หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 422 รนหาที่ตาย
ตกดึกลมพัดแรง สตรีศักดิ์สิทธิ์ลอบออกมาจากสกุลซือคง มายังคฤหาสน์หรูทางทิศใต้ของเมือง
ในคฤหาสน์ ซือคงอวิ๋นกำลังดื่มสุราคลึงเคล้าอยู่กับสาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ทันใดนั้นประตูก็ถูกถีบจนเหวี่ยงเปิด
ออก ทั้งสองสะดุ้งโหยงรีบจัดแจงเสื้อผ้าในทันใด
สาวใช้คนนี้นั่งอยู่ในอ้อมอกของซือคงอวิ๋น ทันที่เห็นสีหน้าเย็นเยียบของสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางยังจำไม่ได้ว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ คิดเสียอีกว่าเป็นสาวใช้คนใหม่ จึงแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่เห็นหรือว่าคุณชายกำลังยุ่งอยู่? พรวดพราดเข้ามาเช่นนี้ เคาะประตูไม่เป็นอ๊าา…อรั่กก”
คำอุทานกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนครั้งสุดท้ายของนาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ดึงมีดที่ปักอกของนางออกมา เลือดบนคมมีดหยดลงมาบนพื้น กว่าซือคงอวิ๋นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองจนยกมือขึ้นผลักสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกไป รอยเลือดก็หยดอยู่เต็มหน้าสาวใช้ที่ปราศจากลมหายใจเสียแล้ว
ซือคงอวิ๋นมองไปยังภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เขาตื่นกลัวเสียจนใบหน้าซีดเผือด “เจ้า…หลานจีเจ้าบ้าไปแล้ว!”
มีดเล่มนี้เป็นมีดชั้นดี ไม่นานเลือดก็ไหลออกจากปลายมีดจนหมด สตรีศักดิ์สิทธิ์จึงเก็บมีดกลับเข้าฝัก นางพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “คนที่บ้าไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้าต่างหาก นี่มันกี่โมงกี่ยามกัน เจ้ายังมีกะจิตกะใจจะมาสำมะเลเทเมาเช่นนี้อยู่อีกหรือ?”
ซือคงอวิ๋นกระแอม “ก็…ก็แค่ดื่มไปสองจอกเอง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่กังวลเรื่องที่มีคนสวมรอยเป็นตัวเจ้าเลยหรือ?”
ซือคงอวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วพูดว่า “มีอะไรให้กังวล? เจ้าไม่ได้บอกเองหรือว่า วิชาปลอมตัวของสกุลหลานจะสลายไปในสิบวันถึงครึ่งเดือน! และจะไม่สามารถใช้วิชาได้อีกในช่วงเวลาอันสั้น! ก็หมายความว่าหลังจากผ่านช่วงนี้ไป ใครจริงใครปลอมจะได้รู้กัน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางเห็นดีเห็นงามกับซือคงอวิ๋น สิ่งที่สำคัญก็คือซือคงอวิ๋นกับเยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีความแค้นต่อกัน ต่อให้ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาจัดการ ก็ไม่นับว่าเป็นความแค้นที่ถึงเป็นถึงตาย ทว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับต่างออกไป ความบริสุทธิ์ของนางไม่เพียงถูกทำลายด้วยน้ำมือของเศษสวะอย่างซือคงอวิ๋น แม้แต่คุณค่าและความมั่นใจในตัวเองของนางก็ถูกเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี เมื่อก่อนนางมีความหยิ่งผยองมากเพียงใด ทุกวันนี้กลับล้วนมีแต่เรื่องที่ไม่ปรารถนา
แล้วยังมีอวี๋หวั่นซึ่งกำลังตั้งท้องราชาศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นภัยต่อสถานะของนางในหมิงตู เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดอวี๋หวั่นทิ้ง!
สตรีศักดิ์สิทธิ์วางมีดสั้นของซือคงอวิ๋นไว้บนโต๊ะ
ซือคงอวิ๋นเหลือบมองมีดของตน อาวุธเช่นนี้เขามีมากแล้ว จึงมิได้ใส่ใจที่สตรีศักดิ์สิทธิ์จะเอาไปสักเล่ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างซือคงอวิ๋น เมื่อเห็นว่าใบหน้าของซือคงอวิ๋นบูดบึ้ง จึงเอื้อมมือไปรินสุราให้เขา “เจ้าไม่ได้มียอดฝีมือที่ท่านตาของเจ้าทิ้งไว้ให้หรอกหรือ?”
เมื่อซือคงอวิ๋นเห็นว่านางรินสุราให้ตน ใบหน้าก็แลดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย อันที่จริงสาวใช้ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไหนเลยจะสำคัญเท่าภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของเขาได้? ตายก็ตายไปแล้ว ทว่าที่ตนเองโมโหก็เพราะนางโหดเหี้ยมเกินไป มิได้ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
ซือคงอวิ๋นดื่มสุราเข้าไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “จะว่ามีก็มี เจ้าจะทำอะไร”
“ขอข้ายืมใช้สักหน่อย” สตรีศักดิ์สิทธิ์ตอบ
“ไม่ได้” ซือคงอวิ๋นตอบโดยมิได้หยุดคิด
“ทำไมเล่า?” สตรีศักดิ์สิทธิ์ถาม
ซือคงอวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูก “นั่นเป็นยอดฝีมือที่ท่านตาให้ใช้สำหรับป้องกันตัว แม้แต่ท่านพ่อข้าเองก็ยังไม่รู้ ถ้าหากท่านพ่อข้ารู้ว่าข้าซ่อนยอดฝีมือที่เก่งกาจเช่นนี้เอาไว้ เขาจะต้องเคลือบแคลงสงสัยว่าข้ามีแผนร้ายอย่างแน่นอน สงสัยข้าไม่เท่าไหร่ แต่สงสัยท่านตาข้านับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ท่านตามอบยอดฝีมือระดับสูงเช่นนี้ให้ข้า เขามีจุดประสงค์อะไร เจ้าคิดว่าท่านพ่อข้าจะมองแง่บวกหรือ? แล้วท่านพ่อข้าจะกล้าส่งมอบตำแหน่งประมุขของสกุลให้ข้าหรือ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยสีหน้าไม่รีบร้อนว่า “เช่นนั้นเจ้าไม่กลัวหรือว่าวันใดที่เจ้าไม่อยู่ ตำแหน่งประมุขของสกุลจะตกเป็นของพี่ชายเจ้า?”
ซือคงอวิ๋นแค่นเสียง ‘ชิ’ พลางกระดกสุราจนหมดจอก “จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านพ่อรักข้าที่สุด!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตอบเขาว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการ ก็จะยอมสละตำแหน่งแต่โดยดีหรือ?”
“ข้าจะไม่ต้องการได้อย่างไร…” ซือคงอวิ๋นพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็ตระหนักได้ถึงความหมายโดยนัย เขาถลึงตาแล้วพูดว่า “เจ้าหมายความว่า…เยี่ยนจิ่วเฉาปลอมตัวเป็นข้า เพราะจงใจจะให้ข้ามอบตำแหน่งให้พี่ใหญ่?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตอบอย่างสบายอารมณ์ว่า “ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะเข้ามาในสกุลซือคงทำไมเล่า? เขาปลอมเป็นเจ้า ความผิดของเขาไม่อาจให้อภัยได้ ถ้าหากให้เจ้าขึ้นเป็นประมุขสกุลซือคง แล้วเจ้าแว้งมากัดเขาจะทำอย่างไร? ถ้าหากให้พี่ใหญ่เจ้าเป็นประมุขสกุลซือคงย่อมไม่เหมือนกัน พี่ใหญ่เจ้าย่อมต้องปกป้องเขาด้วยความสามารถทั้งหมดที่สกุลซือคงมี”
ซือคงอวิ๋นโทสะพลุ่งพล่านจนลุกขึ้นพรวด “ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”
ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนการของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไม่ให้เยี่ยนจิ่วเฉาสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในสกุลซือ คง ทว่าได้นำมาใช้หลอกลวงซือคงอวิ๋นก็นับว่าเพียงพอแล้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดโน้มน้าวว่า “เจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว คนหนึ่งร่วงก็ร่วงด้วยกัน คนหนึ่งรุ่งก็รุ่งด้วย สิ่งเจ้ากังวล ข้าก็ตระหนักดี เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้คิดจะให้ยอดฝีมือไปยังสกุลซือคง ข้าจะหลอกล่อพวกเขาออกมา”
ซือคงอวิ๋นยังคงลังเล
สตรีศักดิ์สิทธิ์มองเขา “เจ้ายังลังเลอันใดอีก? ถ้าไม่ใช้โอกาสที่มีรีบสังหารเยี่ยนจิ่วเฉาเสีย จะรอให้เขาส่งมอบตำแหน่งประมุขสกุลซือคงให้พี่ใหญ่เจ้าก่อนหรือ?”
ซือคงอวิ๋นขมวดคิ้ว “เจ้าเยี่ยนจิ่วเฉานั่นท่าทางร้ายกาจไม่เบา…ถ้าหากฆ่าได้ก็สิ้นเรื่อง แต่ถ้าหาก…ฆ่าไม่ตาย แล้วเขาไปฟ้องท่านพ่อข้าจะทำอย่างไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หัวเราะเย็นชา “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจ หลายวันมานี้เขาอ่อนแอเสียจนสู้ไม่ได้แม้แต่เด็ก นับเป็นโอกาสดีที่จะได้ปลิดชีพเขา!”
……
ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของเมือง เด็กทั้งสามถือขวดนม ผลัดกันป้อนนมให้น้องชายตัวน้อยซึ่งอยู่ในห่อผ้า อาเว่ยกำลังต้มนมอยู่ด้านข้าง ชิงเหยียนและเยว่โกวกำลังประลองยุทธ์อยู่ในลานบ้าน ชุยเฒ่าไปฝังเข็มให้นางหลานที่ห้อง ส่วนอาม่านั้น เขากำลังคร่ำเคร่งอ่านตำราโบราณที่อิ่งสือซันหอบมาจากจวนซือคง
เขาค้นพบความลับอันน่ามหัศจรรย์ข้อหนึ่ง นั่นก็คือสกุลซือคงสืบเชื้อสายมาจากเผ่าพ่อมด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลมาอธิบายแล้วว่าเพราะเหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์และสกุลซือคงจึงไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้
ตำนานว่ากันว่าทั้งสองเผ่าถูกสาปให้สายเลือดไม่สามารถหลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้ แต่ดูเหมือนว่าคำสาปนี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว
สิ่งที่อาม่าสนใจกลับไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่เป็นการสืบทอดของเผ่าพ่อมด จากบันทึกในตำรา เผ่าพ่อมดไม่ได้สืบทอดทายาทด้วยสายเลือด หากปรารถนาจะเป็นพ่อมด ก็จำต้องฝึกวิชายุทธ์ของเผ่าพ่อมดและวิชาไสยเวท ทว่าวิชาเหล่านี้ได้สูญหายไปนานแล้ว
“อาม่าก็ใช้วิชาไสยเวทได้ไม่ใช่หรือ?” อิ่งสือซันถาม
อาม่าส่ายหน้า “นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เทียบไม่ได้แม้แต่กับผู้เริ่มฝึกวิชา ความรู้วิชาไสยเวทของเผ่าพ่อมดนั้นลึกล้ำจนแม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจประเมินได้”
“เช่นนั้น…วิชายุทธ์เล่า?” อิ่งซือซันถาม
อาม่าตอบว่า “วิชาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสกุลซือคงนั้นมีไม่น้อย แต่วิชาใดเป็นต้นกำเนิด ตอนนี้ข้ายังไม่กระจ่าง การสืบทอดในเผ่าพ่อมด ส่วนมากต้องพึ่งพาโชคชะตาทั้งสิ้น”
อิ่งสือซันกล่าวว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปหยิบตำรามาอีก”
อาม่ากำลังจะพยักหน้า ทันใดนั้นเองก็มีจิตสังหารรุนแรงแผ่ซ่านมาทั่วทุกสารทิศ!
นัยน์ตาของอาม่ากระตุกวูบหนึ่ง!
อิ่งสือซันดันเขาออกไป!
สวบ! สวบ! สวบ!
ศรธนูพุ่งทะลุหน้าต่างเข้ามา ตรงดิ่งไปยังบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ก่อนจะหลบ ศรธนูปักไปยังแผนที่บนผนัง หัวศรโผล่ออกมาจากผนัง ทำให้รู้ว่าแรงของศรธนูเหล่านี้รวดเร็วและรุนแรงเพียงใด ถ้าหากพวกเขาหลบไม่ทัน เกรงว่าคงจะถูกลูกศรปักจนพรุนไปแล้ว!
ในลานบ้านและในห้องของเด็กๆ ก็เกิดสถานการณ์แบบเดียวกัน
อาเว่ยพุ่งเข้ามาถีบศรเหล่านี้ออกไป
พลังมหาศาลราวขุนเขาขนาดมหึมา กำลังกดทับไปบนทุกคนตรงนั้น พื้นดินถูกกดจนแตกออก สองขาของพวกเขาจมลงไปในรอยแยก
เงาสายหนึ่งตรงมาทางอาเว่ยและเด็กๆ
เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าร้องว่า “ไอ้หยาาาาา”
ทันทีที่เงานั้นกำลังจะเข้ามาคว้าตัวเด็กทั้งสามไปนั้นเอง ร่างสีดำสนิทก็ร่อนลงมาจากฟ้า และต่อยอีกฝ่ายจนกระเด็นออกไป
เสี่ยวเป่าร้องว่า “ท่านพ่อ!”
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงลอยอยู่กลางอากาศ ในมือของเขาถือดาบที่สร้างขึ้นจากพลังภายใน และเข้าปะทะกับเงานั้นทันที
เงานั้นหายไปในพริบตา!
คล้ายกับจมหายไปในความมืด แต่ก็คล้ายกับอันตรธานหายไป
ชิงเหยียนขมวดคิ้ว “นั่น…นั่นคือ…”
อาม่ามีสีหน้าแข็งกร้าวในทันใด “ราชาซิวหลัวระดับห้า”
ชิงเหยียนเยียนหน้าถอดสีในทันใด “อะไรนะ? ระดับห้า?”
หลังจากที่พวกเขาเข้ามายังหมิงตู จึงได้รู้ว่าราชาซิวหลัวก็มีการแบ่งระดับด้วย ก่อนหน้านี้ราชาซิวหลัวที่หลานเจียวมีนั้นเป็นเพียงซิวหลัวระดับสาม ซิวหลัวของพวกตนเพิ่งบรรลุุเป็นราชาซิวหลัวได้ไม่นาน แม้แต่ระดับหนึ่งยังแตะไม่ถึง ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับระดับห้า? น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ทุกระดับของราชาซิวหลัวที่เพิ่มขึ้น พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นจากระดับเดิมราวฟ้ากับดิน ซิวหลัวที่มีพลังถึงระดับห้า คงจะเป็นจุดสูงสุดของหมิงตูแล้ว
“พวกเจ้าหลบไปก่อน!” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อิ่งสือซันตื่นตะลึง เขาคลุกคลีกับเยี่ยนจิ่วเฉามานาน ย่อมรู้นิสัยของเยี่ยนจิ่วเฉาดี ถ้าหากเขาสามารถเอาชนะได้ ย่อมไม่มีทางพูดเช่นนี้ แม้แต่คุณชายก็ไม่อาจเอาชนะราชาซิวหลัวระดับห้าได้หรือ?
“ยืนนิ่งกันอยู่ทำไมเล่า!” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
อิ่งสือซันมองหน้ากันไปมา ในตอนนี้พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไป รีบคว้าตะกร้าใบใหญ่ จับเด็กน้อยทั้งสามและทารกในห่อผ้าลงไป
อิ่งลือซันบอกว่า “อาเว่ย ฝากเจ้าด้วย”
อาเว่ยพยักหน้า สะพายตะกร้า แล้วใช้วิชาตัวเบาหายลับไปในความมืด
เยว่โกวและชิงเหยียนรุดเข้าไปในห้องเพื่อแบกอาม่าและท่านยายหลานขึ้นหลัง อิ่งสือซันเข้าไปพาชุยเฒ่าและจื่อเยียนออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาถกแขนเสื้อขึ้น และใช้พลังผลักซิวหลัวระดับห้าออกไป
ราชาซิวหลัวระดับห้าหัวเราะอย่างเย็นชา สีหน้าไม่สะทกสะท้าน ผู้ใดเห็นก็ย่อมมองออกว่าเขาใช้พลังไปเพียงครึ่งเดียว แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับใช้พลังไปทั้งหมด และแทบไม่มีพลังเหลือแล้ว
พลังของเยี่ยนจิ่วเฉาลดฮวบไปอย่างรวดเร็ว เม็ดเหงื่อใสผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
ซิวหลัวระดับห้าเปรียบประหนึ่งแมวตัวใหญ่เกียจคร้านซึ่งกำลังเย้าแหย่หนูสภาพร่อแร่ตัวหนึ่ง เขาไม่รีบร้อนลงมือสังหารเยี่ยนจิ่วเฉา แต่กลับค่อยๆ เพิ่มพลังทีละส่วน
ดวงจันทร์กระจ่างท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี พลังของเยี่ยนจิ่วเฉาหายไปหมดแล้ว ความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่ราวกับถูกหินก้อนใหญ่กดทับ หน้าอกของเขาปวดร้าว ร่างของเขาค่อยๆ ร่วงลงมา
อิ่งสือซันหันหน้าไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด “คุณชาย!”
ซิวหลัวระดับห้ายื่นกรงเล็บออกมา กำกรงเล็บเป็นกำปั้น แล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างแรง!
ทันใดนั้นเอง อิ่งสือซันก็พุ่งเข้าไป และใช้แรงทั้งหมดคุ้มกันเยี่ยนจิ่วเฉา
แกร็ก
หมัดนั้นอัดลงบนร่างของอิ่งสือซัน กระดูกทั้งร่างของเขา…แหลก…ราวกับหยกที่หล่นลงบนพื้น
ซิวหลัวระดับห้าเหวี่ยงเจ้าคนที่เข้ามาขัดขวางเป้าหมายของเขาอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงต่อยเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าไปอีกหนึ่งหมัด
“โฮกกก”
เสียงคำรามลั่นด้วยความพิโรธดังมาจากเส้นขอบฟ้า พลังของซิวหลัวสายหนึ่งเข้ามาขวางหมัดของเขาไว้
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของซิวหลัวระดับห้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงกลิ่นอายของราชาซิวหลัวระดับหนึ่ง กลับจะขวางหมัดของราชาซิวหลัวระดับห้าอย่างเขาได้หรือ?
ชิงเหยียนร้องว่า “เป็นซิวหลัว! ซิวหลัวออกมาแล้ว!”
หลังจากที่ซิวหลัวได้รับบาดเจ็บ เขาก็หาสถานที่ลับเพื่อเก็บตัว พวกเขาลักลอบนำตำราเคล็ดลับของซิวหลัวออกมาจากสกุลซือคงไม่น้อย ในที่สุดก็สามารถทำให้ซิวหลัวบรรลุระดับหนึ่งได้
ชิงเหยียนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ คิ้วของเขาขมวดเป็นปมพร้อมกับกล่าวว่า “แย่แล้ว เขาออกมาก่อนกำหนด!”
ราชาซิวหลัวระดับห้ามองออกว่าอีกฝ่ายอยู่ในจุดสูงสุด และมีโอกาสที่จะบรรลุระดับ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เขากดพลังของตนเองในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่าน การทำเช่นนี้นับว่าอันตรายมาก
เขากดพลังของตนเองไว้ อาจส่งผลให้พลังที่แท้จริงไม่อาจสำแดงออกมาได้
กระนั้นแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังสามารถรับการโจมตีของราชาซิวหลัวระดับห้าได้หนึ่งครั้ง
พลังของซิวหลัวผู้นี้ยังนับว่าไม่เต็มขั้น ถ้าหากเต็มขั้นละก็ ใครจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?
ราชาซิวหลัวระดับห้าหมายจะสังหารอีกฝ่ายในทันใด!
ในครั้งนี้ ขณะที่ราชาซิวหลัวระดับห้ากำลังจะเปิดฉากสังหารหมู่เยี่ยนจิ่วเฉาและคนอื่นๆ ในสุสานอีกด้านหนึ่งก็กำลังจะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเช่นกัน
ซือคงเย่นั่งอยู่บนแท่นกลมใจกลางห้องลับในสุสาน เขาหลับตาทำสมาธิ
ยามที่อวี๋หวั่นออกไป เธอปิดประตูหินลง เพื่อให้เขาได้ฟื้นฟูร่างกายอย่างสงบ
ห้องลับนี้เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบา
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องกัมปนาท ประตูหินเปิดออกอย่างฉับพลัน
“อาหวั่น เจ้าหรือ?” ซือคงเย่ลืมตาขึ้น เขาคิดว่าเป็นคนน้อง ทว่าเมื่อมองไปยังร่างอรชรตรงหน้ากลับพบว่าเป็นคนพี่
เขาชะงักไป “อวี้เอ๋อร์? เจ้ามาได้อย่างไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ้มน้อยๆ “ข้ามาดูท่านปรมาจารย์เจ้าค่ะ”
คำเรียกนี้ทำให้ซือคงเย่ถึงกับขมวดคิ้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน ยกมือขึ้นมาตบไหล่ซือคงเย่ “ท่านปรมาจารย์ ท่านกำลังอ่อนแอใช่ไหมเจ้าคะ?”
นางกำลังบีบคั้นซือคงเย่ แต่เขากลับไร้หนทางตอบโต้
สตรีศักดิ์สิทธิ์หัวเราะลั่น “ดูแล้วท่าจะเป็นความจริง ท่านปรมาจารย์ ท่านไม่มีวรยุทธ์หลงเหลืออยู่เลย”
ซือคงเย่นัยน์ตาแข็งกร้าว สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “เจ้าไม่ใช่อวี้เอ๋อร์!”
“ข้าไม่ใช่อวี้เอ๋อร์ บนโลกนี้ไม่มีอวี้เอ๋อร์อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่เจ้ารู้ตัวช้าเกินไป”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หัวเราะเย็นชา คว้าหัวไหล่เขาไว้ และเหวี่ยงเขาลงบนพื้น!
………………….