หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 334 รัชทายาท
องค์ประมุขก็เป็นบิดา แต่เขาต่างจากบิดาในโลกทั้งหมด เขาเป็นองค์ประมุขก่อน แล้วจึงเป็นบิดา ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาฮองเฮาไม่เคยเห็นองค์ประมุขไม่สนใจภาพลักษณ์เช่นนี้มาก่อน
เหตุใดเขาถึงคลุกคลีกับเด็กพวกนี้เช่นนี้?
ต่อให้เป็นหนานกงเยี่ยนหรือหนานกงหลีเมื่อก่อนก็ไม่เคยตามใจถึงเพียงนี้!
เปร๊าะ!
เอวชราขององค์ประมุขส่งเสียงดังลั่น
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!”
ขันทีหวังเร่งสาวเท้าไปอุ้มไข่ดำทั้งสามออกจากหลังขององค์ประมุข เจ้าตัวเล็กเหล่านี้ดูเหมือนหนัก แต่แท้จริงแล้วเมื่ออุ้มขึ้นมากลับหนักยิ่งกว่า ไม่แปลกใจเลยที่เอวชราขององค์ประมุขจะร้องลั่น
เขาอุ้มเพียงครู่เดียวแขนก็แทบหักแล้ว
“ฝ่าบาทไม่เป็นไรใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีหวังวางไข่ดำน้อยลงบนพื้น ถามด้วยความร้อนใจ
องค์ประมุขเจ็บจนพูดไม่ออก
เสี่ยวเป่าเดินเข้ามาโค้งเอวเอียงคอมองเขา “เจ็บมากเลยใช่ไหม?”
ตอนแรกก็เจ็บอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อถูกถามเช่นนี้กลับไม่รู้สึกเจ็บขนาดนั้นอีกแล้ว
องค์ประมุขหัวเราะแห้ง “ข้าไม่เป็นไร”
ทันทีที่สิ้นประโยค เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ไม่อาจละเลย เขาหันไปมองโดยไม่รู้ตัวพลันปะทะเข้ากับสายตาของฮองเฮา
ใบหน้าฮองเฮาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ แฝงร่องรอยบางเบาของการบาดเจ็บและความผิดหวัง หัวใจของเขาบีบแน่น เรียกนางด้วยเสียงแหบแห้ง “ฮองเฮา…”
ฮองเฮาเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
องค์ประมุขไม่อาจใส่ใจอาการบาดเจ็บที่เอวชราได้อีก รีบสั่งขันทีหวังไปตามอวิ๋นเฟยมาดูแลเด็กๆ ส่วนเขาก็ไปตามหาฮองเฮา
ฮองเฮาเดินไม่เร็วนัก จึงได้ยินเสียงรับสั่งของเขาไปโดยปริยาย
แม้ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ก็ยังไม่ลืมจัดการดูแลเด็กพวกนั้น แล้วยังให้อวิ๋นเฟยมาที่วังมังกรของเขา ที่นี่กลายเป็นที่ที่อวิ๋นเฟยจะย่างกรายเข้ามาเมื่อใดก็ได้แล้วหรือ?
ฮองเฮาขึ้นราชรถ “กลับวัง!”
องค์ประมุขไม่ได้ตะโกนเรียกรั้งนางต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาถอนใจอย่างหมดหนทาง สั่งเตรียมเกี้ยวเสด็จตามฮองเฮาไปตำหนักจงกง
เมื่อเหล่าธารกำนัลเห็นองค์ประมุขกับฮองเฮาเสด็จตามกันกลับมา สีหน้าต่างก็ไม่สู้ดี ถอยห่างออกไปอย่างรู้ความ ในไม่ช้าตำหนักฮองเฮาก็เหลือเพียงคนสนิทข้างกายหนึ่งคนเท่านั้น แต่เมื่อขันทีผู้นี้ได้รับสายตาบอกนัยบางอย่างขององค์ประมุขก็เดินจากไปอย่างเศร้าหมอง
ฮองเฮาหมายสั่งให้คนนำน้ำชามา ทว่าในพริบตาทั้งตำหนักกลับว่างเปล่า
องค์ประมุขกระแอมเบาๆ เดินหอบเอวชราเข้าไป “ฮองเฮา”
“ท่านยังรู้ว่าข้าเป็นฮองเฮา” ฮองเฮาเบือนหน้าหนีด้วยความน้อยอกน้อยใจ ไม่มองดวงตาอันหนักอึ้งที่แทบจะท่วมท้นไปด้วยนางขององค์ประมุข
องค์ประมุขเป็นบุรุษ แต่ไม่ใช่คนโง่เขลา เขาเข้าใจดีว่าความโปรดปรานที่เขามีต่อตำหนักจูเชวี่ยจะทำให้ฮองเฮาไม่พอใจ ทว่าเลือดแห่งราชวงศ์หนานจ้าวอย่างไรก็ไหลเวียนอยู่ในกายของเด็กๆ เหล่านั้น เขาไม่อาจไม่สนใจพวกเขาได้จริงๆ
“ฮองเฮา” องค์ประมุขนั่งลงข้างกายฮองเฮา
ฮองเฮาเบี่ยงกายหนีไม่สนใจ
นางเป็นฮองเฮาทรงคุณธรรมไม่เท็จ ทว่าต่อหน้าสามีก็แง่งอนเยี่ยงสามัญชนธรรมดา
องค์ประมุขดึงแขนเสื้อของนาง “เจ้าโกรธข้าหรือ?”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างเมินเฉย “หม่อมฉันไหนเลยจะกล้า? บุตรของหม่อมฉันสูญเสียความโปรดปราน หม่อมฉันคงต้องใช้ชีวิตโดยมองสีพระพักตร์ของฝ่าบาทกับเด็กพวกนั้นไปตลอดชีวิต หม่อมฉันไม่กล้าโกรธฝ่าบาทหรอกเพคะ”
ในใจองค์ประมุขรู้สึกผิด ไม่รู้ว่าควรกล่าวกับฮองเฮาอย่างไร “…เรื่องของเยี่ยนเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับแว่นแคว้น นางกระทำเรื่องหนักหนาเกินไปข้าจึงลงโทษนาง เจ้ารับตัวนางออกจากคุกศาลาว่าการต้าหลี่ มิใช่ว่าข้าก็ยอมไม่พูดสิ่งใดหรอกหรือ?”
ฮองเฮาหันกายกลับมาอย่างขุ่นเคือง เอ่ยเสียงสะอึกสะอื้น “เช่นนั้นฝ่าบาทจำได้หรือไม่ว่าท่านไม่ไปพบหน้านางนานเพียงใดแล้ว? นางยังเป็นเลือดเนื้อของฝ่าบาทอยู่หรือไม่? ต่อให้นางทำผิดพลาดอีกเพียงใด บัดนี้นางก็ได้รับการลงโทษแล้ว ทารกในครรภ์ของนางก็ไม่มีแล้ว ชีวิตของนางก็สิ้นไปครึ่งหนึ่ง ต้องให้นางตายฝ่าบาทถึงจะพอพระทัยใช่หรือไม่?”
องค์ประมุขนิ่งเงียบ
หนานกงเยี่ยนเป็นบุตรที่เขาเคยรัก ทว่าเพียงนึกถึงสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยมากมายที่นางทำลงไป เขาก็ไม่ยินดีที่จะพบหน้านางอีก
องค์ประมุขปรารถนาจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองที่คลุมผมบนศีรษะของฮองเฮาแล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บของฮองเฮาดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
ไม่คุยเรื่องนี้ยังไม่เป็นไร ทันทีที่ฮองเฮาได้ยินก็ยิ่งกริ้ว นางถูกเด็กนั่นทำให้หัวล้าน ฝ่าบาทไม่เพียงแต่ไม่บาดหมางกับเขา ยังพาเขาไปที่ตำหนักจินหลวนเสียอีก
“ฝ่าบาท” ฮองเฮาเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าท่านพาเด็กไปที่ท้องพระโรง ทั้งยังแนะนำเขาต่อขุนนางทหารมากมาย แม้แต่ตราหยกสืบบัลลังก์ก็มอบให้เขาง่ายๆ”
ช่างเป็นการกล่าวถึงเรื่องที่ไม่ควรกล่าวยิ่งนัก เรื่องเจ็บใจที่องค์ประมุขลืมมันไปอย่างยากลำบาก กลับถูกฮองเฮาขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง เขากุมหน้าผากอย่างหมดสิ้นอาลัย “แค่เด็กเล่นเท่านั้น ฮองเฮาอย่าได้คิดจริงจังเลย”
“เช่นนั้นฝ่าบาทมีแผนอย่างไรกันแน่?” ฮองเฮาถาม
“มีแผนอย่างไรอันใด?” องค์ประมุขงงงวย
ฮองเฮาไม่อ้อมค้อม “เรื่องรัชทายาท ฝ่าบาทมอบความสุขแก่หม่อมฉันสักหน่อยเถิดเพคะ ฝ่าบาทจะแต่งตั้งตี้จีองค์โตใช่หรือไม่?”
พระขนงองค์ประมุขขมวดมุ่น “นางไม่ต้องการยอมรับข้า”
ฮองเฮาถามอย่างสิ้นหวัง “เช่นนั้นหากนางยอมรับท่าน ท่านจะมอบตำแหน่งรัชทายาทแก่นางใช่หรือไม่?”
“ข้าหาได้กล่าวเช่นนั้น” องค์ประมุขตรัสอย่างไร้ความอดทนเล็กน้อย เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองใช้น้ำเสียงไม่ดีนัก จึงจับมือฮองเฮาพลางถอนใจ “ข้ายังพอมีเวลา ยังมีวันที่ได้อยู่เคียงเจ้า ข้าสัญญา ไม่ว่าผู้ใดเป็นรัชทายาท ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องลำบาก”
ท่านเคยสัญญากับข้าว่าท่านจะไม่รับเด็กนั่นกลับมา แล้วบัดนี้เป็นอย่างไร?
ฮองเฮาขบเม้มริมฝีปาก ไม่เอ่ยคำถามที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ แง่งอนยังพอได้ แต่หากโต้เถียงจนฝ่าบาทเบื่อหน่าย นางก็ไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดแล้ว
ฮองเฮาเปลี่ยนเรื่อง “ฝ่าบาทยังมิได้พิจารณาหลีเอ๋อร์หรือ? เขาก็เป็นเลือดเนื้อของเยี่ยนอ๋อง เป็นหลานชายของฮ่องเต้แห่งต้าโจว เลือดของราชวงศ์ทั้งสองไหลเวียนอยู่ในกายของเขา สูงศักดิ์หาใดเปรียบเช่นกัน”
“ข้าพิจารณาแน่” องค์ประมุขตรัส
ฮองเฮาอยู่กินฉันสามีภรรยากับองค์ประมุขมาหลายปี มองครั้งเดียวก็เข้าใจความคิดของเขา เมื่อพูดถึงหนานกงหลีเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจ ไม่ใช่เขาไม่ได้รักเด็กคนนี้ แต่เพราะหนานกงเยี่ยนสูญเสียจิตใจอันดีงาม จึงพลอยทำให้หนานกงหลีติดร่างแหไปด้วย
รอให้เขาคลายความโกรธที่มีต่อหนานกงเยี่ยน หนานกงหลีก็จะได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง แต่ปัญหาก็คือไม่มีผู้ใดทราบว่ามันจะนานเพียงใด หากไม่มีเด็กตัวเล็กๆ พวกนั้น องค์ประมุขก็อาจจะรักใคร่หนานกงหลีได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่นางพินิจถึงเรื่องนี้ องค์ประมุขก็ตรัสว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าจะกลับตำหนักก่อน”
ฮองเฮาผงะ “ฝ่าบาท…ไม่อยู่เสวยมื้อค่ำกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“ข้า…” เมื่อนึกถึงเด็กน้อยในตำหนัก องค์ประมุขก็ไม่อาจวางใจได้ลง
ฮองเฮารู้สึกแน่นในอกเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ “เข้าใจแล้ว ฝ่าบาทไม่อาจวางพระทัยเด็กๆ ไปเถิด หม่อมฉันจะคัดเลือกมามาที่มีความสามารถส่งไปให้อวิ๋นเฟยสักสองสามคน”
องค์ประมุขพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี อวิ๋นเฟยไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ไม่มีประสบการณ์เหมือนเจ้า เจ้าช่วยชี้แนะนางให้มากหน่อย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮองเฮายิ้มส่งองค์ประมุขออกจากตำหนักจงกง
องค์ประมุขเดินจากไปเร็วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาร้อนใจอยากพบคนตัวเล็กพวกนั้นมากเพียงใด
รอยยิ้มของฮองเฮาไม่อาจฝืนเหยียดได้อีกต่อไป นางตบเสาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ชุดเกราะก็แตกหัก
ขันทีรีบสาวเท้าไปด้านหน้าแล้วเก็บเกราะที่หักอยู่บนพื้น เอ่ยกับฮองเฮา “ฮองเฮาโปรดระงับโทสะ!”
ฮองเฮามิได้อารมณ์ดี หลังสูดหายใจเข้าลึกๆ ก็ระงับโทสะในใจและกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าพูดมาซิ ข้าสูญเสียความโปรดปรานแล้วใช่หรือไม่?”
ขันทีรีบตอบ “ฮองเฮาเอาสิ่งใดมาตรัสพ่ะย่ะค่ะ? ท่านเป็นภรรยาคนแรกของฝ่าบาท ฝ่าบาทเห็นท่านเป็นยอดรักเพียงผู้เดียวมาตลอดหลายปี ท่านจะสูญเสียความโปรดปรานได้อย่างไร? ฮองเฮาทรงกริ้วเมื่อครู่ ไม่เห็นว่าฝ่าบาททรงกระวนกระวายพระทัยเพียงใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาฮึดฮัดอย่างเย็นชา “เขากระวนกระวายเรื่องข้า แต่กระวนกระวายกับพวกเด็กยิ่งกว่า”
ขันทีกล่าว “เด็กๆ เหล่านั้นน่าเอ็นดูก็จริง แต่เด็กเล็กเช่นนี้มักมีช่วงที่ซุกซน รอถึงคราวที่หมดสิ้นความแปลกใหม่ ฝ่าบาทก็จะรำคาญพวกเขาเองพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?” ฮองเฮากระซิบแผ่วเบา
ขันทียิ้มตอบ “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าเด็กพวกนั้นเสียงดังยิ่งนัก อีกไม่กี่วันฝ่าบาทก็คงทนไม่ไหวแล้วละพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาไม่อยากโต้เถียงเรื่องนี้อีกต่อไป จึงหยุดและถามว่า “องค์ชายเล่า? เหตุใดไม่พบเขามาสองวันแล้ว?”
ยามที่หนานกงหลีอยู่ในเมืองหลวง เขามักจะมาคารวะฮองเฮาทุกวัน นี่คือเหตุผลที่เขายังเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ หลังจากเกิดเรื่องกับหนานกงเยี่ยน องค์ประมุขเห็นแก่ความกตัญญูของเขาที่มีต่อฮองเฮา จึงไม่สั่งห้ามมิให้เข้าวังตามอำเภอใจ
ขันทีสูดหายใจด้วยความสงสัย “จริงด้วย ไม่ได้ข่าวองค์ชายมาสองวันแล้ว หากองค์ชายไม่สามารถมาคารวะท่านได้ ก็คงจะส่งคนมาแจ้งข่าว”
ฮองเฮากล่าวอย่างปวดหัว “เจ้าไปที่จวนตี้จี ไปดูหลีเอ๋อร์กับซีเอ๋อร์แทนข้าหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรับคำสั่ง เดินเข้าไปในรถม้าโดยที่ยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน
เช้าวันนี้หนานกงหลีเพิ่งถูกส่งตัวกลับจวนตี้จี หลังจากเขาเหยียบย่ำสองแม่ลูกอวิ๋นเฟยและนางเจียง ก็ถูกอวี๋เซ่าชิงจัดการซ้อมไปรอบหนึ่ง คนทั้งคนล้มกลิ้งลงจากเนินเขา สลบไสลในพงหญ้าถึงสองวันสองคืน
เคราะห์ดีที่ตรงนั้นไม่มีสัตว์ร้าย มิฉะนั้นจะถูกคาบไปหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้
ช่างไม้ที่ผ่านมาพบจดจำสัญลักษณ์บนร่างของเขาได้ จึงส่งเขากลับไปที่จวนตี้จี
หนานกงหลีถูกทุบตีอย่างรุนแรงจนปากบวมตุ่ย ลิ้นพันกัน ขันทีฟังอยู่นานก็ยังฟังไม่ออกว่าเขาถูกใครทำร้ายมา
ขันทีจำต้องกลับวังไปรายงานสถานการณ์ของหนานกงหลีให้ฮองเฮาทราบตามความเป็นจริง
ใบหน้าของฮองเฮาหมองหม่น “หลีเอ๋อร์ถูกคนทำร้าย? ใครเป็นคนทำ?”
“ไม่ ไม่ทราบชัดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีส่ายหน้าอย่างละอายใจ “กระหม่อมเชิญหมอหลวงให้องค์ชายแล้ว ฮองเฮาอย่าได้ทรงกังวลจนกระทบพระวรกาย รออาการองค์ชายดีขึ้น ความจริงก็จะกระจ่างเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาลุกขึ้นยืน “ไม่ได้ ข้าจะไปดูหลีเอ๋อร์”
ขันทีรีบโน้มน้าวห้ามปราม “ฮองเฮา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ท่านเป็นฮองเฮา ไม่อาจออกจากวังไปด้วยพระองค์เอง!”
พระเนตรของฮองเฮาส่องประกายเย็นชา “เช่นนั้นข้าจะไปขอร้องฝ่าบาท!”
ฮองเฮาตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมหนานกงหลีแล้ว ต่อให้ผู้ใดโน้มน้าวนางก็ไร้ประโยชน์ นางไปถึงตำหนักองค์ประมุข ไม่มีผู้ใดขวางทางนาง ทว่านาทีนี้ นางยินยอมให้ใครสักคนมาขวางนาง และบอกให้นางอย่าดูฉากตรงหน้านี้
เด็กน้อยสามคนกำลังเล่นอยู่ในสวน สวนที่เดิมทีไม่ปลูกแม้กระทั่งดอกไม้สักดอก ยามนี้กลับมีชิงช้าสามตัวเพิ่มขึ้นมาในชั่วข้ามคืน ยังมีม้าไม้อีกกลุ่มใหญ่ ของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกนับไม่ถ้วน ไข่ดำทั้งสามเล่นอันนี้ทีอันนู้นที องค์ประมุขกับอวิ๋นเฟยก็นั่งมองพวกเขาอยู่บนระเบียงทางเดิน
ใบหน้าทั้งสองคนมีรอยยิ้มเริงร่า
อวิ๋นเฟยยิ้มเพราะไข่ดำน้อยเชื่อฟังยิ่งนัก
องค์ประมุขยิ้มเพราะไข่ดำน้อยและอวิ๋นเฟยล้วนเชื่อฟังยิ่งนัก
ภาพชื่นชีวีสุขสันต์ร่วมกันเช่นนี้ ราวกับพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันตั้งแต่ต้น
ฮองเฮารู้สึกว่าดวงตาของนางถูกทิ่มแทงเจ็บแสบ
จู่ๆ นางก็ลืมไปว่าตนเองมาที่นี่เพื่อขอร้ององค์ประมุขให้ทรงอนุญาตนางออกจากวัง อยู่นานกว่านี้ก็ยิ่งทนไม่ไหว นางเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง!
แต่ครั้งนี้องค์ประมุขไม่เห็นนาง
ตั้งแต่เมื่อใด ที่หัวใจของบุรษผู้นี้ไม่ได้มีนางเพียงคนเดียวอีกแล้ว?
ฮองเฮาไม่นั่งราชรถ และไม่ให้ข้ารับใช้ติดตามมา นางเดินอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่อย่างนั้นในวังหลัง ไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใด นางถูกเสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยปลุกให้ตกใจตื่นจากภวังค์
“เอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่า ตาเจ้าแล้ว!”
เสี่ยวเป่าโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ ตะโกนพูดกับเอ้อร์เป่า
เอ้อร์เป่าเดินมาอย่างเชื่อฟัง “เช่นนั้นก็ผูกให้ข้า”
เสี่ยวเป่านำผ้าเช็ดหน้ามาผูกตาเอ้อร์เป่า
เอ้อร์เป่าเริ่มต้นวิ่งจับคน
ต้าเป่าพูดไม่ได้ แต่เสี่ยวเป่าพูดได้ เขาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังต้าเป่า “มาสิๆ มาจับข้าสิ!”
เอ้อร์เป่าจับโดนต้าเป่า
เสี่ยวเป่าหัวเราะกลิ้งไปบนพื้น “ฮ่าๆๆๆๆ!”
ตอนนี้ถึงตาของต้าเป่าจับแล้ว
เอ้อร์เป่านำผ้าเช็ดหน้าไปผูกตาต้าเป่า “เจ้า เจ้า…มองเห็นหรือไม่?”
ต้าเป่าส่ายหัว
เอ้อร์เป่าอธิบายกฎ “ห้ามโกง ห้ามแอบมอง นับหนึ่งถึงสิบ จากนั้นก็มาจับได้”
ต้าเป่าพยักหน้า
เสี่ยวเป่ากับเอ้อร์เป่าแลกเปลี่ยนสายตาชั่วร้ายกัน และวิ่งหนีไปอย่างเงียบๆ!
ต้าเป่าจับแล้วจับอีก จับอยู่นานก็ยังไม่เจอ
ที่นี่เป็นสวนขนาดเล็กที่อยู่ห่างจากตำหนักองค์ประมุขไปเป็นเวลาหนึ่งเค่อ ทางทิศตะวันออกเป็นทะเลสาบที่น้ำไม่นิ่ง แต่มีรั้วล้อมรอบเพื่อป้องกันเด็กๆ ตกลงไป
ต้าเป่ายื่นมือน้อยๆ เดินไปที่รั้ว
นี่คือเด็กที่พูดไม่ได้คนนั้น เป็นเขาที่จิกหัวฮองเฮาจนโล้น เป็นเขาที่เอาตราหยกขององค์ประมุขไปและนั่งบนบัลลังก์มังกรแห่งหนานจ้าว
แม้เขาจะมีอายุเพียงสามขวบ แต่เขาก็เป็นคู่แข่งตัวใหญ่ที่สุดของหนานกงหลีแล้ว
จะเป็นอย่างไร หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับเขา?
อวิ๋นเฟยจะยังยิ้มออกอีกหรือไม่?
ตี้จีองค์โตเป็นต้นเหตุที่ทำให้หลานชายของตนเองต้องตาย นางจะยังมีโอกาสขึ้นเป็นประมุขหญิงอีกหรือไม่?
ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจ ฮองเฮายื่นมือออกไปเปิดรั้วอย่างแผ่วเบา
ต้าเป่าเดินผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
ตุ๋ม!
ต้าเป่าก้าวเท้าเหยียบอากาศ ตกลงไปในทะเลสาบอันหนาวเหน็บ!
………………………