หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 383 สกุลหลาน
ในสกุลหลานหลายรุ่น จะมีสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมาเพียงคนเดียว แต่ว่าท่านทวดล่วงลับไปแล้ว บัดนี้จึงเหลือคนที่ถือเกิดขึ้นมาใหม่ในสกุลหลานเพียงคนเดียวที่พวกเขาจะสามารถนำเลือดมาทำยาให้เยี่ยนจิ่วเฉาได้
สายตาของอวี๋หวั่นเป็นประกายวาบ “ถ้าอย่างนั้น การที่สกุลหลานมีสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้น ก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรา”
ฉิวปิ่งกล่าวว่า “ถูกต้อง”
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นพวกเราก็ไปตามหานางกันเถอะ! ถ้าหากพลาดโอกาสนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่กว่าจะมีอีกคนหนึ่ง”
พวกเขารอได้ แต่พิษของเยี่ยนจิ่วเฉารอไม่ได้ อย่างมากครึ่งปี อย่างน้อยสามเดือน อวี๋หวั่นไม่กล้าใช้เวลาหกเดือนมาเดิมพัน
“ไปอย่างไรละ” ชิงเหยียนซึ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากขึ้น
อวี๋หวั่นหยิบภาพวาดบนโต๊ะขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าภาพวาดนี้แท้จริงแล้วเป็นแผนที่ บนแผนที่น่าจะมีตำแหน่งของสกุลหลานในเมืองหลวงใหม่ระบุไว้”
อวี๋หวั่นหยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วใช้ปลายนิ้วจุ่มลงในน้ำชา จากนั้นก็สะบัดไปทั่วภาพวาด
น้ำค่อยๆ ซึมลงไปในเนื้อกระดาษ เมื่อหยดน้ำเริ่มแห้ง ภาพวาดก่อนหน้านี้ก็หายไป และมีแผนที่ปรากฏขึ้นมาแทน
“ที่นี่” อวี๋หวั่นชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์กำหนดไว้ แม้ว่าบนแผนที่จะไม่ได้ระบุว่าเป็นที่ไหน แต่สัญชาตญาณบอกอวี๋หวั่นว่าที่นี่คือสถานที่ซึ่งผู้หญิงคนนั้นพยายามบอกพวกเขา
ฉิวปิ่งหยิบแผนที่ขึ้นมาพินิจพิจารณา แล้วกล่าวว่า “ที่นี่เป็นทำเลที่ดีจริงๆ มิน่าเล่าพวกเขาจึงย้ายเมืองหลวง”
ทุกคนมุมปากกระตุก ตอนนี้ใช่เวลามาพูดถึงทำเลไหมเนี่ย? ท่านต้องช่วยคิดก่อนว่าจะเดินทางไปที่นั่นอย่างไร
อิ่งสือซันมีสีหน้าจริงจัง “พิษของคุณชายไม่อาจรอช้า พวกเรารีบเก็บของ พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า!”
อิ่งลิ่วมองอวี๋หวั่น แล้วถามว่า “ฮูหยินน้อยจะไปด้วยหรือ?”
ทุกคนต่างมองไปยังอวี๋หวั่น สายตาของพวกเขาไปหยุดอยู่ที่หน้าท้องนูนของอวี๋หวั่น พวกเขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธออยู่ดีกินดีหรือเป็นเพราะลูกในท้อง ท้องของอวี๋หวั่นแลดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยามที่เดินทางมายังเผ่าปีศาจไม่นับว่าง่าย หากจะไปยังเมืองหลวงใหม่อีก พวกเขาจึงกังวลว่าเธอจะลำบาก
อวี๋หวั่นเหยียดหลังตรง แล้วชี้ไปที่ใบหน้าของตน “ทำไมมองข้าอย่างนั้น ถ้าไม่มีข้า คนสกุลหลานจะเชื่อพวกเจ้าหรือ?”
ที่เธอพูดก็ถูก แผนที่และป้ายคำสั่งนั้นถูกทิ้งไว้ให้คนสกุลหลาน ถ้าหากอวี๋หวั่นไม่ไป ต่อให้มีป้ายคำสั่ง ก็ใช่ว่าจะเข้าไปในสกุลหลานได้
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าท้องนี้ของตนดีเหลือเกิน นอกจากจะกินได้นอนหลับ ไม่มีปัญหาใดๆ ลูกคนนี้ต้องอ้วนท้วนสมบูรณ์ ร่างกายแข็งแรงอย่างแน่นอน
อิ่งสือซันคล้ายกับจะนึกบางอย่างออก เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณชายเขา…”
ใช่แล้วละ เยี่ยนจิ่วเฉาความจำเสื่อม ตอนนี้คิดว่าตนเองเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ เขาจะยอมออกจากอาณาเขตของตนเองง่ายๆ ได้อย่างไร?
……
หลังจากที่ออกมาจากที่พักของอาม่า อวี๋หวั่นก็เดินกลับตำหนัก ฟางเฟยและฟางหรงยกอาหารว่างและยาบำรุงครรภ์มาให้ อวี๋หวั่นแทบไม่ได้แตะต้อง เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาจากในเผ่า ก็เห็นอวี๋หวั่นนั่งพิงหัวเตียงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
คิ้วโก่งของเขาขมวดเป็นปม จิตสังหารรุนแรงปะทุขึ้นมา ฟางเฟยและฟางหรงตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม
“พวกเจ้าออกไปก่อน” อวี๋หวั่นโบกมือ
เดิมทีเขาคิดจะบีบคอบ่าวไม่รู้ประสาสองคนนี้ให้ตาย แต่เมื่ออวี๋หวั่นพูดเช่นนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ลดจิตสังหารลง บ่าวทั้งสองโล่งอก และรีบถอยออกไปนอกห้อง
เยี่ยนจิ่วเฉาสาวเท้ามาข้างเตียง จับเอวอวบๆ ของอวี๋หวั่น เมื่อมั่นใจว่าทั้งสองออกไปแล้วจึงนั่งลงข้างกายอวี๋หวั่น “ทำไมเจ้าไม่กิน”
“ข้ากินไม่ลง” อวี๋หวั่นบอก
“เรียกคนมา!” เยี่ยนจิ่วเฉาเอะอะก็จะสั่งประหารพ่อครัว
อวี๋หวั่นจึงบอกเขาว่า “ไม่เกี่ยวอะไรกับพ่อครัว เป็นเพราะข้าเอง”
“เจ้าเป็นอะไร” สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาเคลื่อนไปหยุดที่หน้าท้องของอวี๋หวั่น “เจ้านี่ทำให้เจ้าทรมานหรือ?”
“เปล่า” อวี๋หวั่นก้มหน้า พลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าคิดถึงบ้าน”
“หนานจ้าว?” ถ้าจำไม่ผิด นางเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว เยี่ยนจริงเฉากล่าวด้วยความรังเกียจว่า “หึ ท่านพ่อเจ้าขายเจ้าเพียงเพื่อแลกกับหนอนโง่ๆ ตัวหนึ่ง บ้านแบบนี้มันน่าคิดถึงตรงไหนกัน?”
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นคล้ายกับมีประกายวาบ เธอพูดหยั่งเชิงว่า “ข้าคิดถึง…บ้านที่เมืองหลวงใหม่”
“เมืองหลวงใหม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว
“ข้าไม่ได้มีพ่อแต่ไม่มีแม่สักหน่อย บ้านท่านแม่ข้าอยู่ที่เมืองหลวงใหม่ ท่านไปที่นั่นกับข้าไหม? ที่เมืองหลวงใหม่ มีธรรมเนียมว่าหลังจากแต่งงานแล้วให้พาสามีไปเยี่ยมบ้านเดิม” อวี๋หวั่นพูดไปพลางสังเกตสีหน้าของเขา
ในตอนนี้เขามีความทรงจำและนิสัยของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ คงไม่ออกจากเผ่าไปง่ายๆ เพราะฉะนั้นอวี๋หวั่นจึงไม่มั่นใจว่าเขาจะยอมรับข้อเสนอของเธอหรือไม่
เป็นไปดังคาด เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาได้ยินว่ากลับไปเยี่ยมบ้านเดิม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
อวี๋หวั่นเขย่าแขนของเขาเบาๆ แล้วบอกว่า “ไปกับข้าสักครั้งไม่ได้หรือ ข้าอยากเจอพวกเขาจริงๆ”
ความคิดของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจและความคิดของเยี่ยนจิ่วเฉากำลังฟาดฟันกันอย่างรุนแรง เสียงหนึ่งในสมองของเขาแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งบอกว่าให้ตอบรับ อีกฝั่งหนึ่งบอกเขาว่าอย่าออกไปนอกเผ่าเป็นอันขาด
“ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า” ในที่สุดเยี่ยนจิ่วเฉาก็เอาชนะอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ “เรียกคนมา!”
ฟางหรงและฟางเฟยเดินค้อมกายเข้ามา “ท่านอ๋อง”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เตรียมรถม้า ข้าจะไปเยี่ยมบ้านเดิมของฮูหยิน!”
“เจ้าค่ะ!” ทั้งสองตอบรับอย่างรู้หน้าที่
อวี๋หวั่นบอกว่า “ช้าก่อน เรื่องนี้ไม่ต้องป่าวประกาศออกไปหรอก”
“เพราะเหตุใด?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
สกุลฉิวมีหน้าที่เฝ้าดูท่านอ๋อง ทันทีที่รู้ว่าท่านออกออกไปจากเผ่า ไม่เพียง ‘ท่านอ๋อง’ ที่จะได้รับอันตราย แต่สกุลฉิวเองก็อาจประสบกับหายนะอีกด้วย
แต่อวี๋หวั่นกลับคิดหาเหตุผลที่เข้าใจได้ไม่ออก จึงจำใจตอบไปว่า “ข้า…ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
เยี่ยนจิ่วเฉาหรี่ตามองด้วยความเคลือบแคลงใจ “เจ้าเคยพาเจ้านั่นกลับไปหรือ?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “เปล่าสักหน่อย ท่านเป็นคนแรก!”
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาจิตใจผ่องแผ้วเป็นที่สุด เขาไม่ได้ถามซักไซ้ว่าเหตุใดอวี๋หวั่นถึงทำตัวลับๆ ล่อๆ เขาเพียงมองหน้าเธอแล้วบอกว่า “เข้าใจแล้ว”
วันต่อมา ก็มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเผ่าปีศาจว่าท่านอ๋องเข้าไปในเขตหวงห้ามไม่พบผู้ใด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านอ๋องทำเช่นนี้ ครั้งที่นานที่สุดคงจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนต่างรับรู้ข่าวนี้จนชินชา จึงไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกติ
อาโต้วได้รับภารกิจสำคัญให้ตามไปเฝ้าท่านอ๋อง
อ๋องแห่งเผ่าปีศาจตัวจริงอยู่ที่เขตหวงห้าม กอดขวดนมใบเล็กที่ซิวหลัวมอบให้ แน่นอนว่าพวกเขาอธิบายกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่านี่คือตัวแทนของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ ‘อืม’ คำหนึ่ง คล้ายกับยอมรับเรื่องนี้แล้ว
“พาอาม่ากับคนอื่นๆ ไปด้วยเถิด” การเดินทางไปยังเมืองหลวงใหม่ในครั้งนี้ไม่เพียงตามหาตัวยา แผนการของพวกเขาคือแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลังจากเข้าไปในเมืองหลวงใหม่ ทว่าบัดนี้ พวกเขาจำต้องเดินทางเข้าไปในเมืองหลวงใหม่ให้ได้ก่อน
ก่อนออกเดินทาง อวี๋หวั่นพาลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋ไปส่งนอกวังหลวง จี้สิงชวนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าด้วยวรยุทธ์ของเขาก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล ความเป็นไปได้มากที่สุดคือเขาหลงทางอยู่ในป่า เมื่อลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋ออกไปตามหาเขา อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ จึงก้าวขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงใหม่
อวี๋หวั่นไม่คิดว่าการเดินทางในครั้งนี้จะอันตรายเท่าไรนัก เธอเป็นทายาทสกุลหลาน สกุลหลานเป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลวงใหม่ อีกทั้งในตอนนี้มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้น เธอก็น่าจะสามารถเข้าไปในสกุลหลานได้อย่างสง่าผ่าเผย
การเดินทางในครั้งนี้ราบรื่นดังที่คาดหวัง พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางบนแผนที่ ข้ามทิวเขา ลัดเลาะไปตามแม่น้ำ ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ สองสามหมู่บ้าน จนเดินทางมาถึงเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในปลายเดือนสาม
“ที่นี่คึกคักเหลือเกิน” อวี๋หวั่นมองไปยังชาวบ้านซึ่งต่อแถวยาวรอเข้าเมือง เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าในแดนปีศาจอันห่างไกลนี้จะมีเมืองขนาดใหญ่อยู่
ชิงเหยียนยกมือขึ้นชี้ไปยังประตูเมือง “อาม่า ป้ายหน้าประตูเขียนว่าอะไรหรือ?”
ฉิวปิ่งเพ่งไปยังป้าย “หมิงตู”
“หมิงตู? ตัวอักษรของเมืองหลวงใหม่หรือ?” อวี๋หวั่นเปิดแผนที่ดู เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้เดินทางมาผิดเมือง
เด็กทั้งสามโผล่หน้าออกมานอกรถด้วยความตื่นเต้น ตลอดการเดินทาง เด็กทั้งสามไม่มีโอกาสได้ออกไปวิ่งเล่น ผิวของพวกเขาอ่อนลงมาก พวกเขาไม่ได้ผิวคล้ำกร้านแดดเหมือนเดิมแล้ว
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่เคยเห็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นฝาแฝดอีกด้วย พวกเขาจึงมองมาด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มลูกไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ลากม่านปิดทันที
ต่อแถวได้ไม่นานก็ถึงคราวของพวกเขา ชิงเหยียนกระโดดลงจากรถม้า และนำป้ายคำสั่งออกมา
ทหารยามหน้าประตูเมืองเห็นป้ายคำสั่งนี้ ก็ขมวดคิ้ว มองไปยังชิงเหยียน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ขุ่นมัวว่า “เข้าเมืองไม่ได้!”
ชิงเหยียนถามว่า “ทำไมละ? พวกข้าเป็นคนสกุลหลานนะ!”
“คนสกุลหลาน?” ทหารยามแค่นเสียงแดกดัน โยนป้ายคำสั่งคืนให้ชิงเหยียน “อย่าคิดว่าตาสีตาสาที่ไหนจะมาอ้างว่าเป็นคนสกุลหลานก็ได้! ข้าเฝ้าประตูเมืองมานาน แค่ป้ายคำสั่งสกุลหลานข้าจะมองไม่ออกเชียวหรือ? วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่ถือสาเอาความพวกเจ้า หากต่อไปกล้าเอาป้ายคำสั่งปลอมมาใช้อีกละก็ ข้าจะจับพวกเจ้าทุกคนเข้าคุก!”
“เจ้า…”
“ชิงเหยียน มีอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นเลิกม่านขึ้น
ชิงเหยียนเดินถือป้ายคำสั่งกลับมา บอกว่า “ทหารยามบอกว่าป้ายนี้เป็นของปลอม”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ของปลอม? เป็นไปได้อย่างไร?”
ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีสตรีสูงอายุคนหนึ่งเดินกะโผลกกะแผลกเข้ามา สะกิดไหล่ของชิงเหยียน “คุณชาย เจ้ากำลังหาคนสกุลหลานอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่ขอรับ” ชิงเหยียนหันมามองนาง “ท่านยาย ท่านรู้ไหมว่าคนสกุลหลานอยู่ที่ไหน”
สตรีเฒ่าบอกว่า “พวกเจ้ากำลังหาคนสกุลหลานที่อยู่ในเมือง หรือสกุลหลานที่อยู่นอกเมืองเล่า?”
ชิงเหยียนและอวี๋หวั่นมองหน้ากัน แล้วถามนางว่า “มีสกุลหลานสองสกุลหรือ?”
สตรีเฒ่ายกมือผอมของนางขึ้นมา “ถ้าเป็นสกุลหลานในเมือง พวกเจ้าไปพบไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นสกุลหลานนอกเมือง อยู่ตรงโน้น”
………………………