หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 426 ชะตากรรมของราชันหมื่นสัตว์พิษ
ครั้นซือคงฉางเฟิงเข้ามาในสุสาน เขาได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของปรมาจารย์ซือคง ตกใจจนแทบล้มทั้งยืน!
“ท่านปรมาจารย์!”
เขากระวีดกระวาดเข้าไปในห้องลับ
ปรมาจารย์ซือคงพูดจบก็หลับตาลง แล้วสลบไป
กระนั้น แม้จะสลบไปแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังหันไปทางเด็กทั้งสาม
เด็กๆ ล้วนแต่มึนงง คล้ายกับมีดาววิ่งวนอยู่บนศีรษะ ลุกขึ้นเดินโซเซไปมาราวกับเพิ่งดื่มเหล้ามา ซ้ายบ้างขวาบ้าง
ซือคงฉางเฟิงมองไปยังเด็กทั้งสาม อันที่จริงแฝดสามยังไม่นับว่าน่าแปลกใจเท่าไร แต่กลับเป็นเด็กที่ผิวคล้ำจนต่อให้จุดโคมก็ยังมองไม่เห็น แต่เขายังไม่ทันได้ตกใจ ก็เหลือบไปเห็นอวี๋หวั่นซึ่งนั่งน้ำตาคลอเบ้าและพูดไม่ออก ทว่ายังไม่ทันได้ตกใจ ก็ได้ยินเสียงของเด็กทารกร้องออกมาจากในสุสาน
เขากวาดสายตามอง ก็เห็นเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบ กอดทารกในห่อผ้าอยู่
จากนั้นก็มองไปยังราชาซิวหลัวซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น แล้วก็…
“ไอ้หยาา!”
เขาสะดุดส้นเท้าของตนเอง แต่กลับไม่ทันระวัง ไปเตะสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนอนคุดคู้อยู่บนพื้นเข้า
เดิมทีสตรีศักดิ์สิทธิ์ยังคงได้สติ ขณะที่กำลังจะอาศัยจังหวะชุลมุนหนีไปนั้น ก็ถูกซือคงฉางเฟิงเตะเข้าอย่างแรง จนตาเหลือกและหมดสติไป
ซือคงฉางเฟิงเตะจนใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์บวมเป็นหัวหมู แต่เขาไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าของนางละม้ายคล้ายคลึงกับอวี๋หวั่น
ซือคงฉางเฟิงรู้สึกสับสนไปหมด ไม่มีคนนอกเข้ามาในเขาหมิงซาน แต่วันนี้กลับมีคนแปลกหน้าตั้งมากมาย ทั้งบุรุษ สตรี เด็กเล็ก และเด็กทารก…
ซือคงฉางเฟิงไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกอย่างไรดี
และแล้วเขาจึงสังเกตเห็นปรมาจารย์ซือคงซึ่งนอนไม่ได้สติด้วยท่าทางประหลาดอยู่บนพื้น
ซือคงฉางเฟิงมุมปากกระตุก “…”
ซือคงฉางเฟิงหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์แล้วเดินไปหาอวี๋หวั่นซึ่งยังได้สติอยู่ “เข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ใบหน้าของเจ้า…หายดีแล้วหรือ? แล้วก็เกิดอะไรขึ้น พวกเขาเป็นใคร”
คำถามชุดหนึ่งถูกซัดเข้าหาอวี๋หวั่นอย่างรวดเร็วจนไม่รู้ว่าควรตอบเรื่องใดก่อน ในตอนนั้นเอง เด็กน้อยทั้งสามก็เดินโซซัดโซเซมาจากด้านข้าง และโผเข้าหาอ้อมอกของอวี๋หวั่น
ซือคงฉางเฟิง “?!”
อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “ลูกของข้าเอง อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้าตกใจกว่าท่านอีก”
ใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอาเว่ย ลูกๆ ของเธอ แล้วก็หลานชายถึงเข้ามาเขาหมิงซานได้
“อาเว่ย เกิดอะไรขึ้น” เธอเอ่ยถามจอมวายร้ายอันดับหนึ่งแห่งเผ่าปีศาจซึ่งกำลังปลอบทารกตัวน้อยจนเหงื่อกาฬเต็มหน้าผาก
อาเว่ยตอบด้วยใบหน้าซีดเผือดว่า “มีมือสังหารบุกมาที่คฤหาสน์ พวกเราแยกกันหนี”
อวี๋หวั่นนัยน์ตากระตุกวูบ ที่นั่นก็เจอกับมือสังหารหรือ?!
“คนอื่นๆ ละ? เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้มาด้วยหรือ?” เธอพะวงเรื่องนี้มากที่สุด อ๋องแห่งเผ่าปีศาจและท่านตาทวดฝึกวรยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน ถ้าหากท่านตาทวดของเธอสูญเสียวรยุทธ์ไป เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน
“เขาหนีไปแล้ว ซิวหลัวก็ไปแล้ว หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว” อาเว่ยตอบไปตามตรง
เขาพาเด็กๆ หนีออกมาไกล เขาเพียงแต่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยในความมืด ส่วนเรื่องที่เขาช่วยเยี่ยนจิ่วเฉาได้หรือไม่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้
ซือคงฉางเฟิงไม่ได้คำตอบจากอวี๋หวั่น แต่เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ก็ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าอวี๋หวั่นอยู่ในสุสาน ส่วนเด็กหนุ่มที่อุ้มทารกอยู่นั้นคือผู้ที่บุกรุกเข้ามาในเขาหมิงซานโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซือคงฉางเฟิงคิดว่าสตรีที่ถูกเขาเตะจนสลบนั้นเป็นเพื่อนของอวี๋หวั่น จึงรีบกระแอมพร้อมกับบอกว่า “ขออภัยด้วย ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนของเจ้า ข้าเตะนางจนหมดสติไป”
ในตอนนั้นอวี๋หวั่นจึงมองไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่มัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ทันสังเกตเห็นว่าที่เสาหินมีปลาตัวหนึ่งเล็ดลอดตาข่ายออกไป
อวี๋หวั่นจดจำสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ ในตอนนั้นเอง ทุกอย่างล้วนกระจ่างขึ้นมาทันที
ไม่มีบุคคลที่สามที่ล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของท่านตาทวด เหตุใดจึงมีมือสังหารบ้าบิ่นไม่กลัวตายบุกเข้ามาในเขาหมิงซานเช่นนี้ได้ ที่แท้ก็เป็นแผนของสตรีศักดิ์สิทธิ์! นางต้องแอบได้ยินบทสนทนาของเธอกับตาทวดอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันนางก็เดาได้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็มีจุดอ่อนนี้เช่นกัน จึงส่งมือสังหารสองกลุ่มไปกำจัดท่านตาทวดและเยี่ยนจิ่วเฉา
สังหารเยี่ยนจิ่วเฉายังพอเข้าใจได้ อย่างไรเสียเยี่ยนจิ่วเฉาก็เคยทำร้ายนาง อีกทั้งแก้แค้นนางกับซือคงอวิ๋น แต่ท่านตาทวดไปทำอะไรให้นางโกรธเคืองกัน? หรือว่านางกลัวว่าท่านตาทวดจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง จึงชิงลงมือฆ่าปิดปากเขาเสียก่อน?
นางงูพิษ!
อวี๋หวั่นพยายามระงับโทสะที่สุมอยู่ในอกพร้อมปะทุออกมา แล้วมองไปยังซือคงฉางเฟิง “คุณชายซือคง มีบางเรื่องที่ข้ายังอธิบายให้ท่านฟังตอนนี้ไม่ทัน ท่านตาทวดบาดเจ็บหนัก ข้าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้ รบกวนท่านช่วยกันลูกศิษย์วิหารเจาหยางออกไปหน่อยได้หรือไม่?”
ท่าน…ท่านตาทวด?
ซือคงฉางเฟิงตะลึงงัน ทว่าเขาก็ยังจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ ได้ จึงมิได้ปล่อยให้ตนเองจมอยู่กับความตกใจนานนัก เขารีบหันหลัง รุดออกไปยังวิหารเจาหยางในทันใด
ก่อนหน้านี้ ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น วิหารเจาหยางก็แตกตื่นในทันใด บรรดาลูกศิษย์ในวิหารต่างคาดเดาเหตุการณ์ไปต่างๆ นานา กลิ่นอายแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นในเขาหมิงซานนั้นมาจากไหนกัน?
อีกทั้ง เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ไฉนจึงไม่เห็นเงาของท่านปรมาจารย์เลยเล่า?
ซือคงฉางเฟิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “มีมือสังหารบุกเข้ามาในเขาหมิงซาน แต่ถูกท่านปรมาจารย์จัดการไปแล้ว ท่านปรมาจารย์กำลังสอบสวนเขา พวกเจ้าตามไปค้นดูว่ายังมีมือสังหารหลบซ่อนอยู่อีกหรือไม่”
“ขอรับ!” เหล่าลูกศิษย์ติดตามซือคงฉางเฟิงไป
สตรีศักดิ์สิทธิ์และราชาซิวหลัวระดับห้ายังคงอยู่ในสุสาน โดยมีราชันหมื่นสัตว์พิษกับสัตว์พิษตัวน้อยคอยเฝ้าอยู่ อวี๋หวั่น อาเว่ย และปรมาจารย์ซือคงซึ่งหมดสติไม่รับรู้เรื่องราวใดก็กลับไปยังวิหารเจาหยาง
อาการของซือคงเย่ไม่สู้ดีนัก หรือหากกล่าวตามตรง ต้องเรียกว่าอาการไม่สู้ดีแม้แต่น้อย คำพูดที่ว่า ‘ร่อแร่ใกล้ตาย’ ไม่ใช่คำโกหก และ ‘กินยาก็ไม่หาย’ ก็ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดพล่อยๆ อายุปูนนี้แล้ว หากไม่อาจบรรลุวิชาอายุวัฒนะระดับเก้า ก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เป็นเพราะพลังของเขาแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่มียาชนิดใดในหมิงตูที่รักษาเขาได้
“หนอนพิษของเจ้า ตามหาพวกเยี่ยนจิ่วเฉาได้ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
“ได้” อาเว่ยตอบ
อวี๋หวั่นอยากรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาและคนอื่นๆ อยู่ที่ไหน เหตุผลหนึ่งก็เพราะเธอกังวลว่าพวกเขาอาจประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่างไรเสียพลังของมือสังหารคนนี้ก็แข็งแกร่งเหลือเกิน ดังนั้นมือสังหารที่ตามล่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็ย่อมไม่เป็นรอง ด้วยระดับของซิวหลัวของพวกตน เกรงว่าอาจจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้
เหตุผลที่สอง วิชาแพทย์ของอวี๋หวั่นมีขีดจำกัด จำเป็นต้องให้ชุยเฒ่ามารักษาซือคงเย่
ขณะที่อาเว่ยกำลังจะออกไปตามหาเยี่ยนจิ่วเฉาและคนอื่นๆ เยี่ยนจิ่วเฉาก็พาซิวหลัว อิ่งลิ่ว และอิ่งสือซันซึ่งบาดเจ็บหนักและต้องได้รับการรักษาเข้ามายังเขาหมิงซาน
ทุกวันนี้เยี่ยนจิ่วเฉายังคงข้ามหน้าข้ามตาซือคงอวิ๋น เขาพาคนเข้ามาในจวนซือคงเท่าไร ก็ไม่มีผู้ใดขวาง หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางเข้ามายังเขาหมิงซานผ่านเส้นทางลับวิหารเจาหยาง
เมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างยังอยู่รอดปลอดภัย พวกเขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” อวี๋หวั่นเดินไปตรงหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา
“ข้าไม่เป็นไร” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
ยาของสกุลซือคงนับว่ายังใช้กับเขาได้
อวี๋หวั่นยังคงไม่วางใจ เธอยกมือขึ้นจับชีพจร เยี่ยนจิ่วเฉายังคงมีร่องรอยของอาการบาดเจ็บภายใน แต่กลับบอกว่าตนเองไม่เป็นไร กระนั้นเส้นเลือดของเขายังไม่นับว่าแย่เสียทีเดียว เพราะยังมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น จะเรียกว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายก็คงได้
เมื่อนึกเรื่องหนึ่งได้ อวี๋หวั่นจึงถามว่า “ท่านสูญเสียวรยุทธ์ไปเหมือนกันใช่ไหม ข้าก็เพิ่งรู้ว่าผู้ฝึกวิชาอายุวัฒนะจะสูญเสียพลังในคืนพระจันทร์เต็มดวง”
เรื่องนี้เยี่ยนจิ่วเฉาพอจะจับสังเกตได้ตั้งแต่ระหว่างทางมายังหมิงตูแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ทุกเดือน ในตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าวิชาที่ตนฝึกยังไม่สมบูรณ์ จึงทำให้วรยุทธ์ไม่เสถียร
อวี๋หวั่นมองเข้าไปยังประตู “ใช่สิ ท่านยายรองกับพวกชิงเหยียนละ?”
อิ่งลิ่วตอบว่า “พวกเขาหนีไป ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้ขอรับ แต่ว่ามือสังหารทั้งหมดตายไปแล้ว พวกเขาคงจะไม่เป็นไร”
อวี๋หวั่นไปมองไปยังอิ่งสือซันซึ่งนอนไม่ได้สติอยู่ในอ้อมอกของอิ่งลิ่ว “สือซันก็บาดเจ็บหรือ?”
“อื้ม” อิ่งลิ่วพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย อันที่จริงเขาให้อิ่งสือซันกินยาคืนชีพที่คุณชายให้มาแล้ว แต่ด้วยตัวยาชนิดเดียวกัน คุณชายฟื้นขึ้นมา ทว่าอิ่งสือซันกลับนอนเป็นผักไม่ได้สติ เขากังวลเหลือเกิน แล้วก็กลัวมากเช่นกัน กลัวว่าอิ่งสือซันจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
อวี๋หวั่นเก็บห้องข้างๆ อีกหลายห้อง เพื่อให้คนอื่นๆ เข้าพักในเรือนของท่านตาทวด เหตุผลหนึ่งก็เพื่อให้สะดวกต่อการรักษาอาการบาดเจ็บ สองก็เพื่อป้องกันการถูกลอบโจมตีอีกครั้ง
อิ่งลิ่วอุ้มอิ่งสือซันเข้าห้องไป อวี๋หวั่นอยู่ในห้องของท่านตาทวด แม้จะรู้ดีว่าไม่มีหนทางรักษามากนัก แต่เธอก็ยังคงป้อนยาให้เขา จากนั้นจึงฝังเข็มให้เขา เพื่อลดอาการบาดเจ็บจากพลังของราชาซิวหลัวระดับห้า
แต่กว่า ความพยายามนั้นไร้ผล
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ดูแล้ว ท่าทางจะต้องให้ชุยเฒ่ามารักษา”
เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งนั่งเฝ้าเธอและลูกๆ อยู่ริมหน้าต่าง ก็เอ่ยขึ้นว่า “ชุยเฒ่ามาก็ไม่มีประโยชน์ พลังของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้ฮว่าถัว[1]มารักษาให้ ก็ยื้อชีวิตเขาไว้ไม่ได้”
อวี๋หวั่นมีสีหน้ามืดมน “ไม่มีวิธีแล้วจริงหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “วิธีเดียวที่จะช่วยเขาได้ ก็คือทำให้เขาบรรลุวิชาอายุวัฒนะระดับเก้า”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็คงจะยาก ข้าจำได้ว่าท่านทวดเคยบอกไว้ว่าเขาวนเวียนอยู่ที่ระดับแปดมานานแล้ว ไม่มีวิธีบรรลุระดับเก้าสักที”
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดว่า “หาคนที่บรรลุระดับเก้าแล้ว และให้คนผู้นั้นมอบวรยุทธ์ให้เขา”
นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ใต้หล้าไม่มีผู้ใดบรรลุระดับสูงไปกว่าคนสกุลซือคงแล้ว แม้แต่อ๋องแห่งเผ่าปีศาจยังฝึกได้เพียงระดับหกเท่านั้น
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อ “หรือไม่ก็ใช้ราชันหมื่นสัตว์พิษมาทำเป็นยา ใช้พิษกระตุ้นมันเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเขาอาจบรรลุระดับเก้าได้”
อวี๋หวั่นมีสีหน้าตื่นตะลึง “ท่านหมายความว่า…ให้ฆ่าราชันสัตว์พิษของท่านตาทวดน่ะหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “จะฆ่าเจ้าหนอนตัวเล็กนั่นก็ได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงหนอนวัยเยาว์ แต่ร่างของมันก็เป็นถึงราชันสัตว์พิษ”
อวี๋หวั่นเงียบไป
“เจ้าต้องรีบตัดสินใจ เขามีเวลาไม่มาก อยากจะฆ่าตัวไหน…ก็บอกข้า”
ข้าจะลงมือเอง
เยี่ยนจิ่วเฉายืนขึ้น และอุ้มเด็กทั้งสามกลับไปยังห้องข้างๆ
……
ซือคงฉางเฟิงนำลูกศิษย์ในวิหารออกไป ให้พวกเขาค้นหาบนเขาหมิงซานอย่างสุดกำลัง เขาหมิงซานนั้นกว้างใหญ่ เกรงว่าเจ็ดแปดวันคงจะค้นหาไม่ทั่ว
ขณะที่เขากลับมายังเรือนของปรมาจารย์นั้น ก็เห็นอวี๋หวั่นนั่งอยู่ริมระเบียงทางเดินด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
อันที่จริง ระหว่างทางเขาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด อวี๋หวั่นคงจะเป็นลูกหลานของปรมาจารย์ซือคง และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขากับเธอก็คงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ข่าวลือเกี่ยวกับท่านปรมาจารย์และสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีในตอนนั้นกระฉ่อนไปทั่วหมิงตู บ้างก็ว่ากันว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีถูกท่านทวดของเขาจับขังคุก เป็นท่านปรมาจารย์ที่ลอบปล่อยนางออกมา แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ แต่กระนั้นหลังจากที่นึกถึงภาพวาดของสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีและใบหน้าของอวี๋หวั่น จึงพอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร
มิน่าเล่า ทันทีที่เขาเห็นอวี๋หวั่น จึงรู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ที่จริงแล้วพวกเขาก็เป็นญาติกันนี่เอง
ซือคงฉางเฟิงเดินเข้าไป และนั่งลงที่ขั้นบันได “เจ้ากังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของท่านปรมาจารย์หรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า แล้วเล่าถึงวิธีการรักษาปรมาจารย์ให้ซือคงฉางเฟิงฟัง
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์พิษตัวน้อย หรือว่าเป็นราชันหมื่นสัตว์พิษ เธอก็ไม่อาจทำใจฆ่าพวกมันได้ลงคอ
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ซือคงฉางเฟิงก็มิได้แสดงอาการตื่นตกใจเท่าไรนัก
เขาหลุบตาลง บีบขวดหยกซึ่งใช้ใส่ราชันหมื่นสัตว์พิษแน่น “ที่จริง…ท่านปรมาจารย์…คิดไว้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสีหน้าประหลาด
ซือคงฉางเฟิงพูดอย่างลำบากใจว่า “ที่เขาหมิงซานเลี้ยงหนอนพิษไว้มากถึงเพียงนี้ ก็เพื่อเลี้ยงราชันหมื่นสัตว์พิษ และที่เลี้ยงราชันหมื่นสัตว์พิษเอาไว้…”
ประโยคต่อมา เขาไม่ได้พูด
อวี๋หวั่นพึมพำต่อจากสิ่งที่เขาพูด “เพื่อที่วันหนึ่ง ท่านตาทวดจะได้นำมันมาทำยา และทำให้ตนเองบรรลุขีดจำกัด”
“มิผิด” ซือคงฉางเฟิงรู้สึกปวดร้าวใจ เลี้ยงราชันหมื่นสัตว์พิษมานานจนคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว
แม้ว่าจะใช้สัตว์พิษตัวน้อยก็ได้ แต่นั่นย่อมไม่ใช่โชคชะตาของมัน
ซือคงฉางเฟิงสะอึกสะอื้น “ข้าคิดมาตลอด…ติดมาตลอดว่าอาจมีสักวันหนึ่งที่ท่านปรมาจารย์ข้ามขีดจำกีดได้ด้วยตนเอง แต่สุดท้ายแล้ว…”
อวี๋หวั่นพูดเสียงค่อยว่า “ท่านตาทวด…ต้องไม่อยากฆ่าราชันหมื่นสัตว์พิษอย่างแน่นอน…”
มิเช่นนั้น ครั้นอยู่ในสุสานเขาคงไม่ทำอย่างนั้น เขาเลือกที่จะหลับตาอย่างสงบ แม้ว่าจะยังคงพะวงหาเด็กๆ หวังว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ก็ไม่ยอมบอกเธอว่าสามารถใช้ราชันหมื่นสัตว์พิษรักษาเขาได้
ในใจของเขา ต้องกำลังคิดหาวิธีอื่นอยู่ก็เป็นได้
ขณะที่จิตใจของอวี๋หวั่นกำลังว้าวุ่น ราชันหมื่นสัตว์พิษก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมา
ราชันหมื่นสัตว์พิษระดับหกขั้นสูงสุด แม้แต่พลังของพวกเขาเองก็ยังยากที่จะต่อกรกับมัน หากจะกล่าวตามตรงก็คือ ในช่วงเวลาสองวันนี้ที่เยี่ยนจิ่วเฉาสูญเสียวรยุทธ์ไป มันสามารถใช้โอกาสนี้ฆ่าล้างบางทุกคนได้
ทว่ามันไม่ได้ทำเช่นนั้น
มันปีนขึ้นไปบนมือของอวี๋หวั่น ขดตัวเป็นก้อนกลม คล้ายกับกำลังยอมรับชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรก
…………………………………………
[1] ฮว่าถัว คือศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘หนึ่งในสามหมอเทวดาแห่งเจี้ยนอัน’