หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 382 สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม
“หมายความว่าอย่างไรไม่อยู่ที่นี่แล้ว?” อวี๋หวั่นมองไปยังทิวทัศน์ของเทือกเขาเขียวชอุ่มนอกหน้าต่าง “คนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่เผ่าปีศาจหรอกหรือ?”
“ใช่ แต่…” ฉิวปิ่งคล้ายกับมีเรื่องจะพูด ทว่าสีหน้าไม่สู้ดีนัก
แม้ว่าชิงเหยียนและเยว่โกวจะเกิดและเติบโตในเผ่า แต่ก็ไม่นับว่ารอบรู้ประวัติความเป็นมาของเผ่า เพราะฉะนั้นเมื่ออาม่ากล่าวว่า ‘เผ่าปีศาจที่แท้จริงไม่อยู่ที่นี่แล้ว’ ทั้งสองก็มีสีหน้าประหลาดใจยิ่งกว่าอวี๋หวั่นเสียอีก
ซิวหลัวนั่งดื่มนมอยู่ที่เก้าอี้ ด้านข้างเป็นบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งถือขวดนมใบเล็กเช่นเดียวกับเขา คนผู้นี้คือน้องชายคนใหม่ของซิวหลัว…อ๋องแห่งเผ่าปีศาจตัวจริง
ทั้งสองนั่งดื่มนมโดยที่ไม่ได้ฟังสิ่งที่อาม่าพูดแม้แต่น้อย
ฉิวปิ่งมองไปยังอ๋องแห่งเผ่าปีศาจซึ่งในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กไม่รู้ประสา เขาถอนหายใจออกมา “ต้องพูดถึงสกุลซือคงก่อน สกุลซือคงเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจ อ๋องของเผ่าปีศาจล้วนมาจากสกุลซือคง สกุลฉิวของพวกข้าสนับสนุนสกุลซือคงมาทุกรุ่น เพียงแต่ว่าลูกหลานสกุลซือคงนั้นมีมาก พวกเขามักจะต่อสู้กันเอง ฝ่ายที่ชนะได้ขี้นเป็นอ๋อง ฝ่ายที่แพ้กลายเป็นกบฏ ในอดีตเป็นเช่นนี้”
“หมายความว่า…คนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นคนที่สู้รบแพ้?” อวี๋หวั่นถาม
ฉิวปิ่งยิ้มอย่างขมขื่น “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พวกเจ้าดูวังหลวง เดิมทีที่นั่นเป็นคุกมาก่อน”
“หืม?” ทุกคนล้วนตื่นตะลึง
ฉิวปิ่งพูดต่อ “ตอนนั้น ฮูหยินซือคงให้กำเนิดบุตรสองคน บุตรทั้งสองคนสู้กันเพื่อชิงบัลลังก์ บุตรคนเล็กพ่ายแพ้ บุตรคนโตได้ครองบัลลังก์ ฮูหยินซือคงทนไม่ได้ที่เห็นบุตรคนเล็กชอกช้ำ จึงสั่งให้คนสร้างวังแห่งนี้ขึ้น ดูแล้วคล้ายกับวัง แต่แท้จริงแล้วเป็นคุก บุตรคนโตมีคำสั่งว่าห้ามบุตรคนเล็กออกจากวังแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าหากเรื่องจบลงเท่านี้ก็คงไม่น่าอนาถใจ แต่บุตรคนโตกลับต้องการย้ายเมืองหลวง เขาพาคนเผ่าปีศาจไป และปล่อยที่นี่ไว้”
อวี๋หวั่นชะงักไป “เพราะฉะนั้นคนที่เหลืออยู่ที่นี่ก็มีเพียงนักโทษหรือ?”
ฉิวปิ่งพยักหน้า “มิผิด”
ชิงเหยียนและเยว่โกวจ้องเขม็ง สรุปแล้วพวกเขาเป็นลูกหลานของนักโทษอย่างนั้นหรือ?
“แต่เมื่อครู่อาม่าบอกว่าสกุลฉิวสนับสนุนสกุลซือคงมาทุกรุ่น สกุลฉิวเองก็เป็นนักโทษที่ถูกทิ้งไว้เหมือนกันหรือ?”
“เปล่า” ฉิวปิ่งส่ายหน้า “สกุลฉิวได้รับคำสั่งให้คอยเฝ้าบุตรคนเล็ก ให้ลูกหลานของเขาอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
ตลอดกาล!
ใจร้ายจริงๆ!
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ลูกชายคนโตจงเกลียดจงชังน้องชายขนาดนี้ ทำไมไม่ฆ่าเขาไปเลยละ?”
ฉิวปิ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นเพราะก่อนที่ฮูหยินซือคงจะล่วงลับ นางให้เขาสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายน้องชายและลูกหลานของเขา นี่เป็นความลับที่ส่งต่อกันมาในสกุลฉิวรุ่นสู่รุ่น ทว่ามีเพียงประมุขของตระกูลเท่านั้นที่รู้ แม้ว่าฉิวอู๋หยาจะได้ขึ้นเป็นนักบวชของเผ่าแล้ว ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้”
เยว่โกวเบ้ปาก “ที่แท้ อาม่าก็ไม่ได้จงรักภักดีต่อท่านอ๋องตั้งแต่แรก ท่านเพียงเฝ้าเขา ไฉนจึงต้องคอยทำเรื่องต่างๆ ให้เขาเล่า?”
ฉิวปิ่งตอบอย่างจนปัญญาว่า “ถ้าข้าจะเฝ้าเขา ข้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ก่อนน่ะสิ”
อ๋องแห่งเผ่าปีศาจมีอารมณ์แปรปรวน เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาอาจตายได้ถ้าขัดขืนคำสั่งท่านอ๋องแม้แต่นิดเดียว เข้าใจหรือยัง?
ฉิวปิ่งกล่าวอีกว่า “เพื่อที่จะปกป้องลูกหลาน บุตรชายคนเล็กจึงไม่ได้บอกความจริงเรื่องคุกแห่งนี้กับผู้ใด หลังจากนั้นหลายรุ่น ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าที่นี่คือสถานที่ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาถูกปล่อยทิ้งไว้ สกุลฉิวแม้ว่าจะคอยเฝ้าดู แต่ก็มิได้คุมขังท่านอ๋องไว้ด้านใน ทว่าท่านอ๋องก็ว่าง่าย ไม่ค่อยออกไปข้างนอกเท่าไรนัก”
อวี๋หวั่นพูดแทงใจดำว่า “เป็นเพราะกลัวหลงทางกระมัง?”
ฉิวปิ่งมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองไปยังท่านอ๋องซึ่งมักหลงทางอยู่บ่อยครั้ง “…”
อวี๋หวั่นกระแอมเบาๆ แล้วบอกว่า “อาม่าเล่าเรื่องของสกุลซือคงมามาก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวยาที่ข้าตามหาอย่างไรหรือ? หรือว่า…ทายาทสตรีศักดิ์สิทธิ์กับพ่อมดก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ด้วย?”
“ถูกต้อง” ฉิวปิ่งบอก “ข้าอ่านบันทึกในหอตำราแล้ว จึงรู้ว่าลูกหลานทั้งสองสายล้วนแต่อยู่ในเมืองหลวงใหม่ ข้าคิดว่าท่านอ๋ององค์ก่อนก็รู้เรื่องเมืองหลวงใหม่เช่นกัน”
“หืม?” อวี๋หวั่นมองอาม่าด้วยความสงสัย “ไม่ได้บอกว่าบุตรชายคนโตปิดบังเรื่องการย้ายเมืองหลวง ทำให้คนรุ่นหลังไม่รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่เผ่าปีศาจที่แท้จริงหรอกหรือ?”
ฉิวปิ่งกล่าวว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่วิธีการของท่านอ๋องคนก่อนทำให้ข้าคิดว่าเขารู้ความจริง เขาหาวิธีไปยังเมืองหลวงใหม่ และกลับไปยังแดนซึ่งเป็นของสกุลซือคงอย่างแท้จริง”
เพราะฉะนั้นความจริงที่เกี่ยวกับคนเผ่าปีศาจนั้นมิได้มีเพียงหลงทางและหายตัวไป แต่พวกเขาย้ายเมืองไป…อวี๋หวั่นลูบคาง แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องคนก่อนทำอะไรหรือ?”
ฉิวปิ่งไม่ได้ตอบ แต่กลับถามว่า “เจ้าพบป้ายคำสั่งนี้ที่ด้านล่างหน้าผา แล้วยังพบอะไรอีก?”
“ภาพวาด!” อวี๋หวั่นเปิดกระเป๋าออก แล้วหยิบภาพวาดที่เธอเก็บไว้กับตัวออกมา
กระดาษสีเหลืองซีด ถูกพับเป็นขนาดประมาณกำปั้น เมื่อกางออกมามีแต่รอยยับ ทว่ากลับมองคนในภาพออก
อวี๋หวั่นยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เธอกะพริบตาปริบๆ แล้วมองไปยังอาม่า “รูปนี้ดูคล้ายกับข้าอยู่นะ”
ฉิวปิ่งพินิจพิจารณา เปรียบเทียบสตรีในภาพกับอวี๋หวั่น แล้วจึงพยักหน้าโดยปราศจากความประหลาดใจ “คล้ายกันจริงๆ อาหวั่นคงจะรู้ใช่ไหมว่าเพราะเหตุใด?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “แต่เยี่ยนจิ่วเฉาบอกข้าว่า มีความเป็นไปได้ว่าแม่นางผู้นี้จะเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ข้าหน้าตาคล้ายนางเช่นนี้ ข้าอาจจะเป็นลูกหลานของนางก็ได้ เพราะข้าสวย ใช่ไหม?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นงามสะคราญ งามเสียยิ่งกว่าเทพเซียน
ประจวบเหมาะกับในตอนนั้นเอง เด็กทั้งสามก็เดินเตาะแตะเข้ามา ศีรษะกลมชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อวี๋หวั่นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้ลูกๆ “ถ้าหากข้าเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นพวกต้าเป่าก็เหมือนกันสินะ”
ทั้งสามคนได้ยินแว่วๆ ก็ชะงักในทันใด
สะ…สตรีศักดิ์สิทธิ์?
พวกเขาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือ?!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามก้มหน้างุดและยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความเขินอาย
ฉิวปิ่งยกมือขึ้นปิดตา เขาทนดูไม่ได้ “สายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถ่ายทอดไปยังบุรุษ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตัวน้อยทั้งสามชะงัก พวกเขาเอามือลง เหลือบมองไปยังอาม่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างไร้เยื่อใย
“สตรีผู้นี้เคยมาที่เผ่า และพบกับท่านอ๋องคนก่อน เพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับสตรีอีกคนหนึ่ง ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด สตรีที่นางตามหาก็คือมารดาของอวิ๋นเฟย” เดิมทีฉิวปิ่งไม่ได้เดาเรื่องนี้ออกทันทีที่ได้พบกับอวิ๋นเฟย แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมากมายเช่นนี้ เขาจึงสามารถปะติดปะต่อและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของแต่ละเรื่องได้
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วพูดว่า “นางคือ…”
ฉิวปิ่งตอบว่า “นางบอกสตรีที่นางกำลังตามหาคือท่านแม่ของนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็น่าจะเป็นพี่สาวต่างบิดาของอวิ๋นเฟย”
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ “อาม่าหมายความว่า ก่อนที่ท่านทวดของข้าจะแต่งงานเข้าไปในสกุลเสิ่น นางเคยมีลูกมาก่อน ซึ่งก็คือสตรีในภาพวาด”
ฉิวปิ่งพยักหน้าน้อยๆ “น่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าเป็นเพราะนางมาที่นี่ จึงทำให้ท่านอ๋องรู้ว่ามีเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่ง นางมาจากเมืองหลวงใหม่ เป็นคนสกุลหลาน และสกุลหลานก็มีเคยสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน เป็นไปได้มากว่านางจะเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
“เป็นไปได้มาก?” อวี๋หวั่นยังไม่เข้าใจ
ฉิวปิ่งอธิบายว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้รับการถ่ายทอดสายเลือดจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเมื่อผ่านไปหลายรุ่น ผู้ที่มีสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็จะถือกำเนิดขึ้น เพราะฉะนั้นนางจึงรีบร้อนตามหาอวิ๋นเฟย ข้าว่า นอกจากเพราะความเป็นพี่น้องแล้ว ยังเป็นเพราะเหตุผลอื่น ซึ่งก็คืออวิ๋นเฟยมีเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
อวี๋หวั่นพยักหน้าอย่างเข้าใจ และบุ้ยใบ้ให้อาม่าเล่าต่อ
ฉิวปิ่งกล่าวว่า “ในตอนนั้นตี้จีอายุได้ห้าขวบแล้ว ใบหน้าของนางละม้ายคล้ายคลึงกับสตรีผู้นี้อยู่บ้าง ท่านอ๋องคนก่อนสืบเรื่องของมารดาของอวิ๋นเฟย และรู้ว่านางคือสตรีจากสกุลหลานที่หายตัวไป”
สกุลหลานนับว่ามีหน้ามีตาในเมืองหลวงใหม่ อ๋องคนก่อนจึงมีแผนการของตนเอง เขาไม่ได้บอกความจริงกับสตรีผู้นั้น แต่กลับรับตี้จีเข้ามาอยู่ในวังหลวงและเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เขาให้บุตรชายของเขาและตี้จีหมั้นหมายกัน เพื่อวันหนึ่งจะได้ใช้อำนาจของสกุลหลานกลับไปยังเมืองหลวง เพียงแต่น่าเสียดายที่ตี้จีหนีงานแต่งงาน ทำให้แผนการของอ๋องคนก่อนล้มเหลว
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ อวี๋หวั่นก็เริ่มรู้สึกปวดใจแทนท่านแม่ของตน
ถูกราชวงศ์หนานจ้าวทอดทิ้งก็น่าสงสารมากพอแล้ว เดิมทีคิดว่าเผ่าปีศาจจริงใจ แต่แท้จริงแล้วกลับใช้นางเป็นเพียงขั้นบันไดให้ตนเองเหยียบ
เมื่อนึกบางอย่างออก อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “อาม่าบอกว่านางเดินทางมาที่นี่ตอนที่ท่านแม่อายุห้าขวบ เช่นนั้นก็คือเมื่อสามสิบปีก่อน แต่เพื่อนของเจ้าสำนักจี้พบหมอเทวดาคนหนึ่งด้านล่างหน้าผาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่น่าแปลกใจก็คือผ่านมาเป็นสิบปี นางอยู่ตรงนั้นมาตลอดเลยหรือ?”
สายตาของฉิวปิ่งเคลื่อนมาหยุดบนภาพวาด “ข้าก็ได้ยินคนในเผ่าพูดเรื่องหมอเทวดาคนนี้เช่นกัน แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นนาง ตามความเห็นข้า นางอยู่ด้านล่างหน้าผามานานเพียงนี้ น่าจะเป็นเพราะนางได้ยินเรื่องของท่านแม่ของอวิ๋นเฟยมาบ้าง”
อวี๋หวั่นมองไปยังป้ายคำสั่งและภาพวาดบนโต๊ะ “พวกข้าลองค้นหาของในเรือน และคิดว่านางออกจากที่นั่นไปอย่างรีบร้อน แต่ดูเหมือนนางตั้งใจทิ้งป้ายคำสั่งและภาพเขียนนี้ไว้
ข้าเดาว่านางอาจมีเรื่องเร่งด่วน ทำให้ต้องเร่งรีบกลับเมืองหลวงเก่า แต่ก็หวังว่าท่านทวดของข้าจะหาที่นี่พบสักวันหนึ่ง และใช้ภาพวาดกับป้ายคำสั่งนี้เป็นเครื่องยืนยันกับสกุลหลาน
แต่ว่า…มีเรื่องอะไรที่ทำให้นางต้องรีบร้อนกลับไป?”
ฉิวปิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “มีสตรีศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นในสกุลหลาน”
………………..