หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 38 ถูกจับได้แล้ว
ณ จวนสกุลเซียว
ซั่งกวนเยี่ยนสั่งให้คนมาทำความสะอาดห้องของเซียวเหยี่ยน และวางโถอัฐิที่บรรจุสิ่งของที่เซียวเหยี่ยนทิ้งเอาไว้ ข้างป้ายวิญญาณที่อยู่บนโต๊ะ กระดูกของเซียวเหยี่ยนถูกฝังไว้ที่ภูเขาหิมะ ไม่อาจนำกระดูกกลับมาได้อีกแล้ว แม้แต่หลุมฝังศพก็มีเพียงเสื้อผ้าและของเครื่องใช้ที่ทำขึ้น
เซียวเหยี่ยนอายุมากกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเพียงสองปี ครั้นเมื่อซั่งกวนเยี่ยนแต่งเข้าสกุลเซียว เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แม้ว่าบิดาและมารดาของเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ทว่าครอบครัวกลับมิได้สุขสงบ เขาเติบโตขึ้นโดยมีซั่งกวนเยี่ยนอยู่เคียงข้าง
มิอาจพูดได้ว่าเขาแย่งความรักของมารดาที่มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉามา ทว่าจิตใจมนุษย์ก็มีเลือดเนื้อ เด็กที่ทะนุถนอมเลี้ยงดูมานานเพียงนั้น หายไปเพียงชั่วข้ามคืน ซั่งกวนเยี่ยนย่อมเสียใจมาก ทว่าผู้ที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่า นั่นคือเซียวเจิ้นถิง
ชั่วชีวิตเซียวเจิ้นถิงไม่เคยมีบุตร เขารับเซียวเหยี่ยนมาเลี้ยงเป็นบุตรชายของเขาจริงๆ นอกจากนี้…เซียวเหยี่ยนยังเป็นบุตรชายคนสุดท้ายของสกุลเซียว ตามกฎการสืบสกุลของสกุลเซียว เซียวเหยี่ยนสิ้นชีพ ก็เท่ากับสกุลเซียวไร้ผู้สืบทอด
“ฮูหยิน” ฟางมามาเดินเข้ามาเบาๆ และโค้งคำนับด้านหลังซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนคืนสติกลับมา จึงจัดวางโถอัฐิของเซียวเหยี่ยนให้ตรง “กลับมาแล้วหรือ?”
“เจ้าค่ะ นายท่านกลับมาแล้ว อยู่ที่ห้องตำรา ฮูหยินต้องการไปที่นั่นหรือไม่?” ฟางมามาเอ่ยถาม
ซั่งกวนเยี่ยนหยุดและส่ายหัว “ไม่ละ คืนนี้ข้าจะพักผ่อนที่ห้องปีกตะวันตก”
สิ่งที่ฟางมามาใคร่จะเอ่ยต้องหยุดลง ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเซียวเหยี่ยน ฮูหยินก็มิได้นอนห้องเดียวกับนานท่านมาหลายวัน แม้การยับยั้งช่างใจในช่วงไว้ทุกข์เป็นสิ่งสมควร ทว่าก็ยังเป็นสามีภรรยา มีเหตุผลใดต้องแยกห้องกันทุกวัน?
“อาหารที่ให้เจ้าไปเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือ?” ซั่งกวนเยี่ยนถาม
ฟางมามาเอ่ยอย่างหมดหนทาง “เจ้าค่ะ น้ำแกงเนื้อกวาง น้ำแกงกระดูกกวางตุ๋นน้ำใส และได้เห็นนายท่านทานแล้ว…ฮูหยินจะไม่กลับไปพักผ่อนที่ห้องจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
เอาของบำรุงให้นายท่าน แล้วไม่นอนกับนายท่าน มิเกรงว่านายท่านจะโกรธจนกำเดาไหลกลางดึกเลยหรือ?
ซั่งกวนเยี่ยนโบกมือ “เอาละ เจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด”
ฟางมามาอยากถามอีกครั้ง ทว่าเมื่อเห็นท่าทีของซั่งกวนเยี่ยน นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางมิอาจเดาว่าฮูหยินกำลังคิดสิ่งใดอยู่ “ฮูหยิน ข้าขอเอ่ยตามตรง ท่านกระทำเช่นนี้ เป็นการสมควรแล้วหรือเจ้าคะ?”
ซั่งกวนเยี่ยนมองต่ำ “ไม่สำคัญว่าเหมาะสมหรือไม่ ขอเพียงสามารถสืบสกุลเซียวได้ก็พอ”
ฟางมามาถอนใจและเดินกลับไป ซั่งกวนเยี่ยนก็ไปที่ห้องปีกตะวันตก ก่อนปิดประตู นางเหลือบมองห้องตำราที่มีแสงเทียนวูบไหว
เซียวเจิ้นถิงกำลังทำงานราชการอยู่ในห้องตำรา เขาถ่ายโอนอำนาจทางการทหารมาเป็นเวลานานแล้ว เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งที่มิค่อยมีงานในราชสำนัก กิจต่างๆ ที่ต้องทำก็มีไม่มากนัก เพียงแค่ติดตามเรื่องการรบในโยวโจว และจัดการเรื่องหลังสงครามอีกเล็กน้อย
“นายท่าน เที่ยงคืนแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่เข้าเวรกลางคืนเอ่ย
เซียวเจิ้นถิงกดหว่างคิ้วที่รู้สึกปวดตึง “ฮูหยินเล่า?”
สาวใช้เอ่ย “พักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”
“ที่ห้องปีกตะวันตกอีกแล้วหรือ?” เซียวเจิ้นถิงเอ่ยถาม
สาวใช้ฝืนใจเอ่ย “…เจ้าค่ะ”
เซียวเจิ้นถิงถอนใจ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องฝั่งตะวันตก
นางไม่มาหาเขา เขาก็ต้องไปหานางถูกหรือไม่
ดึกดื่นแล้ว ทุกคนต่างพักผ่อน ลานบ้านเงียบสงัด เซียวเจิ้นถิงไม่กล้าปลุกซั่งกวนเยี่ยนให้ตื่น เขาจึงค่อยๆ เปิดประตูและเดินเข้าไปอย่างไร้ร่องรอยการเคลื่อนไหว
แสงจันทร์สลัว ตกกระทบเรือนร่างอันงดงามที่มิมีผู้ใดเหมือนด้านหลังผ้าม่าน
ไม่รู้ว่าเนื้อกวางทำให้รู้สึกกระหายเร่าร้อนเกินไป หรือช่วงเวลาที่ผ่านมาเก็บกลั้นจนมิอาจทานทน เซียวเจิ้นถิงรู้สึกว่าหัวใจของตนรุ่มร้อนขึ้นมา เขาแหวกเปิดม่าน ขึ้นไปนอนบนเตียง และโอบกอดนางเบาๆ จากด้านหลัง ทว่าทันใดนั้น เซียวเจิ้นถิงก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารีบดึงแขนกลับและลุกออกจากเตียง ตะโกนเสียงเข้มเฉียบขาด “เจ้าเป็นใคร!”
แม่ทัพเซียวผู้เด็ดเดี่ยวเปล่งน้ำเสียง กระทั่งทหารทั้งกองทัพก็ยังต้องเงียบ นับประสาอะไรกับสตรีบอบบางผู้หนึ่ง?
หญิงสาวบนเตียงล้มลงมาดังโครม ตัวสั่นงันงก “เจ้าค่ะ…บ่าวเองเจ้าค่ะ…”
“สุ่ยเซียง?” เซียวเจิ้นถิงได้ยินเสียงของนาง
สุ่ยเซียงเป็นสาวใช้ที่ซั่งกวนเยี่ยนซื้อมาใหม่ นางมักถูกซั่งกวนเยี่ยนพาไปไหนมาไหนด้วย แม้กระทั่งไปวัดเพื่ออธิษฐานขอพรก็ตาม เซียวเจิ้นถิงมิได้คิดเรื่องนี้ ผู้ใดจะรู้ว่านางจะคลานขึ้นเตียงของตน
เซียวเจิ้นถิงเอ่ยอย่างใจเย็น “ฮูหยินให้เจ้านอนที่นี่รึ?”
ที่นี่เป็นห้องของซั่งกวนเยี่ยน หากซั่งกวนเยี่ยนมิได้อนุญาต สาวใช้ไม่เสียดายชีวิตหน้าไหนจะกล้าขึ้นมานอน
สุ่ยเซียงพยักหน้าอย่างสั่นเทา
เซียวเจิ้นถิงโกรธจนกระแทกประตูออกไป!
…
คืนนี้ ไม่เพียงแต่เซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยนเท่านั้นที่มิอาจข่มตาหลับ ทว่าเหยียนเซี่ยแห่งจวนสกุลเหยียนก็เช่นกัน
เหยียนเซี่ยผู้ลืมเลือนความเจ็บปวดในอดีต และเกือบถูกเหยียนหรูอวี้ฆ่าตายเพราะสัมผัสกับสิ่งของของเหยียนหรูอวี้ในตอนกลางวัน ทว่าตกดึก เขากลับมีความคิดกล้าบ้าบิ่นที่จะไปเอาโถทั้งสองออกมา
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหยียนหรูอวี้คือสตรีที่ต้องแต่งเข้าจวนคุณชายเยี่ยน นางวิสัยทัศน์สูงส่ง สิ่งนั้นทำให้นางกระวนกระวายได้ถึงเพียงนี้ ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าเป็นแน่
ระยะนี้เงินทองขัดสน หากขโมยสิ่งล้ำค่าของเหยียนหรูอวี้ไปขาย คงสามารถบรรเทาเรื่องเร่งด่วน
เหยียนเซี่ยทำตามที่เอ่ย รอจนกระทั่งทุกคนนอนหลับ เขาจึงย่องเข้าลานบ้านของน้องสาวอย่างเงียบๆ เขาเติบโตมาในจวนสกุลเหยียนแห่งนี้ เรื่องเล็กๆ เพียงนี้หาใช่เรื่องยากสำหรับเขา
เขามาถึงห้องตำราของเหยียนหรูอวี้ด้วยความชำนาญลู่ทางเป็นอย่างดี และพบจุดกลไกการสัมผัสในตอนกลางวัน หลังเปิดออก โถเหล่านั้นกลับไม่อยู่เสียแล้ว
“เหอะ ย้ายไปแล้วหรือ?”
เหยียนเซี่ยหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม เรื่องเรียนเขาไม่เก่งเท่าเหยียนหรูอวี้ ทว่ากลลวงแค่นี้ เหยียนหรูอวี้รวมกันสิบคน ก็ไม่อาจสู้กับเขาหนึ่งคน
เหยียนเซี่ยค้นหาในห้องอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบกับกลไกอีกอัน นั่นก็คือแท่นฝนหมึกที่ดูไม่สะดุดตาบนโต๊ะตำรา ทันทีที่เขาบิดแท่นฝนหมึกเบาๆ ช่องที่ซ่อนอยู่บนโต๊ะก็เปิดออก
“ชิ ข้าบอกว่าอย่างไรละ?”
เหยียนเซี่ยคลี่ยิ้มลำพองใจ ห่อโถออกจากช่องที่ซ่อนอยู่ แล้วจึงปรับกลไกกลับดังเดิม แสร้งทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และเดินวางมาดออกจากห้องตำราไป
เกรงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีก เขาจึงไม่ได้นำโถกลับไปยังลานบ้านของตน แต่ซ่อนมันไว้ที่โพงหญ้าภายในสวน
ย่ำรุ่งวันถัดมา เขาไปที่ลานบ้านของฮูหยินเหยียน หาข้ออ้างว่าจะไปหาซื้อของขวัญให้น้องสาวเพื่อเป็นการไถ่โทษ และเอาโถออกจากจวนไป
เขาตัดสินใจเรียกเหล่าสหายเสเพลกลุ่มหนึ่งมาเปิดหูเปิดตา ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า เขาจะพบกับหญิงสาวที่ตนลวนลามไม่สำเร็จและกลับถูกทำร้ายเมื่อคราก่อน!
ในความรู้สึก ไป๋ถังก็เหมือนกับเหยียนเซี่ย มีนิสัยที่ไม่สามารถอยู่บ้านได้ ไป๋ถังแสร้งป่วยหนัก กระทั่งในที่สุดบิดาของนางก็ไปตามหาหมอผู้มีชื่อเสียง นางจึงได้แอบออกมา
ทว่านางก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับชายมักมากบ้าตัณหาผู้นี้!
“เป็นเจ้าเองรึ?”
ไป๋ถังจ้องถมึง!
เมื่อเหยียนเซี่ยเห็นนางก็พลางรู้สึกเจ็บปวดที่ก้นเล็กน้อย
เขาออกมาจากจวนง่ายนักหรือไร? เหตุใดต้องพบเจอกับหญิงผู้นี้!
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มิได้พาองครักษ์มาด้วย
เหยียนเซี่ยวิ่งหนี!
ไป๋ถังดวงตาเยือกเย็น “ยังกล้าวิ่งรึ? ข้าบอกแล้วว่าหากเจ้ากล้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ไป๋ถังวิ่งไล่ตามด้วยความเร็วประดุจบิน!
เหยียนเซี่ยสะพายห่อผ้าไว้บนหลัง ในห่อผ้านั้นมีโถหนักสองใบ ครั้นจะวิ่งเร็วก็กังวลว่าโถจะชนกันจนแตก การกระทำที่สับสนเช่นนี้ทำให้ไป๋ถังไล่ตามทัน
ไป๋ถังเอื้อมมือออกไป หมายจะคว้าไหล่ของเขา เหยียนเซี่ยจึงรีบก้าวเท้ายาวทันที ในที่สุดเขาก็สามารถหนีจากกรงเล็บของไป๋ถังไปได้ แม้เขาจะหนีไปได้แล้ว ทว่าถุงผ้ากลับถูกไป๋ถังดึงไป
เหยียนเซี่ยวิ่งไปสักพักและพบว่าห่อผ้านั้นไม่อยู่เสียแล้วจึงรีบวิ่งกลับไป ไป๋ถังคว้าท่อนไม้บนพื้นขึ้นมา ฝีเท้าของเหยียนเซี่ยต้องหยุดชะงัก เขา เขา เขาควรจะหนีตายเสียมากกว่า…
“เจ้าเวรนี่ นับว่าเจ้าวิ่งเร็ว!” ไป๋ถังทิ้งท่อนไม้ แล้วหยิบห่อผ้าที่นางดึงติดมาอย่างไม่ตั้งใจ เลิกคิ้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คือสิ่งใดกัน? หนักเช่นนี้”
“คุณหนูไป๋!”
รถม้าคันหนึ่งมาหยุดอยู่ที่ทางเข้าซอย อวี๋หวั่นกระโดดลงมาจากรถม้า
“แม่นางอวี๋?” ไป๋ถังยิ้มดีใจปนแปลกใจ และเดินไปหาเธอง “บังเอิญจริงที่ข้าก็ได้พบเจ้าที่นี่ด้วย”
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญสักหน่อย เห็นได้ชัดว่าอวี๋เฟิงจงใจ มาซื้อหินก็คือมาซื้อหิน หาได้จำเป็นต้องอ้อมไกล มาใช้เส้นทางที่ใกล้กับคฤหาสน์สกุลไป๋
อวี๋หวั่นเอ่ยกับไป๋ถัง “ครอบครัวของเรากำลังจะสร้างบ้าน ข้ากับพี่ใหญ่จึงมาซื้อหิน”
อิฐสีน้ำเงินมีวางขายอยู่ในตำบล คัดเลือกหินอย่างดี ทว่าราคาที่คุ้มค่าที่สุดกลับเป็นร้านแห่งนี้ในเมืองหลวง
ไป๋ถังอุทาน “อ้อ พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ในรถม้ารึ?”
“อะแฮ่ม!” อวี๋เฟิงกระแอมในลำคอ และลงจากรถม้าด้วยท่าทีสงบที่บรรจงปั้นขึ้น “คุณหนูไป๋”
ไป๋ถังเอ่ยในใจ ข้าไม่กินเจ้าหรอก ทำขวยเขินเช่นนี้ไปไย? เจ้าคนเซ่อ!
เมื่อคิดบางอย่างขึ้นได้ อวี๋หวั่นจึงเอ่ย “เมื่อครู่ข้าเห็นท่านถือท่อนไม้อยู่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
ไป๋ถังเอ่ยถาม “ชายบ้าตัณหาเมื่อคราก่อน เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
เหยียนเซี่ย?
อวี๋หวั่นพยักหน้า “อา ข้าพอจำได้ คุณหนูไป๋พบเขาหรือ?”
อวี๋เฟิงสีหน้าท่าทีคิดหนัก
ไป๋ถังจับข้อมือแสดงอาการเสียดาย “พบก็พบแล้ว แต่เสียดายที่ข้าปล่อยให้เขาหลุดมือไปอีก เจ้านั่นทักษะความสามารถอ่อนด้อย ทว่าขากลับวิ่งเร็วเยี่ยงหนู!”
อวี๋เฟิงลอบถอนใจอย่างโล่งอก หนีไปได้เสียก็ดี กังวลเสียจริงว่านางจะจับใครมาฆ่า
“สิ่งนี้ข้าแย่งมันมาจากชายผู้นั้น มาดูกันว่ามันคือสิ่งใด” ไป๋ถังย่อตัววางห่อผ้าลงบนพื้น เมื่อเปิดออก กลับเป็นโถลายครามสีขาวขนาดเล็กสองใบ
ไป๋ถังดึงฝาออก และมองลงไปใกล้ๆ นางคิ้วขมวด “มันคือสิ่งใดกัน?”
อวี๋เฟิงก็มองลงไป เขาดูไม่ออกว่ามันคือสิ่งใด ไป๋ถังส่งโถไปให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นทั้งมองดูทั้งดมกลิ่น แล้วเอ่ยว่า “มันคือเถ้ากระดูก”
“หา!”
ไป๋ถังกระโดดหนีด้วยความหนาวสั่นห่างออกไปสามฉื่อ!
“เหตุใดชายผู้นั้นจึงพกของแบบนี้ไว้กับตัวเล่า?” ไป๋ถังรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือ
ในโลกก่อนหน้านี้ของอวี๋หวั่น มีข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับสิ่งของคนตาย ไม่แปลกใจที่ไป๋ถังจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้
อวี๋เฟิงเป็นชายร่างสูงใหญ่ ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร ทว่าสีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง “ในโถทั้งสองล้วนเป็นเถ้ากระดูกหรือ? เหตุใดจึงมีน้อยเยี่ยงนี้?”
บุตรชายของป้าลัวที่อยู่บ้านข้างๆ ถูกฆ่าตายในสนามรบ เถ้ากระดูกที่นำกลับมาเขาเคยเห็น มันมีมากกว่านี้นัก โถทั้งสองตรงหน้ารวมกัน ก็ยังไม่มากเท่าของลูกชายของป้าลัวเพียงคนเดียว
อวี๋หวั่นส่ายหัว “ไม่ทราบเลย นี่อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นกระมัง”
“ข้าก็คิดว่าเป็นของดีอันใด หากรู้แต่แรกว่ามันเป็นเถ้ากระดูก ข้า…ข้า…ข้าก็คงไม่แย่งมา!” ไป๋ถังกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย ไม่ง่ายที่จะปล้นมาได้ กลับปล้นโถเถ้ากระดูกมา นางช่างไร้ดวงโจรเสียจริง!
อีกด้านหนึ่ง เหยียนเซี่ยยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว หากเอาของล้ำค่านั่นไปขาย แล้วเหยียนหรูอวี้มาทราบทีหลัง เขาก็ยังไปไถ่ถอนคืนมาได้ ทว่าหากถูกดรุณีที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ไหนแย่งไป…เหยียนหรูอวี้มิต้องแทงเขาด้วยความโกรธแค้นหรอกหรือ?
อย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ทว่าสัญชาตญาณบอกเขาว่า ถูกเหยียนหรูอวี้ลงโทษ โหดร้ายยิ่งกว่าดรุณีผู้นั้นลงโทษมากนัก
ดังนั้นเหยียนเซี่ยจึงวิ่งกลับมาอีกครั้งด้วยความเศร้าหมอง…
อวี๋หวั่นจำเขาได้ แต่ทว่าเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงจำอวี๋หวั่นไม่ได้ อวี๋เฟิงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะจำได้ เพราะทั้งสองไม่เคยพบกัน
เขารวบรวมความกล้าและเอ่ยออกไป “เจ้า…เจ้าเอาของของข้าคืนมา…เงินเท่าไหร่…ข้าจะกลับไป ให้คนนำมาให้เจ้า… “
หากเป็นสิ่งอื่นไป๋ถังอาจจะตะโกนราคาออกไปในทันที ทว่ามันคือเถ้ากระดูก ไป๋ถังไม่อาจหากินกับของคนตาย
ไป๋ถังเอ่ยอย่างหัวเสีย “ผู้ใดต้องการเงินเจ้า? แค่เพียงเถ้ากระดูกสองโถมิใช่หรือ? เอาคืนไป!”
เหยียนเซี่ยรู้สึกมีโชคดีอยู่บ้าง เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะคืนของให้ตนง่ายดายเช่นนี้ ทว่าเมื่อครุ่นคิด จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
นางบอกว่านี่คือสิ่งใดนะ?
เถ้ากระดูก?!
…
เหยียนเซี่ยเป็นบุตรชายคนแรกของฮูหยินเหยียนและเหยียนฉงหมิง ยามเขาเกิดมา แม่ทัพเหยียนหล่าว บิดาของเหยียนฉงหมิงยังมีชีวิตอยู่ และจวนสกุลเหยียนยังยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ เหยียนเซี่ยมิได้เป็นเด็กเกเรไม่เอาไหนมาตั้งแต่ต้น ยามที่แม่ทัพเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ เขาทั้งฉลาดและมีความสามารถรุดหน้า
ทว่าตั้งแต่มีน้องสาว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป น้องสาวผู้นี้ฉลาดกว่าเขา ก้าวหน้ากว่าเขา และเป็นที่พึงพอใจของบิดามารดามากกว่าเขา ทว่าแม่ทัพเฒ่าก็มิได้ชอบน้องสาวของเขามากนัก
เขาเคยถามท่านปู่ว่า “น้องสาวข้าน่ารักเพียงนี้ เหตุใดท่านปู่จึงไม่กอดนาง?”
ท่าทีของแม่ทัพเฒ่าในขณะนั้นซับซ้อนมาก
เขาคิดเสมอว่าท่านปู่เกลียดน้องสาวของเขา เพราะคำพูดของผู้มีวิชาที่บอกว่านางไม่สามารถมีบุตรได้ตลอดชีวิต แต่ก็เป็นไปได้ที่ผู้มีวิชาอาจจะพูดบางอย่างกับท่านปู่ เพียงแต่เขาและบิดามารดาไม่รู้เท่านั้น
ผู้มีวิชาทำนายว่าท่านปู่จะมีชีวิตอยู่ไม่เกินอายุหกสิบ และเขาก็จากไปในคืนก่อนวันเกิดอายุครบหกสิบปีจริงๆ
ผู้มีวิชายังทำนายอีกว่าสกุลเหยียนจะถูกคุมขัง และพวกเขาก็ถูกคุมขังจริงๆ
คำทำนายของผู้มีวิชาเป็นความจริง จะเชื่อได้อย่างไรว่า คำพูดที่กล่าวว่าเหยียนหรูอวี้จะไม่มีบุตรเป็นความเท็จ
คนสกุลเหยียนถูกฝังทั้งหมด แล้วโถเถ้ากระดูกสองใบนั้นมาได้อย่างไร?
ในขณะนี้เหยียนเซี่ยประดุจผู้ที่ถูกเปิดเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดอย่างกะทันหัน ความคิดต่างๆ ในหัวทะลุปรุโปร่ง
‘เหยียนหรูอวี้ ข้าอยากคืนของของเจ้า วันนี้ยามโหย่ว[1] พบกันที่วัดหนิงอัน’
เหยียนเซี่ยวางจดหมายที่เขียนไว้ในห้องส่วนตัวของเหยียนหรูอวี้ ทว่าน่าเสียดาย วันนี้คือวันที่เหยียนหรูอวี้ไปเยี่ยมเยียนเหล่าเด็กน้อยที่จวนคุณชายเยี่ยน ไฉ่ฉินไม่รู้หนังสือ และคิดว่ามันคือกระดาษห่อขนม จึงนำมันใส่ลงในกล่องขนมทอดกรอบสองสามอย่างที่อยู่บนโต๊ะ
หนึ่งชั่วยามต่อมา กล่องอาหารก็ถูกนำเข้าไปยังจวนคุณชาย
……………………………………………………….
[1] ยามโหย่ว (酉时) คือเวลา 5 โมงเย็นถึงทุ่มตรง