หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 362.1 ยอดฝีมือแห่งเผ่าปีศาจ (1)
ณ ทุ่งอันเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด รถม้าหลายคันหยุดลง คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวล
ในบรรดาพวกเขาแบ่งเป็นนักบวชผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าปีศาจ ทูตแห่งแสงสว่าง และอาเว่ยจอมวายร้าย
แสงแดดแผดเผา ด้านในรถม้าร้อนระอุ
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจทนต่อความอบอ้าวในรถได้เช่นกัน อิ่งลิ่วจึงพยุงเขาลงจากรถ
อิ่งสือซันกางร่มให้ด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นก็มองไปยังอาม่าและคนอื่นๆ “ไม่ได้บอกหรอกหรือว่าเผ่าปีศาจทิวทัศน์งดงาม ผู้คนปราดเปรื่อง? พวกเรามาอยู่ที่ทะเลทรายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ผู้คนปราดเปรื่องหรือไม่อิ่งสือซันไม่อาจรู้ได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็เห็นเพียงความว่างเปล่าและเหี่ยวแห้งมาตลอดทาง ต่างจากเผ่าปีศาจที่อาม่าพรรณนา
อิ่งลิ่วเบ้ปากพึมพำว่า “คงไม่ได้หลงทางหรอกใช่ไหม?”
เยว่โกวตอบอย่างดุดันว่า “ไม่หลงทางหรอก! อาม่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดในเผ่าปีศาจ เขาชำนาญทางอยู่แล้ว ในปีนั้นในเผ่าส่งยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยออกตามหาฮูหยิน มีเพียงพวกเราที่หาพบ อาม่าเป็นคนนำทางทั้งหมด!”
อิ่งสือลิ่วร้อง ‘อ้อ’ มองไปยังเยว่โกว “ขอถามได้ไหมว่าใช้เวลาหานานเท่าไร?”
“ไม่นาน” เยว่โกวกล่าวด้วยความลำพอง “สามปี!”
อิ่งลิ่ว “…”
อิ่งสือซัน “…”
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
อิ่งลิ่วมุมปากกระตุก “ขอถามได้ไหมว่าครั้งแรกที่เผ่าของพวกเจ้าส่งทูตแห่งแสงสว่างออกไปคือเมื่อใด?”
“โอ้” เยว่โกวใคร่ครวญด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนข้าเป็นเด็กกระมัง”
นั่นมันตั้งสิบสองปีที่แล้ว!!!
ทั้งสองไม่มีอะไรจะพูด ได้ยินว่าคนในเผ่าปีศาจนับวันยิ่งน้อยลง ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้เองหรือ? เช่นนั้นเหล่ายอดฝีมือที่ออกมาจับนางเจียงก็หลงทาง หาทางกลับเผ่าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
เผ่าปีศาจของพวกเจ้าใช้ความสามารถนำพาอันตรายเข้าหาตัวจริงๆ…
ทั้งนายและบ่าวไม่กล้ามองหน้าพวกเขาตรงๆ
แม้แต่เยี่ยนจิ่วเฉายังแทบยกมือขึ้นกุมขมับ
อิ่งสือซันหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามอาเว่ยว่า “หนอนพิษของพวกเจ้ายังใช้ได้อยู่ไหม?”
อาเว่ยส่ายหน้า “ใช้ไม่ได้แล้ว ครั้งก่อนฝนตกหนัก ทำให้กลิ่นเจือจางไป ตามรอยไม่ได้แล้ว”
คิดดูแล้วก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริง หลังจากที่ฝนตก สถานที่ซึ่งพวกเขาเดินทางผ่านก็แปลกขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นพวกเขาได้หลงทางเสียแล้ว
อิ่งสือซันกล่าวว่า “เผ่าปีศาจของพวกเจ้าอยู่ทางใดของหนานจ้าว?”
เพื่อที่จะป้องกันความสับสนของพวกเขา อิ่งสือซันจึงลงมือวาดวงกลมลงบนพื้น
“ทางนี้!” เยว่โกวชี้นิ้วไป
“ไม่ใช่ น่าจะเป็นทางนี้มากกว่า” ชิงเหยียนเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปอีกทิศทางหนึ่ง
“ข้าว่าพวกเจ้าจำผิดแล้ว ทางนี้” อาเว่ยชี้ไปยังอีกทิศหนึ่ง
อาม่ายกมือขึ้นหมายจะชี้
อิ่งสือซันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ท่านจะชี้ทิศสุดท้ายแล้วใช่ไหม?”
อาม่าพยักหน้า
อิ่งสือซันอดโมโหไม่ได้ “นั่นมันต้าโจว!”
ทั้งสี่คน “…”
ทั้งสี่คนมีท่าทางซึมเซาลงทันใด
หากถามว่าความสามารถเรื่องทิศทางของพวกเขาย่ำแย่เพียงใด ก็คงต้องบอกว่าพวกเขาใช้เวลาตามหาหมู่บ้านเหลียนฮวาอยู่นานถึงสามปี สามปีมานี้เกรงว่าโชคคงจะเข้าข้างอยู่บ้าง มิเช่นนั้นอาจกำลังยังหลงทางอยู่ที่ใดสักแห่งบนโลกนี้
อิ่งสือซันยังไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่รู้ทาง แต่ยังมีสติปราศจากความลนลาน ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ…อย่างนี้ก็ได้หรือ?!
“พวกเจ้าไม่มีแผนที่หรือ?” อิ่งสือซันถาม
“ก่อนหน้านี้มี” อาม่าตอบ
“แล้วตอนนี้เล่า?” อิ่งสือซันถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ลืมไปแล้วว่าวางไว้ที่ไหน” อาม่าตอบเสียงเบา
อิ่งสือซัน “…!!”
อิ่งสือซันโมโหเสียจนโมโหไม่ออกแล้ว
ชุยเฒ่ารู้สึกร้อนเสียจนต้องยื่นหน้าออกมาแลบลิ้นนอกหน้าต่าง “สรุปแล้วจะไปต่อกันอย่างไร? ถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อได้ร้อนตายกันพอดี!”
อิ่งสือซันปวดหัว เขากดขมับ แล้วหันไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา “คุณชาย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เราหยุดพักกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีเถิดขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ “อืม”
อิ่งสือซันหันไปพูดกับอิ่งลิ่วว่า “ไปหยิบน้ำแข็งมาให้คุณชาย”
แน่นอนว่าน้ำแข็งเหล่านี้ไม่ใช่น้ำแข็งจริงๆ หากแต่เป็นก้อนหยกซึ่งแช่ในน้ำใบปั๋วเหอ แช่จนเย็น ให้ความรู้สึกสดชื่น มีสรรพคุณคลายร้อนเห็นผลชะงัด
อิ่งลิ่วเดินเข้าไปหยิบบนรถม้า
ไม่นาน เขาก็ร้องออกมาด้วยความสงสัย “เอ๋? ทำไมหายไปมากขนาดนี้? ข้าจำได้ว่ามีตั้งครึ่งถังนี่!”
อาเว่ยดื่มชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อทั้งสามคนตั้งกระโจมเสร็จ อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วก็พบแหล่งน้ำสะอาดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล พวกเขาหาบน้ำมาสองถัง ถังแรกใช้สำหรับทำอาหาร อีกถังใช้สำหรับดื่ม
อาหารเย็นนับว่าพรั่งพร้อมบริบูรณ์ ทั้งข้าวสวย เนื้อรมควัน เนื้อแพะตุ๋น เนื้อกระต่ายย่าง และผักต้มที่เก็บมาระหว่างทาง
ไม่มีโต๊ะอาหาร พวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งกินกลางแจ้งหรือไม่ก็กลับไปกินในกระโจมของตน
ขณะที่อาเว่ยเดินมาเติมข้าวชามที่สาม ชิงเหยียนซึ่งนั่งแทะน่องกระต่ายอยู่ข้างกองไฟก็มองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด “อาเว่ย ข้าว่าพักนี้เจ้ากินข้าวมากกว่าปกตินะ”
เยว่โกวก็คิดเช่นนั้น “บางอย่างเมื่อก่อนเจ้าก็ไม่ชอบกิน”
อาเว่ยไม่ได้เป็นมังสวิรัติ แต่เขาก็ไม่ได้ชอบกินเนื้อเท่าไรนัก เขาชอบกินปลา
เยว่โกวชูนิ้วขึ้นมา “วันนี้เจ้ากินน่องกระต่ายไปสามน่อง!”
ยังไม่ต้องกล่าวถึงความชอบ ลำพังท้องของเขา จะใส่น่องกระต่ายป่าได้สามน่องเชียวหรือ?
อาเว่ยตอบด้วยความมั่นใจว่า “ข้าไม่ได้ไปกินของเจ้าสักหน่อย!”
พูดจบ เขาก็หยิบน่องกระต่ายชิ้นที่สี่ ตักข้าวชามใหญ่ ตักเนื้อแพะไปหนึ่งช้อนใหญ่ หยิบเนื้อรมควันเส้นใหญ่ แล้วเดินปึงปังกลับไปยังกระโจมของตน
เยว่โกวดึงชิงเหยียนเข้ามากระซิบถามว่า “เขาคงไม่ได้ถูกพิษของหนอนพิษหรอกใช่ไหม? กินเยอะขนาดนี้!”
ชิงเหยียนกัดน่องกระต่ายหนึ่งคำ “เขาเลี้ยงหนอนพิษ จะถูกพิษได้หรือ?”
แต่ว่า หมู่นี้เจ้านั่นกินเก่งขึ้นจริงๆ
อาเว่ยเดินถือชามอาหารกลับไปยังกระโจม ก่อนเดินเข้าไป ชะงักฝีเท้า มองไปรอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดจับตาดูอยู่ จากนั้นจึงเปิดม่านและเดินเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว
บนม้านั่งเล็กในกระโจม เด็กน้อยทั้งสามกำลังตั้งหน้าตั้งตารออาหารเย็น
ใต้ก้นน้อยๆ ของพวกเขามีเบาะรองนั่งซึ่งยัด ‘ก้อนน้ำแข็ง’ เอาไว้ ทั้งสามนั่งน้ำลายสอ ขาเล็กไกวไปมา ดวงตากลมสีดำขลับจับจ้องไปยังอาหารที่อาจารย์ยกมาให้
เสี่ยวเป่า: ซู้ด~
เอ้อร์เป่า: ซู้ด~
ต้าเป่า: นั่งมองตาบ้องแบ๊ว~
อาเว่ยแบ่งอาหารใส่สามชามเล็ก ทั้งสามยกชามขึ้นมา กินเข้าไปคำโต
ทั้งสามขาดเนื้อไม่ได้ ทั้งเนื้อรมควัน เนื้อตุ๋น และเนื้อย่างมีให้กินอย่างไม่อั้น!
พวกเขาไม่ใช่เด็กเลือกกิน ข้าวหรือผักพวกเขากินได้ทุกอย่าง!
ทั้งสามคนกินอย่างเอร็ดอร่อยจนอาหารที่อาเว่ยยกมาเป็นครั้งที่สามหมดลง ทั้งสามเลียเมล็ดข้าวซึ่งติดขอบปาก และมองไปยังอาจารย์อย่างน่ารักน่าเอ็นดู
อาเว่ยถอนหายใจอย่างจนปัญญา คอตกเล็กน้อย “…รู้แล้ว ข้าจะไปยกมาให้”
อาเว่ยยกชามข้าวใบใหญ่ออกไป…ตักกับข้าวเป็นครั้งที่สี่
เมื่อชิงเหยียนและเยว่โกวเห็นอาเว่ยที่เพิ่งมาตักข้าวไปเมื่อครู่ ก็พลันอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ
ชิงเหยียนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปอดอยากมาจากไหนกัน?”
อาเว่ย…อาเว่ยยังไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ที่อาเว่ยซ่อนเด็กน้อยทั้งสามเอาไว้ ก็แลดู ‘กิน’ มากขึ้น ความจริงแล้วข้าวปริมาณเท่านี้ไม่เพียงสำหรับลูกศิษย์ของเขาด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำอาหารส่วนของเขายังต้องแบ่งให้พวกเขาอีก จนอาเว่ยผอมโซแล้ว
อาเว่ยตวัดสายตามองชิงเหยียน แล้วตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “วัยรุ่นอย่างข้าหิวเร็ว”
วะ…วัยรุ่น…
“…” ชิงเหยียนมองไปยังอาเว่ยซึ่งอายุสิบเก้า แล้วมองไปยังตนเองซึ่งอายุยี่สิบเจ็ด ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
อาเว่ยตักข้าวชามใหญ่ ตักกับข้าวไปอีกหนึ่งจานใหญ่ แล้วยกกลับไปยังกระโจมของตน ในที่สุดครั้งนี้ทั้งสามก็กินอิ่ม พวกเขาลูบท้องกลมๆ เรอออกมาเบาๆ สามครั้ง จากนั้นก็นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพรม และผล็อยหลับไป
ราตรีย่างกรายเข้ามา
ความร้อนของทะเลทรายลดลงอย่างฉับพลัน
ทุกคนกลับเข้าไปในกระโจม
ทะเลทรายอันเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงปะทุเบาๆ ของกองไฟ
ด้านหลังก้อนหินใหญ่ซึ่งไกลออกไป บุรุษฉกรรจ์รูปร่างกำยำสองคนละสายตาจากเป้าหมาย ค่อยๆ ลดตัวลง หันหลังพิงก้อนหินใหญ่
บุรุษฉกรรจ์คนหนึ่งกระซิบว่า “ข้านับแล้ว มีทั้งหมดเก้าคน คนแก่สอง คนป่วยหนึ่ง คนที่เหลือมีวรยุทธ์…หนึ่งในนั้นเป็นครึ่งหน่วยกล้าตาย”
เมื่อได้ยินว่าครึ่งหน่วยกล้าตาย บุรุษอีกคนหนึ่งก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าคิดว่าเป็นคาราวานที่เก่งกาจเสียอก ที่แท้ก็ใช้แค่ครึ่งหน่วยกล้าตาย ก็ไม่เท่าไหร่”
……………………