หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 300 เอาคืน
สกุลเห้อเหลียนไม่ได้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมมาเป็นเวลานาน สมกับที่เป็นสกุลอันดับหนึ่งในหนานจ้าว สกุลเห้อเหลียนแทบไม่เคยตกเป็นที่ติฉินนินทา ทว่าหลายวันมานี้สกุลเห้อเหลียนแทบจะจมน้ำลายของชาวบ้านเป็นที่เรียบร้อย
น้องชายของแม่ทัพเห้อเหลียนยังไม่ตาย ทั้งยังแต่งงานกับตี้จีองค์โตอีก
ไม่เพียงเท่านี้ สาวใช้ของพวกเขายังทำร้ายเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย
การกระทำโหดเหี้ยมเช่นนี้ มันน่าโมโหยิ่งนัก
ผู้คนต่างพากันก่นด่าและขับไล่ครอบครัวของตี้จีองค์โตออกจากหนานจ้าว
แน่นอนว่าสำนักราชครูก็รู้ข่าวนี้เช่นกัน
หนานกงหลีนั่งอยู่ในห้องของราชครู เมื่อได้ยินคำรายงานของลูกศิษย์ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าคนแซ่จางนั่นทำงานได้ยอดเยี่ยมกว่าที่คิด”
ยอดเยี่ยมกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยครึ่งเดือนจึงจะจุดไฟโทสะของชาวบ้านได้ ทว่าตอนนี้กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ผู้คนก็แอบอดรนทนไม่ไหวอยากจะบุกสกุลเห้อเหลียน จับครอบครัวของตี้จีองค์โตโยนออกไปนอกหนานจ้าว
หนานกงหลียิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นราชครูที่ปราดเปรื่อง คิดแผนการที่เฉียบแหลมเช่นนี้ได้”
เดิมทีเรื่องที่หัวหน้าจางทำก็เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์สำนักราชครูสั่งไว้ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ เดิมทีเขาคิดจะลงแรงเพียงครึ่งเดียว บัดนี้กลับทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเกินร้อย และผลลัพธ์ก็ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
ราชครูขมวดคิ้ว
หนานกงหลีสังเกตเห็นสีหน้าของเขา ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “มีอะไร? ราชครูไม่พอใจหรือ?”
ราชครูส่ายหน้า “ไม่ได้ไม่พอใจ เพียงแต่รู้สึกสงสัย”
“มีอะไรน่าแปลกหรือ?” หนานกงหลีถาม
“ราบรื่นเกินไป” ราชครูขบคิด “คนแซ่จางนั่นดูไม่ยักคล้ายกับคนที่ทำอะไรสุดความสามารถถึงเพียงนั้น”
หนานกงหลีหัวเราะ “ถ้าไม่ราบรื่น ท่านก็จะกล่าวโทษว่าพวกเขาไม่ใส่ใจ เมื่อราบรื่น ท่านกลับบอกว่าพยายามมากเกินไป พยายามแล้วไม่ดีตรงไหนหรือ? คนพวกนั้นทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ราชครูคงไม่ได้กำลังบอกข้าว่ามีคนลอบราดน้ำมันบนกองเพลิง ทำให้ข่าวลือเสียๆ หายๆ ของสกุลเห้อเหลียนและตี้จีองค์โตแพร่สะพัดออกไป”
นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ผู้ที่มีความแค้นกับสกุลเห้อเหลียนล้วนถูกส่งเข้าค่ายทหารของพวกเขาหมดแล้ว หนานกงหลีมั่นใจว่าคนของเขาไม่ได้เคลื่อนไหว ที่เหลือก็ล้วนเป็นคนที่มิได้มีความแค้นกับสกุลเห้อเหลียน ยิ่งไม่มีทางทำร้ายสกุลเห้อเหลียน
ราชครูพยักหน้า “ข้าอาจคิดมากไป แต่ว่า… ”
“แต่ว่าอะไร? ” หนานกงหลีบอก
ราชครูขมวดคิ้ว “ด้านนอกมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เหตุใดสกุลเห้อเหลียนไม่ลงมือทำอะไรสักที อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องลุกขึ้นมาแถลงไขความจริง”
หนานกงหลีแค่นเสียง ‘หึ’ อย่างเย็นชา “แถลงไขความจริง แล้วชาวบ้านจะเชื่อหรือ? ตั้งแต่ที่ชาวบ้านรู้กันว่าเห้อเหลียนเป่ยอวี้แต่งงานกับตี้จีองค์โต ความศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อสกุลเห้อเหลียนก็หมดไปทันที พวกเขาคงจะคาดเขาได้ถึงจุดนี้ จึงไม่ได้กระเสือกกระสนแก้ต่าง พวกเขากำลังรอให้เรื่องนี้เงียบไปก่อน แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้คงไม่เงียบง่ายๆ”
ราชครูกลับไม่ได้มองโลกในแง่บวกเหมือนหนานกงหลี เขาสู้กับเยี่ยนจิ่วเฉามาตลอด เขารู้ดีกว่าเยี่ยนจิ่วเฉามิได้ต่อกรด้วยได้ง่ายอย่างที่เห็น เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งรอความตาย สกุลเห้อเหลียนอาจรอให้เรื่องร้ายผ่านพ้นไปก่อนก็จริง แต่เยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ทำแบบนั้นแน่
ราชครูกล่าวว่า “คิดจะครอบครองเรือพันปีย่อมต้องรอบคอบ ส่งคนไปสืบการเคลื่อนไหวของสกุลเห้อเหลียนสักหน่อยจะดีกว่า”
ในคืนนั้น หนานกงหลีให้ซิวหลัวพาสายลับคนหนึ่งไปยังจวนสกุลเห้อเหลียน
การป้องกันอันแน่นหนาของจวนสกุลเห้อเหลียนทำอะไรซิวหลัวไม่ได้ ไม่ถึงชั่วพริบตา สายลับก็เข้ามาในจวนได้แล้ว
สายลับหลบอยู่นอกชีสยาย่วน
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ อิ่งสือซันก็เดินเข้ามา
เขาตรงไปยังห้องของชายชรา
“อาม่า”
อาม่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ เงยหน้ามามองเขา “ดึกป่านนี้มาหาข้ามีเรื่องอะไร”
อิ่งสือซันตอบว่า “คุณชายให้ข้ามาเอาคางคกหิมะ”
อาม่ากล่าวด้วยความงุนงงว่า “ราชินีสัตว์พิษน่ะหรือ? อยู่ๆ จะเอาไปใช้ทำอะไร ยังไม่ได้รวบรวมตัวยาเลย”
อิ่งสือซันตอบว่า “คุณชายไม่ได้ต้องการตัวยา หลายวันมานี้สกุลเห้อเหลียนเกิดเรื่องใหญ่ ชาวบ้านพากันขับไล่ฮูหยินรองออกไป คุณชายคิดวิธีออก”
“วิธีอะไร” อาม่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเปี่ยมความสงสัย
อิ่งสือซันตอบอย่างไม่รีบร้อน “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปแล้วใช่ไหม? คุณชายบอกว่ากลิ่นของราชินีสัตว์พิษใกล้เคียงกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ให้อาเว่ยหาวิธีทำให้ราชินีสัตว์พิษยอมรับฮูหยินรองเป็นเจ้านาย และประกาศออกไปว่าฮูหยินรองหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ เช่นนี้ฮูหยินรองก็จะนับว่าสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ และชาวบ้านก็คงไม่ขับไล่ฮูหยินรองออกจากหนานจ้าวอีก”
เมื่อสายลับได้ยิน ก็กลับสำนักราชครูไปแจ้งแก่ราชครูและหนานกงหลีโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เมื่อหนานกงหลีฟังจบก็หรี่ตาน้อยๆ “เป็นอย่างที่ราชครูคาดเดาจริงด้วย”
คิดว่าพวกเขายอมรับโชคชะตา ที่แท้ก็กำลังรอเวลาอยู่นี่เอง
หลังจากที่สัตว์ศักดิสิทธิ์หายไป หนานกงเยี่ยนก็หมายตาราชินีสัตว์พิษ แต่น่าเสียดายที่ราราชินีสัตว์พิษกลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉาขโมยไป และแผนการของพวกเขาก็จบลงเพียงเท่านี้
หากเยี่ยนจิ่วเฉาทำสำเร็จ ตี้จีองค์โตผู้ซึ่งมี ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ ในครอบครองก็จะไม่มีทางถูกขับออกจากหนานจ้าว ไม่เพียงเท่านี้ นางยังมีโอกาสจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้พิทักษ์แห่งเทพพิษอีกด้วย
เมื่อถึงตอนนั้น นางก็จะไม่ใช่กาลีบ้านกาลีเมืองอีกต่อไป
หนานกงหลีรู้สึกโชคดีที่ตนฟังสิ่งที่ราชครูบอก และให้คนไปสืบข้อมูลสำคัญเช่นนี้ได้
หนานกงหลีมองราชครู พร้อมกับหัวเราะเย้ยหยัน “ถ้าพวกเขาไม่พูด ข้าก็คงลืมไปแล้ว ราชินีสัตว์พิษอยู่ที่เยี่ยนจิ่วเฉา ก่อนหน้านี้ท่านแม่ไม่สามารถชิงของจากพวกเขามาได้ ทว่าบัดนี้มีซิวหลัว ต่อให้เป็นสกุลเห้อเหลียน ก็ง่ายเสียยิ่งกว่าหยิบของออกมาจากกระเป๋ากางเกง”
ทันทีที่ได้ราชินีสัตว์พิษมา ผู้ที่ได้ครอบครอง ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ ก็คือท่านแม่ของเขา
แม้จะสูญเสียตำแหน่งประมุขหญิงรัชทายาทไป ก็สามารถทวงคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
หนานกงหลีลุกขึ้นยืน “ครานี้ข้าจะให้ซิวหลัวพาปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งไปยังจวนสกุลเห้อเหลียน”
ซิวหลัวไม่รู้จักราชินีสัตว์พิษ ต้องใช้ปรมาจารย์พิษ และทั้งจวนประมุขหญิงไม่มีปรมาจารย์พิษคนใดที่เก่งกาจกว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งอีกแล้ว
“ช้าก่อน” ราชครูเรียกเขา
“มีอะไรอีกหรือ?” หนานกงหลีชะงัก แล้วมองไปยังราชครูด้วยความสงสัย
ราชครูขมวดคิ้วและพึมพำว่า “ก็ยังราบรื่นเกินไป ข้ายังคิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
หนานกงหลียกยิ้มมุมปาก “ซิวหลัวลงมือ ย่อมต้องราบรื่น หน่วยกล้าตายจวนสกุลเห้อเหลียนก็ดี องครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าซิวหลัวก็เป็นเพียงมดปลวกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซิวหลัวพาสายลับเข้าไปใต้จมูกพวกเขาอย่างง่ายดาย ราชครูไม่จำเป็นต้องกังวลไป”
ราชครูส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องที่พวกเขาไม่รู้ว่าซิวหลัวและสายลับเข้าไปได้ ข้าหมายถึงเหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ ไปถึงก็พบพวกเขาคุยกันเช่นนี้”
หนานกงหลียิ้ม “หรือว่าราชครูคิดว่าพวกเขารู้ว่าซิวหลัวกับสายลับเข้าไป จึงจงใจจัดฉากการสนทนานั้นขึ้นมาน่ะหรือ? ด้วยความสามารถของซิวหลัว เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีทางรู้”
วรยุทธ์ของซิวหลัวเป็นเลิศ วิชาตัวเบาเป็นเลิศยิ่งกว่า พวกอิ่งสือซันไม่มีทางสัมผัสถึงเขาได้ ทว่าไม่จำเป็นต้องบังเอิญเจอสายลับก็ได้ อิงสือซันและอาม่าจัดฉากมาไม่รู้กี่ครั้ง มิได้ต่างอะไรกับแมวตาบอดจับหนูตาย[1]
ราชครูยังคงนิ่งเงียบ หนานกงหลีพูดต่อ “ต่อให้ติดกับจริงแล้วอย่างไร? ซิวหลัวมีหรือจะกลัวพวกเขา?”
มิผิด ซิวหลัวเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า ต่อให้เยี่ยนจิ่วเฉาทอดแหบนฟ้าวางตาข่ายบนดินก็ทำอะไรซิวหลัวไม่ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ราชครูก็มิได้ดึงดันในความคิดตนเองอีก
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งหยิบไข่มุกพิษออกมา
แม้ว่าวิชาพิษของเขาจะสูงส่ง แต่ก็ไม่อาจรับรู้กลิ่นของราชันสัตว์พิษได้โดยตรงเฉกเช่นราชครูและอาม่า หากเขาต้องการหาราชินีสัตว์พิษ ย่อมต้องใช้ลูกแก้วพิษ
เดิมทีคิดว่าเมื่อเข้าใกล้ราชินีสัตว์พิษแล้ว ไข่มุกพิษจึงจะส่องแสง ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะก้าวเข้าเขตเรือนไปได้ไม่เท่าไร ไข่มุกพิษก็ส่องแสงสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกัน!
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งตื่นตะลึง กลิ่นอายของคางคกหิมะนั้นรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เขายังไม่ทันตั้งสติได้ อิ่งสือซันก็ถือกล่องออกมาจากห้องของอาม่า
“เจ้าระวังหน่อย” อาม่าเตือน “ราชินีสัตว์พิษนั้นกลัวความร้อน เจ้าอย่าลืมนำไปใส่ในน้ำแข็ง ตอนกลางคืนก็เปลี่ยนน้ำแข็ง”
“เข้าใจแล้วขอรับอาม่า” อิ่งสือซันตอบ แล้วถือกล่องกำมะหยี่กลับไปยังห้องหนังสือของเยี่ยนจิ่วเฉา
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งจับตาดูการเคลื่อนไหวในห้องหนังสือ จนกระทั่งอิ่งสือซันออกไป ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งก็แอบเข้าไปในห้องหนังสือ และขโมยคางคกพิษออกมา
ลักษณะภายนอกคางคกพิษไม่เหมือนกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องทำให้มันยอมรับเจ้านาย ขอเพียงเปิดเผยร่างจริงที่ซ่อนไว้ ก็จะทำให้ผู้คนเชื่อได้อย่างสนิทใจ
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเปิดกล่องกำมะหยี่ด้วยความระมัดระวัง สายตาไปหยุดอยู่ที่ภาชนะสีมรกต สามารถมองเห็นราชินีสัตว์พิษได้เลือนราง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ ลูกแก้วไข่มุกก็ดับลงพร้อมกัน
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าอยู่ใกล้ราชินีสัตว์พิษมากกว่า เหตุใดจึงมืดไปเสียเล่า?
หรือว่า…กลิ่นอายของราชินีสัตว์พิษนั้นแรงบ้างอ่อนบ้างอย่างนั้นหรือ?
……………………………….
[1] แมวตาบอดจับหนูตาย เปรียบเปรยว่าเดิมทีไม่ได้มีความสามารถ แต่มีผู้อื่นช่วยไว้หรือทำงานให้ ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถทำสำเร็จ