หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 337 ทำลายตนเอง
ยามนี้ฮองเฮาไหนเลยจะยังหลงเหลือคราบความสง่างามทรงคุณธรรมในวันเก่า? ไม่เพียงแต่เป็นคำพูดที่รุนแรง น้ำเสียงยังเฉียบคมชัดเจน แม้แต่สีหน้าดุร้ายก็ดูราวสตรีที่น่ากลัวที่สุดในโลก
ในขณะนั้น องค์ประมุขรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างที่เขาเชื่อมั่นมาตลอดได้พังทลายลงในพริบตา
องค์ประมุขมองไปที่ฮองเฮาอย่างไม่เชื่อสายตา
ฮองเฮามองเห็นความตื่นตกใจและผิดหวังในสายตาขององค์ประมุข มันคือแววตาที่จะแสดงออกมาในยามที่สิ่งสวยงามถูกทำลาย หัวใจของฮองเฮายิ่งกระวนกระวาย นางอยากจะทำอะไรบางอย่างทว่าก็ทำอะไรไม่ได้
นางข้าหลวงที่ถือถาดตกใจทำอะไรไม่ถูก ก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างจับถาดแน่น ร่างทั้งร่างสั่นระริก
นางบอกว่าฮองเฮาเป็นผู้บริสุทธิ์เมื่อหนึ่งวินาทีก่อน วินาทีถัดมาฮองเฮากลับพ่นสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออกมา
แน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางกลัวที่สุด แต่เป็นฮองเฮาผู้สูงศักดิ์กลับกลายเป็นสตรีที่บ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าอวิ๋นเฟยได้อย่างไร?
ในอดีตอวิ๋นเฟยมักก่อความวุ่นวาย หาเรื่องทะเลาะ แต่นางก็ไม่บ้า พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด นางก็ยังนับว่าดูดี แต่ฮองเฮา…
นางข้าหลวงมองฮองเฮาอย่างอาจหาญ ก็ตกใจกลัวจนถาดในมือตกลงมา!
ชามยาแตกกระจาย ส่วนผสมหกกระเด็นไปทั่วพื้น
“บ่าวสมควรตาย! บ่าวสมควรตาย!” นางข้าหลวงโขกหัวกับพื้นด้วยความหวาดกลัว!
หากฮองเฮายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็เกินไปหน่อย เมื่อครู่คนตัวเล็กพวกนั้นโยนแมลงใส่ตัวนางไม่น้อย ต้องเป็นเพราะพวกเขาทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้!
คราวนี้ฮองเฮาพุ่งเป้าไปที่เสี่ยวเป่า นางจ้องมองเสี่ยวเป่าด้วยดวงตาแดงก่ำ แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาเสี่ยวเป่า
“ฮองเฮา!” องค์ประมุขคว้าแขนของนางและตะคอกอย่างแรง
ฮองเฮาราวกับถูกตีแสกหน้า รู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที
อวี๋หวั่นตัดสินใจจะพาบุตรชายกลับจวน แต่ออกตามหาครึ่งตำหนักจงกงกลับไม่เห็นเงาของพวกเขา ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงจากฝั่งนี้จึงรีบสาวเท้าเข้าไป ผลคือเธอมองเห็นสิ่งใด?
ในห้องเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง นางข้าหลวงก้มโขกหัวด้วยร่างกายสั่นระริก บุตรชายของเธอยืนอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้างุนงง ฮองเฮาเอียงตะแคงอยู่บนพื้น ผมยุ่งเหยิง ที่คลุมผมหลุดออกเผยให้เห็นหัวล้านที่ถูกต้าเป่าดึงก่อนหน้านี้ องค์ประมุขอยู่ข้างนาง…สีหน้าโกรธเกรี้ยวน่ากลัวราวกับเทพเฝ้าประตูวัด
อวี๋หวั่นกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ
เธอพลาดอะไรไปหรือเปล่า?
เด็กน้อยทั้งสามเห็นว่ามารดาของพวกเขามา ก็รีบเข้าไปในอ้อมแขนของเธอพร้อมกับคำห้าคำที่เขียนไว้ทั่วร่างกาย ลูกน้อยใจยิ่งนัก
ฮองเฮากริ้วจัด ทำร้ายจนคนอื่นเป็นเช่นนี้ ผู้ใดกันแน่ที่ควรน้อยใจไม่ได้รับความเป็นธรรม?
แน่นอนในที่สุดอวี๋หวั่นก็ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากเสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่า ที่แท้ทั้งสามคนก็บังเอิญเดินเข้ามาในห้องของหนานกงเยี่ยน และตบยุงให้หนานกงเยี่ยน แต่ฮองเฮาเข้าใจผิดว่าพวกเขากำลังดูหมิ่นหนานกงเยี่ยน ฮองเฮาถูกกระตุ้นด้วยความโกรธแค้นทำร้ายเอ้อร์เป่า เสี่ยวเป่าโต้ตอบนาง นางจึงหมายจะสั่งสอนเสี่ยวเป่าด้วย แต่คนที่ได้รับบาดเจ็บกลับเป็นต้าเป่า
ต้าเป่าที่น่าสงสารของเธอ
เพื่อล้างแค้นให้พี่ชาย เสี่ยวเป่าปล่อยแมลงกู่ไปกัดนาง เสี่ยวเป่าที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ ในวันธรรมดาไม่ตั้งใจเรียนวิชากู่กับอาจารย์อาเว่ย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนำกู่แบบใดติดตัวมา เทหมดหน้าตักใส่ฮองเฮาในคราวเดียว ผลคือฮองเฮาติดกับ
คำพูดที่กล่าวออกมาหมดเปลือก แปดเก้าส่วนเป็นคำพูดที่จริงใจของนาง
พูดเฉยๆ ก็มากพอแล้ว ท้ายที่สุดยังเกือบลงมือกับเสี่ยวเป่าต่อหน้าองค์ประมุข
สีพระพักตร์ขององค์ประมุขเรียกได้ว่าวิเศษยิ่งนัก
“ตบยุงจริงๆ” เอ้อร์เป่ายื่นมือน้อยๆ ออกไปเผยร่างยุงตัวเล็กให้มารดาดู
อวี๋หวั่นลูบหัวน้อยๆ ของเขา “แม่เชื่อพวกเจ้า”
เอ้อร์เป่าโถมตัวเข้าไปกอดมารดา เสี่ยวเป่าก็เข้าไปกอดด้วย
อวี๋หวั่นเชิดศีรษะของเสี่ยวเป่าขึ้นมา “ดูสิ ยามปกติพวกเจ้าเอาแต่กลั่นแกล้งต้าเป่า ในช่วงเวลาที่สำคัญ ต้าเป่าก็ยังปกป้องเจ้า ยังจะกลั่นแกล้งต้าเป่าอีกหรือไม่?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัวอย่างออดอ้อน
ข้าจะแกล้งเอ้อร์เป่า!
เอ้อร์เป่าตัวสั่นระริก!
อวี๋หวั่นเอ่ยเสียงเบา “เอาละ พวกเราไปบอกลายายทวดที่ตำหนักจูเชวี่ยกันเถิด วันหน้าค่อยมาเยี่ยมนางใหม่”
“อื้อ!” ทั้งสามพยักหน้า
อวี๋หวั่นพาไข่ดำทั้งสามไปที่ตำหนักจูเชวี่ยของอวิ๋นเฟย องค์ประมุขรับสั่งเพียงว่าอวิ๋นเฟยไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักจูเชวี่ย แต่ไม่ได้บอกว่าไม่มีใครไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
เมื่อรู้ว่าทั้งสามกำลังจากไป อวิ๋นเฟยก็โหยหาไม่อยากแยกจากพวกเขา
ช่วงสองสามวันที่ไข่ดำทั้งสามอาศัยอยู่ในตำหนัก เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนาง นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าสวรรค์จะกรุณานางเช่นนี้ ให้ครึ่งตัวของนางได้ก้าวเข้าสู่วัยแห่งความไร้เดียงสา ได้บุตรสาวกลับคืนมาและมีเด็กๆ ที่น่ารักถึงเพียงนี้
“พวกเราจะมาหาท่านบ่อยๆ!” เอ้อร์เป่ากล่าวอย่างปากหวาน “พวกเราชอบยายทวดที่สุด!”
หากกล่าวถึงการประจบสอพลอแล้ว ไม่มีใครเกิน
อวิ๋นเฟยเช็ดน้ำตาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดีๆๆ ยายทวดรอพวกเจ้าอยู่ในวังนะ”
นางหยิบส้มเขียวหวานมาให้ไข่ดำนำกลับไปด้วย รู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้ขาดแคลนสิ่งของในวัง แต่นี่เป็นน้ำใจของนาง ไข่ดำน้อยทั้งสามก็รับมันมาอย่างมีความสุขยิ่งหาใดเปรียบ
อวิ๋นเฟยเคยคิดว่าคนอื่นปฏิบัติต่อนางอย่างดีเพราะนางเป็นคนดีมาก ผ่านมาหลายปีจึงได้รู้ว่านั่นเป็นเพราะคนอื่นดีมากพอ
“เจ้าสอนพวกเขาได้ดีมาก” อวิ๋นเฟยกล่าวกับอวี๋หวั่นอย่างปลื้มใจ
อย่ามองว่าทั้งสามยามซุกซนไม่สนใจสิ่งใด แต่กลับล้วนเป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี อยู่กับพวกเขาไม่เคยรู้สึกอึดอัดไม่สบายใดๆ
“เป็นส้มที่ธรรมดามากยิ่งนัก…” อวิ๋นเฟยกระซิบทั้งน้ำตา
ไข่ดำน้อยทั้งสามถือตะกร้าใบเล็กด้วยตัวเอง และนำส้มที่อวิ๋นเฟยมอบให้พวกเขาขึ้นรถม้าอย่างใส่ใจราวกับเป็นของล้ำค่า
…
ฮองเฮาตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาครึ่งคืนแล้ว นางเบิกตาโพลงลุกขึ้นนั่งบนเตียง
นางมองผ้าห่มที่วางอยู่บนร่างกายของนาง จากนั้นก็มองรอบห้องที่คุ้นเคย ความรู้สึกเวียนศีรษะค่อยๆ เข้ามา นางกุมหน้าผากอย่างเจ็บปวด สูดหายใจเฮือกใหญ่
“ฮองเฮา ท่านตื่นแล้ว” ขันทีเดินมาพร้อมกับตะเกียงน้ำมัน มองฮองเฮาที่ใบหน้าซีดเซียวด้วยความเป็นห่วง
ฮองเฮาถามด้วยความสงสัย “ข้าเป็นอันใด? ฝ่าบาทเล่า?”
นางจำได้ชัดเจนว่าเมื่อครู่นางอยู่ที่ห้องของเยี่ยนเอ๋อร์ เหตุใดเพียงพริบตาเดียวนางจึงมานอนอยู่บนแท่นบรรทมหงส์?
ขันทีทราบแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางข้าหลวงที่เป็นพยานว่าฮองเฮาเสียกิริยาถูกเขาลงโทษอย่างเงียบๆ แล้ว แต่มีบางอย่างที่ขันทีตัวเล็กๆ อย่างเขาไม่มีแรงพอจะเปลี่ยนทางกระแสได้
เขาถอนหายใจ “ท่านสลบไป บ่าวให้คนพาท่านกลับมา ฝ่าบาท…เสด็จกลับตำหนักของพระองค์แล้ว ยามนี้คงไปที่ห้องทรงอักษรอีกครั้ง ฮองเฮาท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? ยังรู้สึกไม่สบายที่ใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้า…” ฮองเฮาลูบใบหน้าของตนเอง และม้วนแขนเสื้อขึ้นสำรวจมองท่อนแขน รอยบวมแดงและผื่นหายแล้ว ความรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจลำบากก็หายแล้ว
ขันทีอธิบายว่า “ปรมาจารย์พิษมาถอนกู่ให้ท่านแล้ว”
“ข้าต้องการพบราชครู!” ฮองเฮาเอ่ย
ขันทีกล่าว “ยามที่ฮองเฮาสลบไม่ได้สติ บ่าวไปที่สำนักราชครู แต่น่าเสียดายที่ใต้เท้าราชครูกำลังภาวนาปฏิบัติ”
“ภาวนาปฏิบัติในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้…” ฮองเฮาปวดหัวอีกครั้ง!
“ฮองเฮา ร่างกายของท่านยังมีพิษหลงเหลืออยู่ ดื่มยาก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากขันทีวางตะเกียงน้ำมันลงบนโต๊ะ ก็เปิดภาชนะใส่อาหาร นำชามน้ำแกงอุ่นๆ ออกมาถวายถึงพระหัตถ์ฮองเฮาอย่างระมัดระวัง
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของตนเองในยามนี้ ฮองเฮาพลันหมดอารมณ์ดื่มยา
“ฮองเฮา” ขันทีพยายามเกลี้ยกล่อม
ฮองเฮาหลับตา ทอดถอนใจอย่างหมดหนทาง รับชามยามา “เจ้าว่า ข้าสูญเสียความโปรดปรานแล้วใช่หรือไม่?”
ชันทีกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร? ความรู้สึกของท่านกับฝ่าบาทมีต่อกันเนิ่นนานหลายปีจะไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคเล็กน้อยเช่นนี้ได้เลยหรือ?”
ฮองเฮาอ้าปากพะงาบ “แต่เมื่อครู่นี้ข้า…”
ขันทีก็กล่าวว่า “คนไม่ใช่ปราชญ์จะไร้ข้อผิดพลาดได้อย่างไร คู่สามีภรรยาสามัญชนยังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นระยะ ท่านกับฝ่าบาทไหนเลยจะโชคดีรอดพ้น? ท่านจะไม่ผิดหวังกับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“มิใช่ข้าผิดหวังกับฝ่าบาท แต่เป็นฝ่าบาทที่ผิดหวังกับข้า” ฮองเฮากำลังจะดื่มยา แต่เมื่อถ้วยมาถึงปากก็วางลง พลางถอนใจเฮือกใหญ่ ” วันนี้เจ้าก็เห็นแล้ว เยี่ยนเอ๋อร์ของข้าสูญสิ้นความโปรดปราน ซีเอ๋อร์ก็ไร้ประโยชน์ หลีเอ๋อร์แม้จะเป็นต้นกล้าที่ดี ทว่าน่าเสียดาย…เกรงแต่จะถูกข้าทำให้ติดร่างแหไปด้วย”
หลังจากดื่มยา ฮองเฮาก็ล้างหน้าล้างตา สวมที่คลุมผม จัดระเบียบรูปลักษณ์ มุ่งหน้าไปห้องทรงอักษร
องค์ประมุขขยันขันแข็งในราชกิจ แต่ไม่ได้บังคับให้ตนเองต้องทำงานหนักมากเกินไป เขาสนใจในร่างกายของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ทว่าราตรีนี้ดึกดื่นแล้ว เขากลับยังไม่มีทีท่าว่าจะไปพักผ่อน
“ฝ่าบาท…” ขันทีหวังจำไม่ได้ว่าตนเองโน้มน้าวไปกี่ครั้งแล้ว “ท่านเป็นเช่นนี้ต่อไปมิใช่ครึ่งหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขไม่ตรัสสิ่งใด
ไม่นาน ขันทีหวังก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท…”
องค์ประมุขขัดคำพูดของเขาอย่างเย็นชา “เจ้าง่วงก็ไปนอน! อย่ามารบกวนข้า!”
ขันทีหวังกล่าวว่า “ฮองเฮาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
พระหัตถ์ขององค์ประมุขหยุดชะงัก
“ท่านเห็นว่า…” ขันทีหวังลังเลใจ หากเป็นเมื่อก่อน ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เขาทราบแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นห้องบรรทมขององค์ประมุข หรือห้องทรงอักษรขององค์ประมุข ทั้งหมดล้วนเป็นสถานที่ที่ฮองเฮาสามารถไปมาได้อย่างอิสระ แต่วันนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในตำหนักจงกง ขันทีหวังรู้สึกว่าเขาควรรอบคอบมากขึ้น
“ให้นางเข้ามา” องค์ประมุขตรัส
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังรับคำสั่ง หันหน้ามาเอ่ยกับฮองเฮา “ฮองเฮา เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตั้งสติ เข้าไปในห้องทรงอักษรด้วยท่าทางสูงส่งสง่างาม
สตรีที่บ้าคลั่งเมื่อค่ำราวกับเป็นเพียงภาพลวงตาขององค์ประมุข ยามนี้นางคือหงส์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากกองไฟ
องค์ประมุขมองนางปราดหนึ่ง สายตาหลุบต่ำอย่างสลับซับซ้อน
ฮองเฮาเตรียมตัวรับมือกับท่าทีขององค์ประมุขมาก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าองค์ประมุขปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชากว่าปกติ นางจึงเดินเข้าไปหาช้าๆ และมององค์ประมุขจากระยะที่ห่างออกไปหนึ่งโต๊ะ “ฝ่าบาท ยังทรงกริ้วหม่อมฉันอยู่หรือเพคะ?”
องค์ประมุขไม่ส่งเสียงใดๆ
ฮองเฮาเอ่ยว่า “หม่อมฉันถูกฤทธิ์ของกู่ มิได้พูดจากใจจริง ฝ่าบาทคิดว่าจู่ๆ หม่อมฉันก็เสียสติหรือเพคะ หม่อมฉันเป็นภรรยาของฝ่าบาทมาหลายปี หม่อมฉันปฏิบัติต่อผู้คนเช่นไร ฝ่าบาทไม่ทรงทราบดีแก่ใจหรือเพคะ?”
นั่นสิ ฮองเฮาของเขา เขาไม่รู้ดีแก่ใจหรือ?
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว องค์ประมุขก็ยังคงจำฉากตอนที่เขาพบนางและอวิ๋นเฟยในครั้งแรกได้
คนแรกที่เขามองเห็นคืออวิ๋นเฟย ในตอนนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นฮองเฮาที่อยู่ด้านข้าง แต่เป็นฮองเฮาที่ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อแก้ปัญหาแทนอวิ๋นเฟย จากนั้นเขาก็ค้นพบว่ามีสตรีที่ซื่อสัตย์มากเมตตาเช่นนี้อยู่ในโลก
อวิ๋นเฟยงดงามราวดอกฝิ่น ทว่าไม่เหมาะที่จะเป็นฮองเฮาของเขา
หลายปีที่ผ่านมา นางไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ นางเป็นมารดาแผ่นดินและฮองเฮาผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม
สิ่งที่นางกล่าวนั้นถูกต้อง ความรู้สึกหลายปีเช่นนี้ ความบ้าคลั่งของนางจากฤทธิ์กู่เพียงครั้งเดียว จะปฏิเสธทุกสิ่งที่นางทุ่มเทอุทิศให้เขาและหนานจ้าวได้หรือ?
องค์ประมุขรู้สึกว่าเขาไม่ควรสงสัยในตัวฮองเฮา เขาอยากบอกว่าข้าอภัยให้เจ้าแล้ว แต่เมื่อวาจาขึ้นมาถึงริมฝีปาก ก็กลับกลายเป็นประโยคที่ว่า “เจ้าเป็นคนผลักต้าเป่าตกน้ำหรือไม่?”
แน่นอน เขาไม่ได้ถูกกู่แต่อย่างใด เพียงแต่หลังจากเขาออกจากตำหนักจงกง ในสมองของเขาก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่กับความสงสัยเกี่ยวกับฮองเฮาที่อวี๋หวั่นทิ้งไว้ “ฮองเฮารู้ได้อย่างไรว่าเด็กที่ถูกช่วยขึ้นมาเป็นต้าเป่า?”
เขาพูดออกไปโดยไม่ตั้งใจ
ฮองเฮาอึกอัก
“เป็นเจ้าหรือ?” องค์ประมุขถามอีกครั้ง
ฮองเฮากระอักกระอ่วนในลำคอ นางบีบนิ้วและกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันไม่ได้ผลักเขาลงไปในน้ำ!”
“เช่นนั้น เจ้าเปิดรั้วหรือไม่?” องค์ประมุขมองไปที่นาง
หัวใจของฮองเฮากระตุกวูบ
ขนตาของนางสั่นระริก ตัดพ้อด้วยความน้อยใจ “องค์ประมุขไม่ไว้ใจหม่อมฉันถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ? ต้าเป่าเป็นทายาทของฝ่าบาท หม่อมฉันจะทำร้ายเลือดเนื้อของท่านได้อย่างไร? ในพระทัยของฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นคนที่ไม่อาจทนกับเด็กคนหนึ่งได้เลยหรือเพคะ?”
องค์ประมุขตรัสอย่างเหนื่อยอ่อน “ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้ายังมีราชกิจต้องจัดการ”
ดวงตาของฮองเฮาสั่นไหว ก้มหัวลงอย่างไม่เต็มใจ โค้งคำนับอย่างเคร่งระเบียบ “เพคะ หม่อมฉันขอทูลลา”
เมื่อนางออกจากห้องทรงอักษร ลมหนาวพลันพัดผ่าน ชวนให้ใจของนางเย็นยะเยือก
ปรมาจารย์พิษถูกรับเชิญจากองค์ประมุข ไม่สำคัญแล้วว่านางเป็นบ้าหรือไม่ มุมมองขององค์ประมุขที่มีต่อนาง… ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!
“หวังเต๋อเฉวียน” ในห้องทรงอักษร องค์ประมุขวางฎีกาลง “เตรียมเกี้ยวไปตำหนักจูเชวี่ย”
“…พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังสงสัย เหตุใดดึกดื่นเช่นนี้ ฝ่าบาทยังเสด็จไปหาอวิ๋นเฟยถึงที่? อีกทั้งไม่ใช่วัยที่มีพละกำลังกระฉับกระเฉงจะเรียกคนให้ตื่นขึ้นกลางดึกมาทำอะไร
องค์ประมุขเสด็จไปยังตำหนักจูเชวี่ย
เขาไม่รีบร้อนให้คนไปแจ้งข่าว เพียงแต่ยืนอยู่ใต้กำแพงวังสูงตระหง่านด้วยความงุนงงเป็นเวลานาน
“ฝ่าบาท…” ยามที่ขันทีหวังหมายจะถามเขาว่าต้องการจะไปหรืออยู่ที่นี่ เขาก็ก้าวเข้าไปในห้องโถง
อวิ๋นเฟยยังไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน ไข่ดำทั้งสามจากไปทำให้นางเหงาเกินกว่าจะหลับลง
นางนั่งอยู่บนชิงช้าที่ผูกไว้เพื่อไข่ดำน้อย นางโยกมันเบาๆ เป็นครั้งคราว
ทันใดนั้น เงาดำหนึ่งก็ตกลงมาข้างเท้านาง นางตกตะลึงหันไปมองอย่างว่างเปล่า มองเห็นองค์ประมุขที่ดูแก่ลงไปหลายสิบปีในชั่วข้ามคืนยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์สีเทาเงิน
นางคร้านจะสนใจเขา ไม่ลุกขึ้นคำนับ หันหน้ากลับและแกว่งไกวชิงช้าต่อไป
อย่างไรก็กักบริเวณนางแล้ว มากกว่านี้ก็เหลือแต่ฆ่านางให้ตาย นางได้พบบุตรสาวแล้ว และได้พบอวี๋หวั่นกับไข่ดำทั้งสาม ชีวิตนี้ไม่มีเรื่องเสียใจ ถึงตายก็ไม่เป็นไร
ไหนเลยจะรู้ว่าองค์ประมุขไม่โกรธเกรี้ยว กลับเดินไปหยุดอยู่ข้างกายนาง “ตอนนั้นเจ้าบอกว่าฮองเฮาสมรู้ร่วมคิดกับราชครูคนเก่า เจ้ามีหลักฐานหรือ?”
……………………