุลเฉินยกเลิกการแต่งงาน?” ไป๋ถังถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“พวกเจ้าออกไป”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้ถอยออกไปอย่างรู้มารยาท
ฮูหยินไป๋เดินมาหน้าเตียง ยกถ้วยยาขึ้นมา “สกุลเฉินไม่ดีตรงไหน?”
ไป๋ถังตอบ “ข้าอยากถามเจ้าว่า หากข้าแบ่งสินเดิมของท่านแม่ข้าให้เจ้าครึ่งหนึ่ง เจ้าจะยอมเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อยกเลิกการแต่งงานของข้ากับสกุลเฉินหรือไม่?”
ฮูหยินไป๋ยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร
ไป๋ถังพูดต่อ “หกส่วน”
ฮูหยินไป๋เงียบ
“เจ็ดส่วน!”
“ปะ…แปดส่วน! แปดส่วนคงพอแล้วกระมัง! มรดกของที่บ้านข้าก็จะไม่แย่งน้อง ขอเพียงเจ้ายกเลิกงานแต่ง…ข้า…ข้า…” ไป๋ถังก้มหน้า
ฮูหยินไป๋พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าดื่มยาก่อนเถิด ร่างกายสำคัญกว่า”
ไป๋ถังพูดอย่างร้อนรน “ทำไมเจ้าไม่ตอบ? ของที่ข้าให้มากกว่าที่ตกลงไว้กับสกุลเฉินไม่ใช่หรือ? หรือว่าเจ้าจะวางยาข้าจนตาย!”
“ข้าจะไปวางยาเจ้าได้อย่างไร?” ฮูหยินไป๋ค่อยๆ ยกยาขึ้นมาดื่ม “เจ้าดู ไม่มีพิษนี่?”
“ออกไป! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!” ไป๋ถังพลิกกายลงจากเตียง หันหลังให้ฮูหยินไป๋ แล้วลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะ
ฮูหยินไป๋ยกยิ้มมุมปาก แล้ววางถ้วยยาลง
เมื่อมั่นใจว่านางเดินไปไกลแล้ว ไป๋ถังก็ลุกขึ้นยืน เลิกม่านข้างตู้ขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะไม่ตอบตกลง? ถ้านางตอบตกลงเล่า?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “เด็กโง่ แม้ว่าสินเดิมของแม่ท่านจะมีมาก แต่ที่มีมากกว่าก็คือทรัพย์สมบัติของสกุลไป๋ เพียงแค่ท่านพ่อท่านแบ่งให้ท่านแค่ครึ่งเดียว ก็มากพอที่จะทำให้นางอิจฉาตาร้อนได้แล้ว เมื่อท่านแต่งเข้าสกุลเฉิน สมบัติเหล่านั้นก็จะตกเป็นของนาง”
“นางงูพิษ!” ไป๋ถังบริภาษ
“นางได้ดื่มยาไปไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ไป๋ถังตอบว่า “ดื่มไปเล็กน้อย จะพอหรือไม่?”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ข้าเพิ่มความเข้มข้นอีกสิบเท่าจากสูตรในตำราแพทย์ของท่านปู่เป้าไป จิบเล็กๆ ก็เพียงพอแล้ว หลังจากนี้ท่านก็รอดู”
ไป๋ถังยืดอก “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง เจ้าวางใจได้!”
อวี๋หวั่นปีนออกจากคฤหาสน์สกุลไป๋
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” อวี๋เฟิงรอรับเธออยู่ข้างกำแพง
อวี๋หวั่นส่ายหัว ยกยิ้มมุมปาก “ข้าเป็นไร ต่อไปจะงานหนัก พี่ใหญ่เตรียมตัวให้ดี”
“อื้ม!” อวี๋เฟิงพยักหน้าด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ทันทีที่อวี๋หวั่นออกไป ไป๋ถังก็ให้สาวใช้ไปเรียกนายท่านไป๋มา
นายท่านไป๋โมโหไป๋ถังสุดขีด ทว่าทุกวันนี้ไป๋ถังไม่สบายเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกทุกข์ระทม
นายท่านไป๋สวมถุงมือ ใช้ผ้าปิดปากและจมูก เขานั่งลงบนเตียงของไป๋ถัง “เรียกพ่อมาดึกดื่นป่านนี้ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
ไป๋ถังส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง ขอบตาแดงก่ำ “ท่านพ่อ…”
เสียงแหบพร่าที่เรียกท่านพ่อ ทำให้นายท่านไป๋ปวดใจเหลือเกิน เขาจำไม่ได้แล้วว่าบุตรสาวใช้สายตาอ่อนแอมองเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไร เขาเกือบลืมไปแล้วว่าไป๋ถังก็เคยเป็นทารกตัวน้อยที่เคยร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของเขา
“ข้าใกล้จะตายแล้วใช่ไหม…” ไป๋ถังเอ่ยถามพร้อมน้ำตา
นายท่านไป๋พูดอย่างปวดร้าว “ไม่หรอก ถังเอ๋อร์จะไม่ตาย พ่อจะเชิญหมอหลวงที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงมารักษาเจ้า เจ้าต้องหายอย่างแน่นอน!”
ไป๋ถังส่ายหน้า น้ำตาใสร่วงหล่นลงพื้น “ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ…ไข้ทรพิษรักษาไม่หาย…”
นายท่านไป๋ขอบตาร้อนผ่าว “พ่อต้องรักษาเจ้าให้หาย!”
“ท่านพ่อ…ข้าขอโทษ…ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ความ…ทำให้ท่านโมโหอยู่ร่ำไป…ข้าใกล้…ใกล้ตาย…ถึงจะรู้ว่าบนโลกนี้ท่านพ่อ…เป็นคนที่รักข้าที่สุด…” ไป๋ถังพูด น้ำตาไหลอาบแก้ม
นายท่านไป๋ซาบซึ้งจนรู้สึกปวดใจ
“นายท่านเจ้าคะ!” หงซิ่ง บ่าวคนสนิทของฮูหยินไป๋เข้ามา
นายท่านไป๋ปาดน้ำตา หันหน้าไปด้วยสีหน้าดุดัน “เรื่องอันใด?”
ซิ่งฮวาเห็นท่าทางของนายท่านไป๋ก็ตกใจจนแทบผงะ นายท่านร้องไห้หรือ? คุณหนูเสียแล้วหรือ?
“ข้าถามเจ้า!” นายท่านไป๋ถามอย่างเกรี้ยวกราด
ซิ่งฮวารีบก้มหน้า “ฮูหยินเชิญท่านเจ้าค่ะ”
นายท่านไป๋มองไป๋ถังซึ่งนอนอยู่บนเตียง ไป๋ถังไม่ได้ระเบิดอารมณ์ทันทีที่ได้ยินชื่อฮูหยินไป๋เหมือนดังเคย นางเพียงมองนายท่านไปอย่างห่วงหา ราวกับกำลังมองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต
บุตรสาวคงจะไม่รอดแล้วจริงๆ…นายท่านไป๋คิดอย่างปวดร้าว
“เจ้าไปบอกฮูหยิน มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนถังเอ๋อร์”
เขาเป็นพ่อ ก็ย่อมต้องรอส่งลูกจนวาระสุดท้าย
“…เจ้าค่ะ” หงซิ่งถอยออกจากห้องไป นำความของนายท่านไป๋ไปแจ้ง
ฮูหยินไป๋หน้าแดงก่ำราวกับกำลังอดทนต่อความเจ็บปวด “คืนนี้นายท่านจะอยู่กับคุณหนูจริงหรือ?”
หงซิ่งพยักหน้า “เจ้าค่ะ ดูท่าแล้ว คุณหนูน่าจะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”
หากเป็นเมื่อก่อน ฮูหยินไป๋ไม่มีทางตายได้ง่ายดายเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่านางเป็นอะไร รู้สึกร้อนรนกระวนกระวาย ยากที่จะทำใจสงบ
ฮูหยินไป๋หายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความร้อนในกาย “ข้าจะไป…ไป…เชิญหมอมาให้คุณหนูอีกรอบ”
ทันทีที่ฮูหยินไป๋ออกไป อวี๋เฟิงก็สะกดรอยตาม
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม อวี๋หวั่นก็ปีนข้ามเข้ามาในเขตเรือนของไป๋ถัง ค่อยๆ ย่องไปยังหน้าต่าง แล้วส่งสัญญาณมือให้ไป๋ถัง
ไป๋ถังจับมือนายท่านไป๋ “ท่านพ่อ…ข้าอยากกินทังหยวนของหอจงชุ่ย”
นายท่านไป๋คิดว่าไป๋ถังจะต้องตาย ย่อมต้องทำตามคำขอของนาง “ได้…พ่อจะให้คนไปซื้อให้!”
ไป๋ถังน้ำตาไหล “ข้าอยากไปกินทังหยวนกับท่านพ่อ…นี่อาจเป็น…อาหารมื้อสุดท้ายที่ลูกได้กินพร้อมหน้ากับท่านพ่อ…”
นายท่านไป๋มีหรือจะปฏิเสธนางได้ลงคอ? รีบสั่งให้คนเตรียมรถม้า พาไป๋ถังไปยังหอจงชุ่ย
ระหว่างทาง ไป๋ถังก็ชมทิวทัศน์ด้านนอกอย่าง ‘หนำใจ’ นางบอกว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ชมความรุ่งเรืองของเมืองหลวงแล้ว
หอจงชุ่ยอยู่บนถนนเส้นเดียวกับโรงน้ำชาหรูหราหลังนั้น ขณะที่รถม้าเคลื่อนผ่านโรงน้ำชา ไป๋ถังก็ทำท่าตกอกตกใจ “ท่านพ่อ…เมื่อครู่ข้าว่าข้าเห็นท่านแม่”
คำว่า ‘ท่านแม่’ ทำให้นายท่านไป๋ดีใจเหลือเกิน
นายท่านไป๋กล่าวกับนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าดูผิดแล้วกระมัง แม่เจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ไป๋ถังมีสีหน้าจริงจัง “จริงๆ นะเจ้าคะ ข้าเห็นท่านแม่เข้าไป”
นายท่านไป๋ขมวดคิ้ว นางเฉินไม่ได้ไปเชิญหมอให้ถังเอ๋อร์หรอกหรือ? จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน? ถังเอ๋อร์ดูผิดแล้ว
ภายในใจของนายท่านไป๋บังเกิดความรู้สึกไม่สู้ดีนัก ถังเอ๋อร์ไม่สบายถึงเพียงนี้ นางมิได้ไปตามหมอให้ถังเอ๋อร์ แต่กลับมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ต้องเป็นเรื่องอะไรกัน ที่ทำให้นางถึงกับเพิกเฉยต่อการป่วยของถังเอ๋อร์ได้?
นายท่านไป๋ลงจากรถม้า เดินตรงเข้าไปในโรงน้ำชา
ในโถงกลางชั้นหนึ่งโรงน้ำชาปราศจากผู้คน ดังนั้นนายท่านไป๋จึงเดินขึ้นไปชั้นสอง
เขาเดินวนรอบทางเดินครู่หนึ่ง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
“ถังเอ๋อร์มีไข้สูง ต้องเลอะเลือน สายตาฟ่าฟางเป็นแน่” นายท่านไป๋หัวเราะกับตัวเอง ขณะที่กำลังจะเดินลงชั้นล่าง ก็ได้ยินเสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากห้องด้านหลัง “หวนหลางนิสัยไม่ดี!”
เสียงนี้!
นายท่านไป๋คิ้วกระตุก!
บุรุษเสียงทุ้มต่ำกล่าวว่า “ข้านิสัยไม่ดี หรือว่าเสี่ยวเฟิ่งเซียนนิสัยไม่ดี?”
เฉินเฟิ่งเซียน เป็นชื่อต้องห้ามของฮูหยินไป๋!
นายท่านไป๋รู้สึกประหนึ่งถูกสายฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ เขาตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปข้างหน้าด้วยความเหลือเชื่อ สายตาจับจ้องไปยังประตูซึ่งปิดสนิท
“ข้าหรือว่านายท่านบ้านเจ้าดีกว่ากัน?”
“เจ้าจะไปเทียบอะไรกับเขา? เขาทั้งแก่ทั้งไร้น้ำยา จะมาเทียบกับหวนหลางได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นไม่สู้เจ้ามาอยู่กับข้าดีกว่ารึ?”
“ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าแล้วหรอกหรือ?”
นายท่านไป๋โมโหจนเส้นเลือดเต้นตุบๆ ยกเท้าขึ้นถีบประตู!
…………………………………………