หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 336.1 ปทุมขาวถูกเปิดโปง (1)
อวี๋หวั่นรู้อยู่ว่าฮองเฮาไม่ได้เรื่องนัก แต่ไม่คาดคิดว่าไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้ กระทั่งเด็กสามขวบก็ยังทำร้ายได้ลงคอ เยี่ยงสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง
แต่คิดไปคิดมาก็ไม่แปลก อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางลงมือกับเด็ก เมื่อก่อนท่านแม่ของเธอถูกกลอุบายของฮองเฮาขับออกจากวังทั้งที่ยังเป็นทารก เมื่อเจ้าวัดไม่ดี หลวงชีก็สกปรก ไม่แปลกใจที่หนานกงเยี่ยนโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ ความกล้าหาญวางยาพิษเยี่ยนจิ่วเฉาในวัยเด็กถูกถ่ายทอดมาจากครรภ์มารดานี่เอง
ในเมื่อรู้แล้วว่าต้าเป่าถูกฮองเฮาทำร้าย เช่นนั้นอวี๋หวั่นก็ไม่อาจปล่อยให้เด็กๆ อยู่ที่ตำหนักจงกงอีกต่อไป
อวี๋หวั่นให้อิ่งสือซันกลับไปก่อน ส่วนเธอจะไปที่ตำหนักจงกงอย่างเปิดเผย
องค์ประมุขมีใจห่วงใยเด็กๆ มากขึ้น เพื่อที่จะดูแลพวกเขา จึงรับสั่งให้คนย้ายฎีกาทั้งหมดไปยังห้องตำราของตำหนักจงกง ขณะที่เขากำลังตรวจฎีกา จู่ๆ ขันทีหวังก็กระวีกระวาดเข้ามาในห้อง “ฝ่าบาท”
“มีอันใด?” องค์ประมุขกล่าวโดยไม่ละสายตาจากฎีกาตรงหน้า
ขันทีหวังชะงักไปและพูดว่า “องค์หญิงน้อยเดินทางมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ซีเอ๋อร์มาหรือ?” องค์ประมุขส่งเสียงอืมตอบรับ “ให้นางไปหาฮองเฮาก่อน ข้ายังมีราชกิจในมือ”
ขันทีหวังกระแอมเล็กน้อย “ไม่ใช่องค์หญิงซี แต่เป็นองค์หญิงหวั่นพ่ะย่ะค่ะ”
มือที่ตรวจฎีกาขององค์ประมุขหยุดชะงัก ไม่ได้โต้แย้งขันทีหวังที่เรียกอวี๋หวั่นเช่นนี้ เพียงแต่ถามว่า “มาที่วังหลวงหรือ?”
ขันทีหวังยิ้มแหย “ไม่ใช่วังหลวง แต่เป็นตำหนักจงกงพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขมือสั่น “ผู้ใดปล่อยให้เด็กคนนั้นเข้ามา?”
ขันทีหวังก็สงสัยเช่นกัน ตอนที่พบกับอวี๋หวั่นที่ประตู เขายังคิดว่าตัวเองเห็นผี เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเฟยไม่มีป้ายสัญลักษณ์เข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ ดังนั้นองค์หญิงหวั่นเข้ามาได้อย่างไร?
“ก่อเรื่องวุ่นวาย!” องค์ประมุขกดเสียงต่ำ แต่กลับไม่ได้ถามอะไรต่อ และตรัสกับขันทีหวัง “ให้นางเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ไปประตูตำหนักจงกงเพื่อนำอวี๋หวั่นเข้ามา
ด้านนอกห้องตำราเล็ก ขันทีหวังหยุดเดิน “ฝ่าบาท องค์หญิงหวั่นมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม”
เสียงทุ้มต่ำในลำคอขององค์ประมุขดังออกมาจากห้องตำรา
ขันทีหวังค้อมกายและชี้ไปที่ห้องตำรา “องค์หญิงหวั่น เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋หวั่นไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ แต่ขันทีหวังเป็นคนดีเธอจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจ หลังจากพยักหน้าตอบรับก็เดินเข้าไป
องค์ประมุขนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เหลือบมองอวี๋หวั่นพลางตรัสอย่างเฉยเมย “มิใช่ปฏิเสธไม่ยอมรับข้ารึ? เหตุใดจึงมาหาข้าได้?”
วันนี้อวี๋หวั่นไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเขา หากการทะเลาะกันยิ่งแย่ลง ก็มีแต่จะผลักให้เขาไกลออกไป แม้มีหรือไม่มีท่านตาผู้นี้ไม่ได้แตกต่างกันนัก แต่หากเป็นผลดีกับฮองเฮานั่นก็ได้ไม่คุ้มเสีย
อวี๋หวั่นพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้ามารับเด็กๆ กลับจวน”
องค์ประมุขได้เห็นท่าทีอ่อนโยนเชื่อฟังที่หาได้ยากของอวี๋หวั่น ทั้งน้ำเสียงก็ยังผ่อนคลายลงมาก “ฮองเฮาดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี เจ้าไม่ต้องกังวลไป ให้พวกเขาอยู่ในวังอีกสักสองสามวัน”
ตาแก่ไม่รู้อะไร บุตรของข้าเพิ่งอยู่ในวังได้ไม่เท่าไร ก็ถูกฮองเฮาแม่จันทร์กระจ่างของท่านทำร้ายจนตกน้ำ หากอยู่ต่อไปข้าเกรงว่าจะไม่ได้พบกันอีก
อวี๋หวั่นไม่ได้กระวนกระวานโต้เถียงกับเขา อย่างไรเสียหลังจากพบบุตรชายแล้ว พวกเขาก็จะติดเธอและอยากจะกลับไปกับเธอเอง
“ให้ข้าไปดูพวกเขาก่อนแล้วกัน” อวี๋หวั่นกล่าว
องค์ประมุขพยักหน้าและวางฎีกาในมือลง “ข้าจะพาเจ้าไป”
ขันทีหวังหน้ามุ่ย ตอนที่ทราบว่าองค์หญิงมา ท่านยังไม่เห็นร้อนใจละทิ้งราชกิจเช่นนี้ คงกลัวว่าเหล่าคุณชายน้อยจะไม่ต้องการทวดอย่างท่าน แล้วตามมารดากลับจวนกระมัง?
ไม่ต้องพูดแล้ว องค์ประมุขกังวลใจเช่นนี้จริงๆ
ยามออกจากห้องตำราเล็ก เดินผ่านไหล่ขันทีหวัง องค์ประมุขกระแอมในลำคอด้วยสีหน้าราบเรียบ รับสั่งด้วยเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินเพียงสองคน “นำตราหยกของข้ามาด้วย”
ขันทีหวัง “…”
เจ้าแผนการ!
เด็กน้อยทั้งสามนอนหลับและตื่นขึ้นในช่วงเวลาอาหารค่ำ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นก็พบว่ามารดาของพวกเขานั่งอยู่ข้างๆ เด็กน้อยสามคนถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นทุกคนก็รีบโผเข้าสู่อ้อมแขนของอวี๋หวั่น
“ท่านแม่ ท่านแม่ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านยิ่งนัก!”
“เอ้อร์เป่าก็คิดถึงท่านแม่!”
ต้าเป่าพยักหน้า
เป็นความหมายว่าเขาก็คิดถึงท่านแม่เหมือนกัน
อวี๋หวั่นกอดเด็กชายทั้งสามไว้ในอ้อมแขนและพรมจูบที่หน้าผากของพวกเขา “แม่ก็คิดถึงพวกเจ้านะ”
ทั้งสามนอนบนอ้อมแขนของมารดาทั้งกอดทั้งหอมกันโดยไม่สนใจองค์ประมุขที่อยู่ด้านข้าง
องค์ประมุขเขย่าตราหยกในมืออย่างเจ้าแผนการ
ต้าเป่าไม่สนใจเขา
มีท่านแม่แล้วใครจะเสียดายของเล่นพรรค์นั้น!
องค์ประมุขปวดใจยิ่งนัก แม้แต่ตราหยกก็ไม่น่าดึงดูดอีกแล้ว ดูแล้วคงไม่อาจรั้งให้เด็กๆ อยู่ต่อไปได้
เมื่อครู่ฮองเฮาไปเก็บส้มให้กับเด็กๆ ด้วยตนเองที่สวนผลไม้ เมื่อกลับถึงตำหนักจงกงก็ได้ยินว่าอวี๋หวั่นเดินทางมา นางจึงเดินไปที่ห้องปีกด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หวั่นเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสาม ไข่ซุกซนที่คอยสร้างปัญหาอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ต่อหน้าอวี๋หวั่นกลับทำตัวเชื่อฟังอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาทั้งสามคนถือขวดนมเล็กๆ นั่งดื่มนมอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งตัวเล็ก และใช้ดวงตากลมโตมองอวี๋หวั่นเป็นครั้งคราวราวกับกลัวว่าเธอจะจากไป
ท่าทางสงบเสงี่ยมเชื่อฟังของเด็กน้อยสามคน ทำให้หัวใจของผู้คนในห้องเคลิบเคลิ้มในความน่ารัก
องค์ประมุขที่เดิมทีชื่นชอบพวกเขามากอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งอดใจไม่ไหวหลงใหลพวกเขามากกว่าเดิม
ทว่าภาพเบื้องหน้าที่ตกอยู่ในสายตาของฮองเฮา หาใช่เรื่องน่ายินดี ยิ่งเด็กๆ น่ารักเช่นนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่าหนานกงหลีไม่เป็นที่ชื่นชอบแล้ว
ไม่ต้องเอ่ยว่ายามนี้หนานกงหลีโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อให้กลับไปเป็นเด็ก ก็ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบเช่นเด็กพวกนี้
แค่คนเดียวก็สามารถเทียบหนานกงหลีได้แล้ว แต่นี่เป็นสาม?
ฮองเฮาร้อนรุ่มในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออก สายตาของนางตกกระทบบนร่างของอวี๋หวั่น
นางเคยเห็นภาพของอวี๋หวั่น แต่ตัวจริงกลับงดงามกว่านั้น หากบอกว่าเหมือนตี้จีองค์โต แน่นอนว่าเหมือน เพียงแต่อารมณ์ดูสงบเยือกเย็นมากกว่าตี้จีองค์โตเล็กน้อย
เป็นหญิงสาวที่รูปลักษณ์งดงามน่ามอง ไม่แปลกใจที่สามารถเข้าไปอยู่ในสายตาซื่อจื่อแห่งราชวงศ์ต้าโจวได้
เมื่อเทียบกับเธอแล้ว หนานกงซีไม่อาจเทียบได้
ฮองเฮาหลับตา ระงับความสะเทือนในจิตใจ ปั้นยิ้มอ่อนโยนมีเมตตาเดินเข้าไปในห้อง “ข้าได้ยินว่าอาหวั่นมา ผู้นี้คืออาหวั่นหรือ? ช่างดูดียิ่งนัก”
นางมองอวี๋หวั่นอย่างใจกว้าง
อวี๋หวั่นก็มองนาง
หลังจากได้พบสตรีที่งดงามเช่นอวิ๋นเฟยกับท่านแม่ของเธอ ความสวยสง่าของฮองเฮาก็ไม่อาจเข้าไปอยู่ในสายตาอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลุกขึ้นทักทาย “ฮองเฮา”
ฮองเฮาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้ อย่าได้มาพิธีเลย นั่งเถอะ”
อวี๋หวั่นนั่งลง
เด็กน้อยทั้งสามมองไปที่ฮองเฮา จากนั้นก็มองมารดาของพวกเขาและดื่มนมต่อไป
เมื่อองค์ประมุขเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ฮองเฮา เหมือนที่เคยทำกับเขาในตอนแรก ก็รู้สึกสงบใจลงเล็กน้อย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสอง องค์ประมุขจึงเอ่ยเรื่องที่ต้าเป่าตกน้ำ “…โชคดีที่ฮองเฮาเดินผ่านมาจึงช่วยต้าเป่าขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่โชคดีนัก”
บัดนี้ อวี๋หวั่นสามารถพูดได้ว่า เหตุใดฮองเฮาถึงไปที่นั่น? ที่นั่นมิได้ใกล้กับตำหนักจงกง อีกทั้งไม่ใช่ทางผ่านไปยังวังมังกร แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่หยิบกล่องยาขี้ผึ้งออกจากกระเป๋าและส่งให้กับฮองเฮา “นี่คือยาขี้ผึ้งที่หมอชุยเตรียมไว้ เขาบอกว่านำไปทาให้เด็กหลังจากตกน้ำ สามารถป้องกันลมหนาว ทาที่บริเวณหน้าผากก็พอ ลำบากฮองเฮาแล้ว”
ขณะที่เธอพูด ก็ยื่นยาขี้ผึ้งใส่มือของฮองเฮา
ฮองเฮาชะงัก
เด็กทั้งสามสวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน กระทั่งสีหน้ายามดื่มนมก็ยังไม่ต่างกันมากนัก แล้วคนไหน คนไหนคือต้าเป่าละ?
“ต้าเป่า มานี่สิ” ฮองเฮาเกิดความคิด กวักมือไปทางพวกเขาทั้งสาม
แต่ต้าเป่าง่วนอยู่กับการดื่มนม ไม่ขยับเคลื่อนไหว
เป็นเอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่าที่ปรายตามองนางด้วยความสงสัย แต่ทั้งสองก็ไม่ขยับ
อวี๋หวั่นเอ่ยขออภัยด้วยรอยยิ้ม “อ้า หม่อมฉันลืมไป ฮองเฮาแยกไม่ออกว่าคนใดคือต้าเป่ากระมัง”
“แยกออกๆ!” ขันทีหวังซ้ำเติมได้ถูกจังหวะ “ยามที่ฮองเฮาช่วยต้าเป่าขึ้นจากน้ำ ยังบอกกับฝ่าบาทว่า ‘ต้าเป่าสำลักน้ำ’!”
ฮองเฮาเหงื่อเย็นผุดพราย
อวี๋หวั่นทำหน้าประหลาดใจ “จริงรึ? ข้าดูฮองเฮาคล้ายว่าไม่อาจแยกแยะพวกเขาได้ เหตุใดฮองเฮาถึงรู้ว่าเด็กที่จมน้ำคือต้าเป่าเล่า?”
นั่นก็เพราะนางเห็นเอ้อร์เป่ากับเสี่ยวเป่า แล้วได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งสอง แต่นางไม่มีทางยอมรับ เพราะหากยอมรับแล้ว ก็เป็นที่ชัดเจนว่านางไม่ได้ผ่านมาโดยบังเอิญ หากแต่แอบสังเกตการณ์พวกเขาเป็นเวลานาน นางมีเวลามากพอที่จะหยุดยั้งต้าเป่า ไม่ใช่เฝ้าดูเขาเดินลงทะเลสาบไปต่อหน้าต่อตา
ฮองเฮานึกเสียใจที่ตนเองทิ้งช่องโหว่ไว้ในประโยคนั้น
ตอนนี้นางต้องทำอย่างไร?
…………………….