หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 384 ยายหลานพานพบ
ชิงเหยียนและอวี๋หวั่นมองตามทิศทางที่สตรีเฒ่าชี้ไป และเห็นเรือนหลังหนึ่งในพื้นที่ว่างเปล่าห่างออกไป เรือนหลังนั้นไม่ใหญ่นัก ผู้คนบางตา ด้านตะวันตกของเรือนคือตลาดแห่งหนึ่ง ในตลาดมีผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าตลาดและเรือนหลังนั้นอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทว่าแห่งหนึ่งผู้คนพลุกพล่าน อีกแห่งหนึ่งกลับถูกทิ้งร้าง คล้ายกับว่าผู้คนที่สัญจรไปมาจงใจหลีกเลี่ยงเรือนหลังนี้ ขณะที่เดินผ่านก็จะยกมือขึ้นปิดจมูก ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“นั่นคือสกุลหลานหรือ?” อวี๋หวั่นขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
ชิงเหยียนกำลังจะเอ่ยปากถามสตรีเฒ่า สตรีเฒ่ากลับถูกเพื่อนของนางเรียกและเดินเข้าเมืองไปแล้ว
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” ชิงเหยียนบอก
“ข้ากับอิ่งลิ่วไปเอง” อิ่งสือซันกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงไปยังเรือนหลังนั้นพร้อมกับอิ่งลิ่วซึ่งพลิกตัวลงจากหลังม้าเช่นกัน
ไม่นานทั้งสองก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าลำบากใจ
อวี๋หวั่นมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ “ทำไมหรือ? เป็นบ้านสกุลหลานจริงๆ ใช่ไหม?”
“อ่า…เรื่องนั้น…” อิ่งลิ่วเกาศีรษะ “พวกข้าไม่ได้เข้าไปขอรับ ทันทีที่คนด้านในเห็นพวกข้า ก็ปิดประตูใส่ทันที ข้าไม่กล้าบุกเข้าไปโดยพลการ จึงมาถามคุณชายกับฮูหยินก่อนว่าจะให้บุกเข้าไปหรือไม่”
ในความทรงจำของเยี่ยนจิ่วเฉาตอนนี้ ตัวเขาคืออ๋องแห่งเผ่าปีศาจ แต่อวี๋หวั่นบอกเขาว่าการเดินทางในครั้งนี้เป็นความลับ เพื่อที่จะปิดบังตัวตน ให้เขาปลอมตัวเป็นคุณชายแห่งเมืองเยี่ยน เยี่ยนจิ่วเฉาตอบตกลงอย่างเต็มใจ เพราะฉะนั้นอิ่งลิ่วและอิ่งลือซันจึงสามารถเรียกคุณชายของพวกเขาได้เต็มปากอีกครั้งหนึ่ง
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
เยี่ยนจิ่วเฉาหลับตาลง แผ่พลังภายในออกไปสำรวจดู เมื่อพบว่าไม่มีอันตราย เขาจึงมิได้เอ่ยปากห้ามอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลงจากรถม้า
ชิงเหยียน เยว่โกว และอาเว่ยนำรถม้าทั้งสามคันไปจอดด้านข้าง เพื่อไม่ให้กีดขวางผู้คนซึ่งทยอยกันต่อแถวเข้าเมือง
“ฮูหยินน้อยระวังนะขอรับ” อิ่งสือซันมองไปยังพื้นขรุขระเป็นหลุมบ่อ
“อื้ม” อวี๋หวั่นตอบ จากนั้นจึงยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินข้ามไปอย่างระมัดระวัง
เรือนหลังนั้นเมื่อคาดคะเนจากสายตาแล้วแลดูไกล ทว่าเมื่อเดินไปจริงๆ กลับไม่ไกล ไม่นานทั้งสามคนก็มาหยุดที่ประตูใหญ่
อิ่งลิ่วยกมือขึ้นมาเคาะประตู “มีคนอยู่ไหม?”
แน่นอนว่ามีคนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะเปิดประตูให้หรือไม่
ความสามารถในการได้ยินของทั้งสามนับว่าไม่เลว พวกเขาได้ยินเสียงน้ำไหลดังมาจากด้านใน รวมไปถึงเสียงไอเบาๆ และเสียงฝีเท้าอีกด้วย
อิ่งลิ่งเคาะประตูอีกครั้ง “มีคนอยู่ไหม?”
คนด้านในไม่คิดจะเปิดประตู
อิ่งลิ่วมองอวี๋หวั่นอย่างจนปัญญา
อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “ข้าเอง”
อิ่งลิ่วขยับไปยืนด้านข้าง อวี๋หวั่นเดินขึ้นไปด้านหน้า นิ้วเรียวเคาะประตูเบาๆ “ที่นี่ใช่สกุลหลานหรือไม่? พวกข้ามาตามหาญาติ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคนี้หรือไม่ ประตูไม้เปิดออกดัง ‘แกร็ก’ อวี๋หวั่นเห็นหญิงชราคนหลังงุ้มงอคนหนึ่ง หญิงชราคนนั้นเดินไม่คล่องแคล่วนัก ลุกไม่ค่อยไหว นางแง้มประตูเล็กน้อย มองไปยังอวี๋หวั่น อิ่งลิ่ว และอิ่งสือซันซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
อวี๋หวั่นสัมผัสได้ว่านางกำลังหวาดระแวงอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน เป็นเพราะพวกเขาทั้งสองร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดูท่าทางคล้ายกับจะมาทำร้ายนางอย่างนั้นหรือ?
สายตาของหญิงชรามาหยุดลงที่ใบหน้าของอวี๋หวั่น ไม่รู้ว่านางมองเห็นอะไร สายตาของนางแลดูตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง
เมื่ออวี๋หวั่นเห็นสายตาของนาง เธอก็เริ่มรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังถามย้ำไปว่า “ท่านยาย ที่นี่ใช่บ้านสกุลหลานหรือไม่?”
หญิงชราไม่ตอบ
อวี๋หวั่นหยิบภาพวาดและป้ายคำสั่งซึ่งเก็บมาจากด้านล่างหน้าผา แล้วส่งให้นาง “ท่านยาย ท่านรู้จักของเหล่านี้หรือไม่?”
หญิงชรารับภาพวาดและป้ายคำสั่งมาจากอวี๋หวั่น จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางเหลือบมองอวี๋หวั่น และเดินกลับเข้าไปในเรือนด้วยร่างอันกระเสาะกระแสะ
อวี๋หวั่นไม่ได้ตามเข้าไปโดยพลการ เธอยืนรออยู่ด้านนอกอย่างอดทน
ผ่านไปประมาณครึ่งถ้วยชา หญิงชราก็กลับมา นางเปิดประตูต้อนรับให้อวี๋หวั่นเดินเข้าไปด้านใน
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วหมายจะเดินตามเข้าไป แต่กลับถูกหญิงชราขวางเอาไว้
อวี๋หวั่นหันหน้ามา “พวกเจ้ารอข้าที่นี่”
อิ่งลิ่วขมวดคิ้ว “อา…แต่…พวกข้าต้องคอยคุ้มกันฮูหยินน้อยนะขอรับ…”
อวี๋หวั่นยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร”
อิ่งลิ่วเห็นว่าอิ่งสือซันไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเลิกคิ้ว “ก็ได้” จากนั้นก็หันไปพูดกับหญิงชราว่า “ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้รังแกฮูหยินน้อยของข้าเป็นอันขาด! พวกข้าหมัดหนักนะ!”
หญิงชรากลอกตา แล้วปิดประตูดัง ‘ปัง! ’
เมื่ออวี๋หวั่นเข้าไปด้านใน ก็พบว่ามีเตาไฟตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือน มีหม้อต้มยาต้มอยู่บนเตาไฟ ดมจากกลิ่นแล้ว อวี๋หวั่นคิดว่าน่าจะเป็นยาระงับความเจ็บปวด อีกทั้งยังเป็นตัวยาฤทธิ์แรงอีกด้วย
สกุลหลานมีคนป่วยหรือ?
หญิงชราพาอวี๋หวั่นไปยังระเบียงทางเดิน และมาถึงห้องซึ่งประตูปิดไว้ครึ่งหนึ่ง นางชี้ไปยังคอของตน อวี๋หวั่นจึงเข้าใจได้ทันทีว่านางเป็นใบ้
อวี๋หวั่นพยักหน้า
หญิงชราเคาะประตูเป็นจังหวะ
เสียงแหบพร่าจากด้านในดังขึ้น “เข้ามา”
หญิงชราเปิดประตูให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้อง
ในห้องนั้นมีแสงเพียงรำไร กลิ่นฉุนของยาลอยมาแตะจมูกอวี๋หวั่น เครื่องเรือนในห้องแลดูเรียบง่าย จะเรียกว่า
เก่าคร่ำคร่าก็คงได้ ผนังมีรอยร้าว ลายฉลุบนหน้าต่างแตกหัก โต๊ะและเก้าอี้ในห้องเป็นรอยถลอกเต็มไปหมด
บ้านเดิมในหมู่บ้านเหลียนฮวาที่พวกเขาเคยอยู่ก็มีสภาพเช่นนี้
อวี๋หวั่นอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ นี่คือสกุลหลานจริงหรือ? เธอไม่ได้เข้ามาผิดหลังใช่ไหม?
สกุลใหญ่แห่งเมืองหลวงใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้
“มาแล้วหรือ?” มีเสียงแหบพร่าของคนสูงอายุดังมา
อวี๋หวั่นเดินอ้อมฉากกั้นไปยังบริเวณที่มืดสลัวกว่าด้านหน้า โชคดีที่เธอมองเห็นได้ชัดเจน มีฮูหยินผู้เฒ่าร่างผ่ายผอมคนหนึ่งนอนอยู่บนที่นอนซึ่งรองด้วยผืนเสื่อ นางน่าจะอายุมากแล้ว เส้นผมเป็นสีขาวโพลน ใบหน้าบูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด กระนั้นดวงตาอันขุ่นมัวกลับเป็นประกายขึ้นทันทีที่เห็นอวี๋หวั่น
“เจ้า…เข้ามา ให้ข้าดู” นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียบแหบพร่า
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปข้างเตียง เธอหาเก้าอี้ไม่เจอ จึงนั่งลงบนขอบเตียง เข้าไปหานางเพื่อให้นางมองดูใบหน้าของเธอได้ถนัด
มือสั่นเทิ้มของนางค่อยๆ ยกขึ้นเพื่อแตะใบหน้าของอวี๋หวั่น ทว่านางกลับเอื้อมไม่ถึง
อวี๋หวั่นไม่คุ้นชินกับการเข้าใกล้ผู้อื่น จึงไม่รู้จะทำตัวอย่างไร กระนั้นฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน
ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงขยับเข้าไปใกล้นางมากกว่าเดิม เพื่อให้นางจับใบหน้าของเธอ
นางหลานขอบตาแดงก่ำ “เจ้าคือ…”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ท่านยายของข้าชื่อว่าเสิ่นอวิ๋น ท่านทวดของข้าคือคุณหนูสกุลหลานคนหนึ่งที่หายไป”
เมื่อพูดเช่นนี้ นางหลานก็เข้าใจในทันทีว่าท่านแม่ของนางออกจากที่นี่ไป ไม่คิดว่าจะให้กำเนิดน้องสาวต่างบิดาแก่พวกนาง
นางหลานตื่นตะลึง
สายตาของอวี๋หวั่นไปหยุดอยู่ที่ภาพวาดในมือของฮูหยินผู้เฒ่า “คนในภาพวาดคือท่านหรือ? ท่านคือท่านยายของข้าอีกคนหนึ่งใช่ไหม?”
นางหลานพยักหน้า แล้วจึงส่ายหน้า “นางคือพี่สาวของข้า พี่สาวฝาแฝดของข้า”
อวี๋หวั่นกระจ่างในทันที มิน่าเล่าเธอจึงรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้กับสตรีในภาพหน้าตาไม่เหมือนกันเท่าไร อีกทั้งยังให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เธอยังคิดเสียอีกว่าเป็นเพราะนางไม่สบาย
นางหลานน้ำตารื้น มองมายังอวี๋หวั่น “เหมือนเหลือเกิน…”
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับเอ่ยถามนางว่า “เหมือนท่านยายท่านนั้นหรือ?”
นางหลานพยักหน้า “เหมือนนาง แล้วก็เหมือนท่านแม่ข้า”
แม้ว่านางหลานและพี่สาวจะเป็นฝาแฝดกัน แต่นางหน้าตาเหมือนกับบิดา แต่พี่สาวหน้าตาเหมือนกับมารดา
นางหลานพบว่าตนเองมิได้รังเกียจเด็กคนนี้ มิหน้ำซ้ำอาจเป็นเพราะเด็กคนนี้หน้าเหมือนพี่สาวและมารดา ทำให้นางชอบอวี๋หวั่นเหลือเกิน นางหลานจับมือของอวี๋หวั่นแล้วกล่าวว่า “เดิมทีคิดว่าเจ้าเป็นทายาทของท่านพี่ คิดไม่ถึงเลยว่ากลับเป็นลูกหลานของน้องสาวข้า เจ้าอายุเท่าไหร่ ชื่อว่าอะไรหรือ”
“ข้าชื่ออาหวั่น ปีนี้อายุสิบแปดเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบ
“อายุสิบแปดแล้ว” นางหลานตบหลังมือของอวี๋หวั่นเบาๆ เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ใช่สิ ท่านทวดของเจ้ายังอยู่ไหม?”
“ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ” แม้ว่านางจะเดาได้ว่าท่านแม่ของนางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่นางก็ยังมีความหวังอันรำไร กระทั่งเมื่อได้ยินว่าท่านแม่ของนางล่วงลับไปแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะร่ำไห้ออกมา
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรปลอบนางอย่างไร จึงรอเงียบๆ จนนางหยุดร้องไห้
นางหลานร้องไห้จนตาบวมเป่ง อวี๋หวั่นส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง
หลังจากเช็ดน้ำตา นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ “ข้าไม่ได้พบคนสกุลหลานมานานแล้ว จึงตกใจอยู่บ้าง เจ้าอย่าได้ถือสา”
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ที่นี่ไม่ใช่เรือนของสกุลหลานหรอกหรือ? เหตุใดท่านยายจึงกล่าวว่าไม่ได้พบคนสกุลหลานมานาน อีกอย่าง เมื่อครู่ข้าไปด้านหน้าประตูเมือง ได้ยินจากทหารยามหน้าประตูเมืองว่ามีสกุลหลานสองแห่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”
นางหลานถอนหายใจ “เรื่องนี้จะว่าไปก็ยาวนัก สกุลหลานของพวกเรา เดิมทีเป็นสกุลเดียวกัน อยู่ในกำแพงเมืองหมิงตู เจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้ว บรรพบุรุษสกุลหลานของเรามีสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้น ท่านทวดของเจ้าก็เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์”
อวี๋หวั่นพยักหน้า เรื่องนี้เธอเคยได้ยินอาม่าเล่ามาบ้าง
“เช่นนั้นทำไมถึงแยกกันละเจ้าคะ” อวี๋หวั่นถาม
นางหลานถอนหายใจอีกครั้ง “จะเป็นเพราะเรื่องใดไปได้?”
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังจะฟังท่านยายเล่าว่าเรื่องใด ก็มีเสียงร้องของผู้หญิงดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของเรือน
นางหลานสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง หญิงชราก็กระวีกระวาดเข้ามา และใช้ภาษามือบุ้ยใบ้ไปทางฮูหยินผู้เฒ่า
นางหลานจับมือของอวี๋หวั่นไว้ “จื่อเยียนกำลังจะคลอดลูก! เด็กคนนี้เป็นลูกของพี่ชายที่ล่วงลับของเจ้า!”
……………………