หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 301 ลิขิตสวรรค์
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งนำราชินีสัตว์พิษกลับมายังสำนักราชครู
ราชครูและหนานกงหลีรออยู่นานแล้ว แม้ว่าราชินีสัตว์พิษจะไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นสัตว์พิษที่ใกล้เคียงกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไปหาร่องรอยของมันบนเขาหลายครั้ง แต่ก็กลับมามือเปล่าทุกครั้ง
บัดนี้ได้เห็นแล้วจริงๆ แม้แต่ราชครูก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเดินเข้าไป ค่อยๆ เปิดฝากล่องเบาๆ แล้วหยิบขวดมรกตที่ใส่ราชินีสัตว์พิษออกมา
เขาหยิบชามหยกออกมาจากกล่องซึ่งพกติดตัวไปออกมา “ราชครูได้โปรดให้คนนำน้ำแข็งก้อนมาใส่สักหน่อย”
ราชินีสัตว์พิษชอบความเย็น เมื่อวางไว้บนน้ำแข็ง มันก็เกียจคร้านไม่ยอมขยับ
ราชครูให้ลูกศิษย์ไปนำน้ำแข็งมาจากห้องใต้ดิน
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเคาะน้ำแข็งหนึ่งก้อนลงในชาม จากนั้นจึงสวมถุงมือเส้นเงิน เปิดฝาขวดมรกต และเทสิ่งของเล็กๆ ในขวดออกมา
ในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นราชินีสัตว์พิษสีขาวราวกับหิมะ แม้จะเรียกว่าคางคกหิมะ แต่มันไม่ใช่คางคกตามความหมาย หากแต่บางครั้งมันสามารถส่งเสียงร้องคล้ายคางคกออกมา
“งามเหลือเกิน” หนานกงหลีประหลาดใจ
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นสัตว์พิษตัวหนึ่ง แต่ท่าทางคืบคลานบนก้อนน้ำแข็งนั้นช่างแลดูงดงามและสูงส่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงคุณลักษณะทั้งสองประการจากสัตว์พิษ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือสมบัติล้ำค่า
แต่ไหนแต่ไรมาหนานกงหลีไม่เคยชอบหนอนพิษ ทุกครั้งที่เห็นมักจะรู้สึกเป็นประจำ แต่หากเป็นเจ้าตัวน้อยนี้ หนานกงหลีคิดว่าเขาสามารถเลี้ยงมันได้
“มันคือสัตว์พิษเพศเมียหรือ?” หนานกงหลีถาม
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งส่ายหน้า “มิใช่ มันคือสัตว์พิษเพศผู้ เป็นเพราะงดงามมากจึงถูกเรียกว่าราชินีสัตว์พิษ”
หนานกงหลีพยักหน้ารับรู้ เจ้าสิ่งนี้ชวนมองยิ่งนัก เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป หมายจะสัมผัสมัน
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งใช้มือที่สวมถุงมือเส้นเงินแตะปลายนิ้วของเขาไว้ “องค์ชายระวัง มันมีพิษ”
เจ้าสิ่งนี้ช่างงดงาม ดูประหนึ่งไม่มีพิษมีภัย ทว่าพิษของมันร้ายแรง หากถูกมันกัดเข้าครั้งหนึ่ง แม้แต่ซิวหลัวก็คงล้ม
แน่นอนว่ามันไม่มีทางกัดซิวหลัว ความร้อนของเลือดซิวหลัวนั้นมีมากเกินไป จะทำให้มันไม่สบาย
หนานกงหลียังคงชื่นชมมันอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยให้ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเก็บมันกลับไป “เมื่อมีมันอยู่ ท่านแม่ข้าก็จะได้กลับคืนสู่ตำแหน่งประมุขหญิงรัชทายาท”
หนานกงหลีออกจากสำนักราชครูในคืนนั้น และกลับไปยังเรือนของตน
ก่อนที่หนานกงเยี่ยนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขหญิงรัชทายาท นางพำนักอยู่ในวังหลวงมาตลอด หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้ง องค์ประมุขก็พระราชทานจวนให้นางหลังหนึ่ง
บัดนี้นางไม่ใช่ประมุขหญิงรัชทายาทอีกต่อไป จึงไม่อาจกลับไปอยู่ในจวนได้อีก แต่องค์ประมุขก็ยังไม่ให้อภัยนาง จึงไม่อนุญาตให้นางย้ายกลับเข้าไปในวังหลวง นางจึงทำได้เพียงไปอยู่ในที่อื่นที่ซื้อเอาไว้
ที่นี่ก็ยังนับว่าเป็นคฤหาสน์ที่หรูหราแห่งหนึ่ง เพียงแต่มิอาจเทียบกับจวนประมุขหญิงได้ เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ก็จะเห็นว่าคฤหาสน์แห่งนี้ด้อยกว่ามาก
องค์หญิงน้อยร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งไปไม่รู้กี่ครั้ง นางกลับเข้าห้องไปพักผ่อนแล้ว
หนานกงเยี่ยนนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเพียงลำพัง มองออกไปยังลานบ้านอันเงียบสงัด
จวนประมุขหญิงก็มีลานบ้าน ทั้งยังกว้างกว่าที่นี่ไม่รู้เท่าไร ปลูกดอกโบตั๋นและดอกเจี้ยนหลานล้ำค่าเอาไว้ แต่ที่นี่กลับเห็นเพียงดอกเสาเย่าประปรายและหญ้านานาพันธุ์
“ท่านแม่!” หนานกงหลีสาวเท้าเข้าไป
หนานกงเยี่ยนชะงักและหันหน้ากลับมามองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า “เจ้ากลับมาแล้ว”
แม้แต่เสียงยังกลายเป็นแหบพร่าและไร้ชีวิตชีวา
หนานกงหลีรู้สึกปวดแปลบในใจ นี่คือประมุขหญิงจริงหรือ? ไฉนภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันสภาพกลับย่ำแย่เพียงนี้?
เขารู้ว่าสิ่งที่ทำให้ท่านแม่เศร้าโศกเช่นนี้ไม่ใช่การสูญเสียตำแหน่งประมุขหญิงไป สิ่งที่หนักหนายิ่งกว่าคือการสูญเสียราชบุตรเขยที่รักมานานหลายปี
คนผู้นั้นไร้หัวใจเป็นที่สุด!
เป็นสามีภรรยากันวันเดียว ผูกพันกันชั่วชีวิต ท่านแม่ไม่อาจทำใจปล่อยท่านพ่อไปได้ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นชายาของเขามานานหลายปี เขากลับมาทอดทิ้งนางในช่วงเวลาที่นางต้องการเขาที่สุดน่ะหรือ?
องค์ประมุขเพียงแต่ยึดอำนาจและตำแหน่งของท่านแม่ไป แต่เขานั้นเป็นดังมีดที่กำลังทิ่มแทงจิตใจของท่านแม่!
ถึงแม้จะเป็นพ่อของเขา เขาก็เกลียดคนผู้นั้น!
“ท่านแม่” หนานกงหลีตั้งสติ พยายามกดความรู้สึกที่กำลังถาโถมอยู่ในจิตใจ แล้วเปล่งน้ำเสียงนุ่มนวลออกมา “ข้าได้ราชินีสัตว์พิษมาแล้ว”
หนานกงเยี่ยนไม่ได้ตื่นเต้นอย่างที่เขาคิดไว้ นางเพียงตอบว่า ‘อืม’ เบาๆ แล้วหันหลังไปมองต้นหญ้านอกเรือนต่อ
หนานกงหลีเดินเข้าไป “ท่านแม่ มีมันแล้ว ท่านแม่ก็จะชิงตำแหน่งรัชทายาทคืนได้”
หนานกงเยี่ยนไม่ได้ตอบ
หนานกงหลีรู้ว่าปมในใจตอนนี้ของท่านแม่คืออะไร นัยน์ตาของเขากระตุกวูบหนึ่ง พลางกล่าวว่า “รอให้ท่านแม่ทวงคืนตำแหน่งประมุขหญิงกลับมาได้ ก็จะสามารถพาท่านพ่อกลับมาได้”
หนานกงเยี่ยนมีสีหน้าตกใจไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
หนานกงหลีบอกว่า “ต่อไปเมื่อท่านได้ครองบัลลังก์ การเจรจาเรื่องการเกี่ยวดองกันนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย ฮ่องเต้แห่งต้าโจวจะถึงกับเป็นศัตรูกับหนานจ้าวเพียงเพื่อน้องชายที่ตายไปแล้วหรือ? ครานี้ท่านพ่อก็จะได้กลับมาอย่างเปิดเผย”
“ราชบุตรเขยจะกลับมาหรือ?” หนานกงเยี่ยนถามด้วยความประหลาดใจ
หนานกงหลีพยักหน้า “ขอรับ จะจับยังจับกลับมาได้เลย มีอำนาจอยู่ในมือ ต้องการทำไมจะไม่ได้เล่าขอรับ?”
ถูกต้องแล้ว ขอเพียงตนได้อำนาจกลับคืนมา บุรุษเพียงคนเดียว ไหนเลยจะมาอยู่ในครอบครองของนางไม่ได้?
หนานกงเยี่ยนกำหมัดแน่น “ข้าต้องเป็นประมุขหญิง…ต้องทำให้ราชบุตรเขยกลับมาอยู่ข้างกายข้า…ข้าต้อง…ต้องฆ่าเยี่ยนจิ่วเฉา”
หนานกงหลีปลอบโยนว่า “เจ้าคนไม่เอาไหนย่อมต้องถูกกำจัด เพื่อตัดต้นตอของปัญหา ท่านแม่ให้ข้าจัดการเขาก็ได้ขอรับ สิ่งที่ท่านแม่ต้องทำในตอนนี้ก็คือให้ความร่วมมือกับปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่ง เพื่อทำให้ราชินีสัตว์พิษยอมรับท่านแม่เป็นเจ้านาย”
“ถ้าหากตอนนั้นข้าฟังเจ้า ก็คงไม่ตกต่ำจนถึงจุดนี้” นางไม่ควรเข้าใกล้เยี่ยนจิ่วเฉา ไม่ควรปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้น
หนานกงหลีกล่าวโทษตนเอง “ข้าผิดเอง ข้าทำให้ท่านแม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย”
เรื่องนี้ หนานกงเยี่ยนเองก็เคยกล่าวโทษบุตรชาย ที่เขาวางยาพิษเด็กพวกนั้นโดยพลการ ผลก็คือโดนผลร้ายเข้าเสียเองโดยไม่รู้ตัว
แต่ทันทีที่ลูกคุกเข่ายอมรับความผิดไว้กับตัว นางก็ไม่หลงเหลือความโกรธอยู่แล้ว
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่นางอุ้มท้องเกือบสิบเดือน
หนานกงเยี่ยนพยักหน้า จับมือของบุตรชายไว้ เอ่ยขึ้นด้วยความละอายใจว่า “เรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่จำเป็นต้องพูดถึง หลังจากวันนี้แม่จะไม่ทำให้เจ้ากังวลใจ”
หนานกงหลีพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ลูกไม่มีสิ่งใดให้กังวล ขอเพียงท่านแม่กลับมามีความสุข ให้ลูกทำอะไร ลูกก็จะทำ”
หนานกงเยี่ยนตั้งปณิธานแน่วแน่ วันต่อมาก็มุ่งหน้าไปยังเรือนของปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่ง
การให้ราชินีสัตว์พิษยอมรับเจ้านายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากมันยอมรับเจ้านายแล้วก็จะไม่มีทางปล่อยพิษทำร้ายเจ้านาย กระนั้นก่อนที่มันจะยอมรับเจ้านาย มันก็จะดิ้นรนอย่างรุนแรงไปช่วงหนึ่ง
ถึงแม้จะกินยาถอนพิษไว้ล่วงหน้า แต่หนานกงเยี่ยนก็ยังต้องทนทรมานอีกไม่น้อย
โชคดีที่ในที่สุดราชินีสัตว์พิษก็ยอมรับนางเป็นเจ้านาย
หนานกงเยี่ยนพักรักษาตัวอยู่หลายวัน จนอาการดีชึ้นแล้วจึงให้คนเตรียมรถม้า และเดินทางไปตำหนักจินหลวน
องค์ประมุขถอดถอนตำแหน่งประมุขหญิงของนาง แต่นางก็ยังคงเป็นตี้จีในองค์ประมุขแห่งหนานจ้าว นางมีสิทธิ์เข้าวังและขอเข้าเฝ้า
หลายวันมานี้องค์ประมุขกษัตริย์รู้สึกงุ่นง่านเหลือเกิน ข่าวคราวเกี่ยวกับตี้จีองค์โตกับสกุลเห้อเหลียนแพร่สะพัดไปทั่วทุกอณูของวังหลวง แม้แต่คนทำความสะอาดและขันทีก็รู้เรื่องนี้ เหล่าขุนนางต่างกดดันองค์ประมุขให้ทรงบังคับให้สกุลเห้อเหลียนออกมาอธิบาย
องค์ประมุขไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเรียกเห้อเหลียนเป่ยหมิงออกมา
ทว่ายังไม่ทันได้ถามเห้อเหลียนเป่ยหมิงว่าคนสกุลเห้อเหลียนทุบตีผู้บริสุทธิ์จนตายนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ได้ยินข้าราชสำนักฝ่ายในกราบทูลว่าตี้จีขอเข้าเฝ้า
หนานจ้าวมีตี้จีซึ่งได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการเพียงพระองค์เดียว
หนานกงเยี่ยนไม่ใช่ประมุขหญิงแล้ว นางไม่มีกิจอันใดเกี่ยวข้องกับราชสำนักอีก เหตุใดจึงมาตำหนักจินหลวน?
องค์ประมุขกัดฟันกรอด “ประกาศ”
“ประกาศ ตี้จีขอเข้าเฝ้าาาา”
หนานกงเยี่ยนซึ่งเปลี่ยนไปสวมอาภรณ์ทางการของตี้จีก็ยุรยาตรเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่วงท่าสง่างาม ไม่พบกันหลายวัน สีหน้าของนางแลดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ดวงตาของนางก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
นางเดินเข้ามา ทุกเข่าคำนับต่อหน้าบัลลังก์ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
องค์ประมุขมิได้ให้นางลุกขึ้นยืน แต่ตรัสถามว่า “เจ้ามาทำไม”
หนานกงเยี่ยนคุกเข่า ยืดหลัง พลางมองไปยังประมุข “ลูกมาวันนี้ก็เพื่อกราบทูลท่านพ่อว่าลูกได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาแล้วเพคะ”
“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอย่างไร” องค์ประมุขตกใจจนเอนกายไปด้านหน้า อีกนิดเดียวก็คงตกจากที่ประทับ
หนานกงเยี่ยนเห็นปฏิกิริยาตอบสนองขององค์ประมุข ก็ลอบคิดในใจว่าไม่ผิดแน่ เสด็จพ่อเป็นกังวลเรื่องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เมื่อมี ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ แล้ว มีหรือนางจะไม่ได้ความรักความเอ็นดูกลับมา?
หนานกงเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกได้นำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว ยินดีด้วยเพคะเสด็จพ่อ หนานจ้าว…มีผู้ปกปักรักษาเทพพิษแล้ว”
หลังจากที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไป หนานจ้าวก็เกิดความโกลาหล องค์ประมุขก็เคยคิด ว่าเป็นเพราะทวยเทพลงโทษพวกเขาใช่หรือไม่?
สีหน้าของเหล่าขุนนางก็มิได้ดีไปกว่าพระองค์เท่าไร ทุกคนดวงตาเบิกโพลงและอ้าปากค้างด้วยความตกใจพร้อมกับมองไปยังหนานกงเยี่ยน
องค์ประมุขจึงร้องเรียกราชครู “นำไข่มุกพิษมา!”
อันที่จริงตำหนักจินหลวนก็มีไข่มุกพิษ แต่กลับถูกติดไว้บนคานของตำหนักซึ่งอยู่สูงหนึ่งร้อยฉื่อ ระยะห่างมากเพียงนั้น ต่อให้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงก็ไม่มีทางสว่างขึ้นได้
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูเตรียมการไว้นานแล้ว เขาให้คนยกไข่มุกพิษนับร้อยเม็ดมา ทันทีที่หนานกงเยี่ยนวางมือลงบนไข่มุกพิษ ไข่มุกพิษก็สว่างวาบราวกับแสงตะวัน
หนานกงเยี่ยนตกใจเช่นกัน นางเคยนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในท้องพระโรงเช่นนี้มาก่อน ครานั้นไข่มุกทั้งหนึ่งร้อยเม็ดก็สว่างวาบขึ้นมาเช่นนี้
หากมิได้แน่ใจแล้วว่านี่คือราชินีสัตว์พิษ นางก็คงจะทึกทักไปว่าตนกำลังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในครอบครอง
ราชินีสัตว์พิษแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ตั้งแต่นี้ไปนางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเปิดโปง!
“ฝ่าบาท! ตี้จีนำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาแล้ว ได้โปรดคืนตำแหน่งประมุขหญิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
“ได้โปรดคืนตำแหน่งประมุขหญิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อม ขอร้องฝ่าบาท!”
เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าอ้อนวอนให้ตี้จีกันอย่างเซ็งแซ่
ท่ามกลางคนเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมมีสมัครพรรคพวกซึ่งถูกจัดแจงไว้ล่วงหน้าแล้ว และมีเหล่าขุนนางซึ่งยอมจำนนต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิจริงๆ
หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงกลับมาอยู่กับนาง จะมีผู้ใดกล้าพูดเล่าว่านี่ไม่ใช่ลิขิตสวรรค์?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งนั่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้นว่า “ตี้จีกระทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ นางจะได้รับการละเว้นความผิดเพียงเพราะนำหนอนตัวหนึ่งกลับมาได้น่ะหรือ? เช่นนั้นภายภาคหน้า ผู้ใดก็สามารถร่วมมือกับศัตรูทรยศแผ่นดิน ผู้ใดก็สามารถหลอกลวงเบื้องสูงได้น่ะสิ!”
ใต้เท้าตู้กล่าวด้วยโทสะ “เจ้าพูดอะไร? นั่นคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์”
เขาเป็นคนสนิทของหนานกงเยี่ยน ทั้งยังเป็นขุนนางที่เมื่อครู่เริ่มขอร้ององค์ประมุขให้คืนตำแหน่งประมุขหญิงรัชทยาทให้พระธิดา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวแดกดันว่า “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่พวกเจ้าเรียก ที่จริงก็เป็นเพียงหนอนตัวหนึ่ง แต่กลับใช้มันเพื่อขอตำแหน่งรัชทายาท ไม่ทำตามอำเภอใจไปหน่อยหรือ?”
ใต้เท้าตู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเจ้านายยากขนาดไหน? เผ่าปีศาจมีปรมาจารย์พิษที่เก่งกาจไม่รู้เท่าไร ล้วนแต่ไม่อาจทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมจำนนได้ แม้ว่าตี้จีจะไม่ใช่ปรมาจารย์พิษ และไม่ใช่สตรีพิษ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังยอมรับนางเป็นเจ้านาย ดังนั้นก็หมายความว่านางคือผู้ที่เทพเลือก นางได้รับการพิทักษ์จากเทพพิษ นี่เป็นความช่วยเหลือจากสวรรค์ และเป็นบัญชาสวรรค์”
สายตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไปหยุดที่หนานกงเยี่ยนผู้ซึ่งเหล่าขุนนางอ้อนวอนขอตำแหน่งคืนให้ “ใต้เท้าตู้ทำให้พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ฟังดูเกินจริงไปหน่อยกระมัง? ผู้ใดมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง ผู้นั้นจักต้องเป็นผู้ปกครองอันแท้จริงแห่งหนานจ้าวหรือ?”
ทุกคนล้วนแต่พูดไม่ออก
พวกเขาอาจไม่ได้คิดเช่นนี้ เพียงแต่ว่าตี้จีเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ประมุข ด้วยโชคชะตาของนางและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนำมารวมกันแล้ว นางย่อมเป็นผู้ถูกเลือกอย่างมิต้องสงสัย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊ ฝีปากไม่อาจเทียบเทียมขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่ทันไรใต้เท้าตู้ก็ยกคำทำนายของราชครูและภาพเหตุการณ์ในวันที่ตี้จีเกิด กล่าวยกย่องหนานกงเยี่ยนเสียยกใหญ่ เพียงแต่ยังไม่ได้กล่าวว่าหนานกงเยี่ยนคือเทพเซียนลงมาจุติก็เท่านั้น
ช่วงนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในเมืองหลวง ทำให้ราษฎรใจหายใจคว่ำ ใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นสุข เรื่อง นี้จะทำให้ขวัญและกำลังใจของราษฎรกลับคืนมา
องค์ประมุขทรงไม่อยากให้อภัยตี้จี แต่ก็มิอาจทนต่อคำทัดทาน
องค์ประมุขกดหว่างคิ้วที่ปวดหนึบ “หลังจากนี้สามวัน ตี้จีจะไปบวงสรวงสวรรค์แก่ราษฎร”
นั่นหมายความว่านางจะได้กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว
ก่อนหน้านี้หลังจากตี้จีองค์เล็กกลับมาจากพิธีบวงสรวงสวรรค์ องค์ประมุขก็ทรงแต่งตั้งให้นางเป็นรัชทายาท
หนานกงเยี่ยนดีใจเหลือเกิน
อำนาจที่สูญหายไปหลายวัน ในที่สุดนางก็ได้กลับมาเป็นประมุขหญิง!
ครานี้ นางต้องการให้อาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งใต้หล้าได้เห็นเป็นประจักษ์ว่าหนานกงเยี่ยนคือผู้ที่สวรรค์ลิขิตไว้ เป็นประมุขหญิงที่ไม่มีผู้ใดมาแทนที่ได้!
…………………………………….