หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 344 ต้าเป่ามาแล้ว
ไม่ใช่ถูกจับถ่วงน้ำไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่ตำหนักจินหลวน? หรือพวกเขากำลังเห็นผีกลางวันแสกๆ?
ขันทีหลี่ตกตะลึง ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ เขาทำให้คนจมน้ำไปกับตา ก้อนหินที่ผูกไว้หนักเช่นนั้น ต่อให้ถนัดทางน้ำเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะว่ายน้ำขึ้นมา
แน่นอนว่าขันทีหลี่ไม่คิดว่าขันทีหวังจะถูกอวิ๋นเฟยช่วยชีวิต แต่ต่อให้คิดได้ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่ควรตายไปแล้วกลับไม่ตาย สถานการณ์ต่อไปเกรงจะน่ากระอักกระอ่วน
“ขันทีหวัง เจ้าไม่ได้เป็นไข้ทรพิษ…กำลังจะตายหรือ?” ผู้ถามเป็นขันทีกระทรวงขุนนาง ฮองเฮากล่าวได้ครึ่งหนึ่งก็สะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียง พวกเขาจึงอนุมานได้ว่าขันทีหวังไม่ตายก็ใกล้ตายเต็มทีแล้ว แต่ดูจากท่าทีมีเรี่ยวแรงแข็งขันของขันทีหวัง อย่างไรก็ไม่เหมือนคนใกล้ตายสักนิด!
ขันทีหวังตะคอก “ข้าเนี่ยนะ! ผู้ใดเป็นไข้ทรพิษใกล้ตาย? ข้าไม่ได้สบายดีอยู่รึ?”
ขันทีกระทรวงขุนนางมองมาที่เขา จากนั้นก็มองไปยังฮองเฮาที่สีหน้าตึงเครียด “ก็เมื่อครู่…”
“เมื่อครู่อันใด?” ขันทีหวังแกล้งจงใจถาม “มีคนแช่งให้ข้าเป็นไข้ทรพิษหรือ? ฮึ ข้าถูกรับสั่งให้ออกจากวังไปจัดการธุระของฝ่าบาท!”
ชายคนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ตายที่ก้นทะเลสาบ แต่ยังฉวยโอกาสหนีออกไปจากวัง ช่างน่าชิงชังยิ่งนัก!
ใบหน้าของฮองเฮาและขันทีหลี่ต่างเปลี่ยนไปไม่น่าดู
ฮองเฮาลอบจ้องมองขันทีหลี่ และกล่าวด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงสองคน “มิใช่บอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ? คนมีชีวิตอยู่ทั้งคนนี่มาได้อย่างไร?”
“เป็นความประมาทของข้าเอง” ขันทีหลี่ไม่กล้าปัดความผิด
ยามนี้สอบสวนความผิดของขันทีหลี่ไม่มีความหมาย การข้ามผ่านความยากลำบากในยามนี้โดยเร็วเป็นเรื่องเร่งด่วน
ดวงตาของฮองเฮาเกิดประกายวาบผ่าน “เจ้าโกหกว่าเจ้าไม่สบายใจ แปดเก้าส่วนน่าจะติดเชื้อไข้ทรพิษ ให้ข้าแยกเจ้าออกไป ไม่ต้องส่งคนไปดูแลเจ้า ที่แท้เป็นเรื่องโกหก เจ้าหลบหนีโดยพลการ! แต่เมื่อเจ้าหนีไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังกล้ากลับมา? หรือว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับใครบางคนคิดก่อการกบฏกระมัง?”
เจ้านั่นล่ะที่สมคบคิดกบฏ! แม่มดเฒ่าไร้ยางอาย!
ต้องบอกว่าหมวกของฮองเฮามัดปมไว้อย่างดีทีเดียว ไม่เพียงแต่ทำให้คำโกหกของตนเมื่อครู่สำเร็จลุล่วงด้วยดี ยังทำให้ขันทีหวังกลายเป็นคน ‘ก่อความวุ่นวายในราชสำนัก’ หากเขาทำสงครามกับฮองเฮาต่อไป ก็จำต้องชั่งน้ำหนักว่าเหล่าขุนนางจะเชื่อหรือไม่
“หึ!” ขันทีหวังกลอกตา ไม่เถียงกับฮองเฮาเรื่องความจริงที่เขาออกจากวัง ไม่ว่าจะเป็นพระราชโองการก็ดี โกหกเรื่องไข้ทรพิษก็ดี ล้วนไม่ใช่ความจริง เขาหนีออกจากวังด้วยความช่วยเหลือของอวิ๋นเฟย อวิ๋นเฟยมีบุญคุณกับเขา เขาไม่ต้องการลากผู้มีบุญคุณกับเขามาเกี่ยวข้องในเวลานี้
ขันทีหวังชั่งน้ำหนักพระราชโองการในมือของเขา “อย่างที่นักแสดงหญิงผู้นี้กล่าว ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่ออ่านพระราชโองการแก่ขุนนางทุกท่าน”
“เหตุใดจึงมีพระราชโองการอีกฉบับหนึ่ง?”
“จริงด้วย? หรือฝ่าบาททรงมอบให้ฮองเฮาหนึ่งฉบับ และให้ขันทีหวังอีกหนึ่งฉบับ?”
บรรดาขุนนางเริ่มกระซิบกระซาบกัน
กล่าวอย่างเป็นธรรม ฮองเฮาและขันทีหวังล้วนเป็นบุคคลที่องค์ประมุขไว้วางใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าพระราชโองการจะมอบให้ผู้ใดก็หาใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่สิ่งที่แปลกคือ คนหนึ่งในมือถือราชโองการฉบับหนึ่ง และมองอีกฝ่ายอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาขัดแย้งกัน
ฮองเฮามองไปที่พระราชโองการในมือขันทีหวังด้วยดวงตาเย็นชา
ขันทีกระทรวงขุนนางถือฮู่ป่าน[1]ไปด้านหน้า “ในเมื่อมีรับสั่งขององค์ประมุขสองฉบับ จึงเป็นการดีกว่าที่จะขอให้ฮองเฮาและขันทีหวังประกาศเนื้อหาของรับสั่งองค์ประมุขด้วยกันทั้งสอง”
ฮองเฮาพยักหน้าให้ขันทีหลี่
ขันทีหลี่อ่านพระราชโองการอีกครึ่งหนึ่งจบ ซึ่งหมายความโดยประมาณว่าองค์ประมุขทรงประชวรหนัก และไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่งตั้งหนานกงหลีเป็นองค์ประมุของค์ใหม่ ส่วนพระองค์เองเป็นไท่ซ่างหวาง และให้ฮองเฮาเป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
“ฮ่า!” เมื่อขันทีหวังฟังจบ ก็หัวเราะอย่างประหลาดใจ “หนานจ้าวมีประมุขหญิงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาก่อน นักแสดงหญิงผู้นี้มีความกระหายอยากอาหารดียิ่งนัก ยังคิดจะควบคุมราชสำนักอีกหรือ?”
ขันทีหลี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขันทีหวัง! เจ้าไม่อาจดูหมิ่นฮองเฮา!”
ขันทีหวังกลอกตา!
อวี้สื่อต้าฟู[2]หันมองขันทีหวัง “หากเป็นเช่นนั้น ขอบังอาจถามว่าในมือของเจ้าเป็นพระราชโองการใด?”
ขันทีหวังชูพระราชโองการขึ้น “ในมือข้า…คือคำสั่งปลดฮองเฮา!”
ฮองเฮาซวนเซ!
ขันทีหลี่จับตัวนางไว้ทันเวลาและเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “ฮองเฮา!”
บรรดาขุนนางต่างตกตะลึงพรึงเพริด วันนี้ก่อนออกมาพวกเขาลืมเปิดปฏิทินโหราศาสตร์หรือ เหตุใดราชสำนักจึงเกิดคลื่นลมกระพือฮือโหมเช่นนี้? องค์ประมุขชราต้องการปลดฮองเฮา? ปลดฮองเฮาที่เป็นที่โปรดปรานของเขามาตลอดชีวิต?
เป็นไปได้อย่างไร?
ทุกคนต่างมองไปที่ฮองเฮา
ฮองเฮาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “ทุกท่านอย่าไปเชื่อเขา! ข้ากับฝ่าบาทมีความรักอย่างลึกซึ้ง ฝ่าบาทจะปลดข้าได้อย่างไร? หวังเต๋อเฉวียนต้องสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นเพื่อเล่นงานข้าเป็นแน่! หวังเต๋อเฉวียน! เจ้าจงบอกมาว่าผู้ใดยุยงให้เจ้าคิดร้ายกับข้า”
ขันทีหวังฮึดฮัด “คนที่บอกข้าก็คือฝ่าบาท!”
ฮองเฮาร้อนรน “สามหาว! เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาท…”
“ฮองเฮา!” ขันทีหลี่บีบมือฮองเฮาแน่น พลางเค้นเสียงลอดไรฟัน
ฮองเฮาได้สติรู้ตัว
ขันทีแซ่หวังผู้นี้ ตนประเมินเขาต่ำเกินไปจริงๆ เพียงไม่กี่คำก็เกือบถูกบีบบังคับให้เผยความลับ
“พระราชโองการฉบับนี้เขียนขึ้นโดยองค์ประมุขเอง หากใต้เท้าทุกท่านไม่เชื่อ ก็สามารถมาดูด้วยตัวตนเองว่าเป็นลายพระหัตถ์ขององค์ประมุขหรือไม่” ขันทีหวังกล่าวด้วยความมั่นใจ และส่งพระราชโองการไปยังขุนนางฝ่ายบุ๋นที่อยู่ถัดจากเขา
ผู้ที่สามารถมาที่ศาลในราชสำนักได้ล้วนเป็นขุนนางระดับสามขึ้นไป พวกเขาจึงต้องเคยเห็นลายพระหัตถ์ขององค์ประมุขเป็นธรรมดา แต่ผู้ที่เข้าใจลายพระหัตถ์ ก็ต้องดูสามมหาเสนาบดีสูงสุดและอัครมหาเสนาบดีทั้งหลาย
อวี้สื่อต้าฟูรับพระราชโองการขององค์ประมุขมา เขาเป็นหนึ่งในสามมหาเสนาบดีสูงสุด และได้รับการยกย่องจากฝ่าบาท ในห้องของเขามีการประดิษฐ์ตัวอักษรส่วนพระองค์แสดงอยู่ไม่น้อย เขาสามารถยืนยันได้ นี่เป็นลายมือของฝ่าบาทแน่นอน
หลังจากนั้นเขาก็นำพระราชโองการส่งให้ไท่ฟู่[3]และไท่เว่ย[4]ดู
ทั้งสองได้เห็นแล้วก็ยังบอกว่าไม่มีร่องรอยของการเลียนแบบหรือลอกลายแบบอักษร
ขันทีหวังลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เยี่ยนอ๋องยามเป็นราชบุตรเขยของประมุขหญิงไม่ได้คิดเรื่องการกบฏ มิฉะนั้นความสามารถนี้คงทำให้หนานจ้าวตกที่นั่งลำบากไปแล้ว!
ราชโองการได้กล่าวว่า ฮองเฮาประพฤติตนไม่เหมาะสม ทำลายศักดิ์ศรีแห่งชาติ สมรู้ร่วมคิดกับขุนนางชั่วช้า ก่อความวุ่นวายต่อราชสำนัก ทำลายผู้จงรักภักดี มีเรื่องอื้อฉาวในวังหลวง เป็นภัยร้ายแรง นับจากนี้เป็นต้นไปปลดตำแหน่งฮองเฮาเป็นสามัญชนและคุมขังในตำหนักเย็น
พระราชโองการฉบับนี้ กับฉบับในมือของฮองเฮาอาจกล่าวได้ว่ามีเนื้อหาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้ที่หลังจากองค์ประมุขคิดจะปลดฮองเฮา ก็อยากตั้งนางเป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ดังนั้นในพระราชโองการสองฉบับนี้ต้องมีฉบับหนึ่งที่เป็นของปลอม
ขันทีหวังยืดเอวตรงและกล่าวว่า “ราชโองการของข้าได้รับการตรวจสอบแล้ว ว่าเป็นลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท ทั้งตราประทับและอวี้ปั๋วก็เป็นของจริงเช่นกัน ส่วนฮองเฮา ไม่ทราบว่าท่านกล้านำพระราชโองการของท่านมาให้เหล่าขุนนางดูหรือไม่!”
สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไป
ขันทีหวังเย้ยหยัน “ทำไมรึ? ไม่กล้า? เกรงว่าฮองเฮาคงไม่รู้กระมัง? ในห้องทรงอักษรของฝ่าบาทมีตราหยกแผ่นดินปลอมชิ้นหนึ่ง ท่านได้ขโมยไปผิดอันแล้ว!”
ฮองเฮาบีบนิ้ว
อวี้สื่อต้าฟูยกมือคำนับ “ฮองเฮา โปรดมอบพระราชโองการให้ใต้เท้าทั้งหลายชม”
ฮองเฮาตัวแข็งทื่อไม่ขยับ
พระราชโองการถูกนางหยิบไปตั้งแต่วินาทีที่ขันทีหวังก้าวเข้ามาในตำหนักจินหลวน
ขันทีหวังเดินไปคว้าราชโองการในมือของนาง “เอามานี่!”
“เจ้า…” ฮองเฮายื่นมือออกไปเพื่อจะคว้ามัน แต่ขันทีหวังก็หันตัวกลับไปอย่างรวดเร็วและมอบพระราชโองการให้กับสามมหาเสนาบดีสูงสุด
พระราชโองการนี้ไม่ใช่ลายมือขององค์ประมุข แต่เป็นของขุนนางใหญ่ องค์ประมุขมีอายุมากขึ้นก็เริ่มไม่อยากเขียนด้วยตัวเอง พระราชโองการที่ออกมานั้น แปดเก้าส่วนมาจากมือของขุนนางซื่อซู ขุนนางซื่อซูถวายการรับใช้เขียนพระราชโองการแทนองค์ประมุข ก็มีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อ และถูกแยกตัวออกไปแล้ว
ยามนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ลายมือนั้นถูกต้อง อวี้ปั๋วก็เป็นของจริงเช่นกัน ส่วนตราประทับ…
สามมหาเสนาบดีสูงสุดแลกเปลี่ยนสายตากัน
ขันทีหวังเท้าเอวหัวร่อ “รูปลักษณ์เดิมถูกเปิดเผยแล้วกระมัง?”
“เป็นพระราชโองการ” อวี้สื่อต้าฟูกล่าว
ขันทีหวังตกตะลึงตาค้าง “พวกเจ้าดูให้ชัด! อย่าได้ผิดพลาด! ตราหยกแผ่นดินเป็น ‘รับโองการสวรรค์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน’ จริงหรือไม่?
“ใช่” อวี้สื่อต้าฟูกล่าว
ฮองเฮายิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น
คิดว่านางเป็นคนโง่จริงๆ กระทั่งตราหยกแผ่นดินก็ไม่อาจบอกว่าเป็นจริงหรือปลอมหรือ?
นอกจากนี้ ตราหยกทั้งสองก็เหมือนกันทุกประการ ไม่มีใครสงสัยว่าตราหยกแผ่นดินเป็นของปลอม และก็ไม่อาจแยกแยะคำเหล่านั้นได้มากนัก แต่ด้วยเหตุบังเอิญ นางกำลังจะได้เป็นไทเฮาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เห็นพระราชโองการเป็นสิ่งดั่งสมบัติ หยิบมองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเห็นเบาะแส
พวกเขาแย่งชิงตราหยกแผ่นดินมาครึ่งวัน แต่กลับพบว่ามันเป็นของปลอม
โชคดีที่สวรรค์เข้าข้าง แม้พวกเขาไม่พบตราหยกแผ่นดินจริงในห้องทรงอักษร แต่พวกเขาพบตราประทับของตราหยกแผ่นดิน
นี่คือ ‘ราชโองการ’ ฉบับแรกที่ต้าเป่าประทับตราและหัวเราะเสียงหมูออกมา
องค์ประมุขไม่อยากทิ้งมันไป จึงเก็บไว้ด้วยความหวงแหน
ฮองเฮาไม่รู้เรื่องนี้ แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องรู้ ก็เพียงพอแล้วที่นางจะใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ฮองเฮามองขันทีหวังอย่างหยิ่งผยอง “ขันทีหวัง เจ้ามีสิ่งใดจะพูดอีก? เจ้าคิดว่าเจ้าขโมยตราหยกแผ่นดิน หาคนเลียนแบบลายพระหัตถ์ และมาที่นี่พร้อมกับพระราชโองการปลอมเพื่อปลดข้า?”
สิ่งต่างๆ กลับแย่ลงไม่ว่าจะมองอย่างไรขันทีหวังก็น่าสงสัยมากกว่าฮองเฮา
ไม่ว่าขันทีหวังจะเป็นที่โปรดปรานเพียงใด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้ติดตามเท่านั้น ไหนเลยจะเทียบกับภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา?
เมื่อเนื้อหาของพระราชโองการทั้งสองขัดแย้งกัน ทุกคนก็ยิ่งเต็มใจที่จะเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือของฮองเฮานั้นเป็นความจริง
ฮองเฮาตรัสอย่างเคร่งขรึมว่า “ตราประทับบนราชโองการนั้น องค์ประมุขทรงประทับด้วยพระองค์เมื่อคืนนี้ โชคดีที่องค์ประมุขทรงร่างราชโองการนี้ก่อน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่รู้ว่าขันทีหวังจะนำตราหยกแผ่นดินที่ขโมยไปเล่นลูกไม้อันใด!”
“ไม่ใช่ พวกเจ้า…พวกเจ้า…” ขันทีหวังไม่อาจเถียง! สตรีพิษร้ายผู้นี้! นางงูพิษ! นางงูพิษ!
ขันทีหลี่แผดเสียงทรงอำนาจ “ทหาร หวังเต๋อเฉวียนขโมยตราหยกแผ่นดิน ปลอมแปลงราชโองการ ใส่ร้ายฮองเฮา จับกุมตัวไว้!”
ทหารรักษาพระองค์สองสามคนรุมจับแขนขันทีหวัง
“พวกเจ้าอย่าได้หลงกลนาง! พระราชโองการของนางเป็นของปลอม นางคือฮองเฮาชั่วร้าย! ฮองเฮาชั่วร้าย! นางสตรีพิษ! นางสมรู้ร่วมคิดกับสำนักราชครู! กระทำผิดกฎวังหลวง! นาง…อื้อๆๆๆ!” ปากของขันทีหวังถูกคนใช้ผ้าปิดไว้
ขณะที่ขันทีหวังกำลังจะถูกลากออกไป ร่างอันแข็งแกร่งก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้า ผลักทหารรักษาพระองค์ที่จับขันทีหวังออกไปอย่างไม่ปรานี
ขันทีหวังเป็นอิสระ ดึงผ้าปิดปากออกและพูดด้วยความประหลาดใจ “องครักษ์เงา!”
อิ่งสือซันสวมเสื้อคลุมยาวสีดำเดินเข้าไปในตำหนักจินหลวนอย่างใจเย็น
ภายใต้สายตาจ้องมองอย่างตกตะลึงของเหล่าขุนนาง เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เปิดเสื้อคลุมและค่อยๆ วางไข่ดำน้อยที่ปกป้องไว้ในอ้อมแขนลงบนพื้นที่เป็นประกายระยิบระยับ
ดวงตาของต้าเป่ากลอกไปมา กอดตราหยกแผ่นดิน เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว
เห็นตราหยกแผ่นดินเท่ากับเห็นองค์ประมุข
ทุกคนคุกเข่าลงกับพื้น!
แม้แต่ฮองเฮาก็ยังคุกเข่าลงด้วยความตกใจ
ต้าเป่าเดินไปอยู่ต่อหน้าอวี้สื่อต้าฟู หยิบราชโองการในมือของเขา ก้มเอวเล็กลง กางพระราชโองการลงบนพื้นและใช้นิ้วเล็กๆ จิ้ม “อื้อๆ!”
อวี้สื่อต้าฟูมองไปยังจุดที่เขาชี้ มันคือด้านหลังของราชโองการ ที่มันถูกซ่อนไว้ด้วยพื้นผิว ตัวอักษรเล็กๆ เขียนด้วยลายมือจางๆ รัชศกไท่ชู ปีที่สี่สิบเอ็ด วันที่สิบเจ็ดค่ำ เดือนสิบสอง ยามโย่วสามเค่อ ต้าเป่าเป็นผู้ประทับด้วยตนเอง
นี่เป็นตราประทับแรกของเหลนตัวน้อยอันเป็นที่รักขององค์ประมุข และยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินหลานชายตัวน้อยหัวเราะเสียงหมู สำหรับองค์ประมุข นี่เป็นความทรงจำที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา
เขาบรรจงจดมันลงอย่างระมัดระวัง
เขารักมันอย่างดี
เดิมทีเป็นเพียงความรักที่มีต่อต้าเป่า แต่ไม่คาดคิดว่าช่วงเวลาวิกฤตกลับกลายเป็นหลักฐานที่ทรงพลังที่สุดในการโค่นล้มฮองเฮา
นี่เป็นลายมือขององค์ประมุข ไม่มีทางที่อวี้สื่อต้าฟู ไท่เว่ย ไท่ฟูจะจำไม่ได้
ดังนั้นนี่ไม่ใช่ตราที่องค์ประมุขทรงประทับไว้ แต่เป็นตราประทับขององค์ประมุขน้อย
เช่นนั้นที่ฮองเฮากล่าวเมื่อครู่ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเป็นคนประทับไว้ด้วยตนเองก็เป็นเรื่องโกหกอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนมองไปที่ฮองเฮาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ขันทีหวังรู้สึกยินดีปรีดา
องค์ประมุขน้อยมาถึงทันเวลา หากช้าไปก้าวเดียวสตรีพิษร้ายผู้นี้คงทำสำเร็จไปแล้ว!
ขันทีหวังกล่าวอย่างฮึกเหิม “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่? ผู้ใดปลอมแปลงราชโองการยังไม่รู้อีกหรือ? ยังไม่รีบจับสตรีพิษร้ายผู้นี้ไปอีก!”
ทหารรักษาพระองค์มองหน้ากัน
สามมหาเสนาบดีสูงสุดก็ส่งสายตากัน และพูดพร้อมเพรียง “พาตัวนางไป!”
ทหารรักษาพระองค์พุ่งเข้าหาฮองเฮา
เสี้ยววินาที ขันทีหลี่รีบวิ่งเข้าไปดึงต้าเป่าไว้ในอ้อมแขนและบีบคอเขาด้วยมือเดียว “อย่าเข้ามา! ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเขา!”
…………………………………………
[1] ฮู่ป่าน คือแผ่นจดบันทึกสำหรับขุนนาง
[2] อวี้สื่อต้าฟู คือ หัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดิน
[3] ไท่ฟู่ คือ มหาราชครู
[4] ไท่เว่ย คือ มหาเสนา
Comments for chapter "บทที่ 344 ต้าเป่ามาแล้ว"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
sikino01
ช่างกล้าจับตัวต้าเป่า ต้าเป่าปล่อยกู่ใส่มันเลย เอาแบบพิษที่ฮองเฮาโดนนะ จะได้สารภาพเองหมดเปลือกไม่ต้องเสียเวลาเค้นความผิด
khunnaay
กล้าจับตัวต้าเป่าเป็นตัวประกันนะ
ความซวยมาเยือนไม่รู้จบแน่ๆ
Gee
ต้าเป่าเป็นประมุขถ้าจะครึกครื้อบ้านเมืองนี้ 5555
mel
ต้าเป่าลูก พูดก็ยังพูดไม่ได้ โดนทำร้ายตลอดเวลา
55555 โดนไข่ปาหัวเอย โดนแกล้งให้ตกน้ำเอย โดนจับเป็นตัวประกันเอย 555555
ฉันอยากรู้จุดจบของยายฮองเน่านี่มากเลย
Phuri
จับปรมาจารย์พิษเป็นตัวประกันเนี่ยะนะ คิดน้อยไปป่าว ว่าแต่ต้าเป่าได้พกกู่มาด้วยรึเปล่าน๊อ