หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 442 ที่มาและความจริง
“เกิดอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
“มันคือหลัวช่า” เยี่ยนจิ่วเฉาอธิบาย
“ไม่ใช่…” สิ่งที่เธอจะถามไม่ใช่เรื่องนี้ เธอจะถามว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ชอบนมแพะไม่ใช่หรือ เมื่อครู่ยังโยนขวดนมทิ้งไปอยู่เลยนี่นา ทำไมตอนนี้กลับกระโดดเข้ามาหาเธอ แล้วดื่มอย่างนี้ละ?
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ท่านว่าอย่างไรนะ?” ในที่สุดอวี๋หวั่นก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่สามีพูด!
“มันคือหลัวช่า” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ร่างอวบของอวี๋หวั่นสั่นเทิ้ม “หลัว…หลัวช่า? หลัวช่าจากเขตหวงห้ามของสกุลซาง?”
“มิผิด” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างใจเย็น
อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เพื่อให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้กำลังแกล้งเธอ จากนั้นก็มองไปยังเจ้าตัวเล็กที่กำลังกินนม ก็รู้สึกแทบล้มทั้งยืน
เจ้าตัวเล็กที่ผ่ายผอมราวกับกิ่งไม้ที่เธอคิดว่า…เป็นเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง…แท้จริงแล้วคือหลัวช่าของสกุลซางหรอกหรือ?
เธอไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไรดี
เธอมองไปยังหลัวช่าน้อยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าคือหลัวช่าจริงหรือ? เมื่อครู่เจ้าจะกินข้าใช่ไหม?”
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมันขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว
หลัวช่าน้อยตอบ “อือฮึ” ในมือถือขวดนม พยายามโผเข้าอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นฝืนใจเบือนหน้าหนี เธอถูกรูปร่างของหลัวช่าน้อยหลอกเข้าเสียแล้ว ในฐานะคนเป็นแม่ เธอรู้สึกทนดูไม่ได้
“ถ้าสร้างเรื่องอีก ข้าฆ่าเจ้าแน่!” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ไม่รู้ว่ามันเข้าใจที่เยี่ยนจิ่วเฉาพูด หรือสัมผัสได้ถึงจิตสังหารทรงพลังของเยี่ยนจิ่วเฉา หลัวช่าน้อยก็ยอมอยู่นิ่งๆ แต่โดยดี
ชิงเหยียนและลูกศิษย์วิหารเจาหยางคนอื่นๆ รีบร้อนมาถึง เรื่องของหลัวช่าสกุลซางนั้นแพร่สะพัดไปทั้งวิหารเจาหยาง ลูกศิษย์ในวิหารล้วนรู้กันถ้วนหน้าว่าสกุลซางเลี้ยงอสูรกายไว้ตัวหนึ่ง กระนั้นเมื่อได้เห็นกับตาของตน ย่อมไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามันจะเป็นเจ้าตัวเปี๊ยกนี่
หลัวช่าน้อยร่างกายผ่ายผอม ใบหน้าตอบ ทว่าดวงตาสองดวงนั้นกลมโต ยามที่ไม่มีกลิ่นอายของหลัวช่าโลหิต
ย่อมไม่ต่างจากเด็กทั่วไป หรืออาจแลดูอ่อนแอกว่าเด็กทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ทว่าภายใต้ร่างที่ดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง กลับซ่อนพลังอันแข็งแกร่งที่ทำลายล้างเขาหมิงซานทั้งลูกได้
เยี่ยนจิ่วเฉาโยนหลัวช่าน้อยให้ชิงเหยียน
ชิงเหยียนรับหลัวช่าน้อยไว้
หลัวช่าน้อยแยกเขี้ยวยิงฟันให้ชิงเหยียน ชิงเหยียนกลัวจนแทบเหวี่ยงมันทิ้งไป
เยี่ยนจิ่วเฉาขยับนิ้วเล็กน้อย ใช้วิชาอายุวัฒนะสร้างพลังภายในสายหนึ่ง ทันในนั้นซิวหลัวน้อยก็นิ่งไป
เยี่ยนจิ่วเฉาเก็บพลังภายในกลับมา แล้วเดินทอดน่องกลับไปยังวิหารเจาหยาง ลูกศิษย์วิหารเจาหยางหาตัวเด็กทั้งสามพบและพากลับไปแล้ว พวกเขากำลังนั่งอยู่บนธรณีประตู รอกินนมไปพลางรอท่านแม่
ทันทีอวี๋หวั่นเห็นลูกๆ หัวใจของเธอก็พลันพองโตขึ้นมา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของเธอ
หลัวช่าน้อยเห็นว่าดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความดีใจ ก็กะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจ
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปลูบศีรษะเด็กน้อยทั้งสาม “เมื่อครู่พวกเจ้าไปเล่นกันอยู่ที่ไหน แม่หาอยู่ตั้งนาน!”
“เปล่าขอรับ พวกเราเล่นกันอยู่แถวนี้!” เสี่ยวเป่าพูดออกมาอย่างทันใด “ท่านแม่ไม่เชื่อไปถามเอ้อร์เป่าได้ขอรับ”
ทั้งยังไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้เอ้อร์เป่า
ดวงตากลมโตของเอ้อร์เป่ามองท่านแม่ พยายามสำแดงวิชาบ้องแบ๊วอย่างสุดกำลังเพื่อขจัด ‘ความผิด’ ของ
พวกตน ทว่ากลับเหลือบไปเห็นหลัวช่าน้อยที่ชิงเหยียนอุ้มอยู่ นัยน์ตาของเอ้อร์เป่าเป็นประกายขึ้นทันใด “น้องชาย?”
เสี่ยวเป่าร้อง ‘โอ้’ ลุกขึ้นยืน เขย่งปลายเท้ามอง “น้องชายอยู่ไหน?”
ชิงเหยียนแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วรีบอุ้มหลัวช่าไปยังอักห้องหนึ่ง
อวี๋หวั่นตั้งสติได้ทันใด เธอเบนสายตาจากชิงเหยียน แล้วหันมาหาเด็กทั้งสาม “นั่นไม่ใช่น้องชาย เอาละ นี่ก็เย็นมากแล้ว พวกเจ้าไปอาบน้ำเถอะ”
“อื้ม!”
เด็กทั้งสามพยักหน้าตอบรับ เข้ามาจูงมือท่านแม่ ให้ท่านแม่พาพวกเขาไปอาบน้ำ
ทั้งสามกระโดดโลดเต้นเข้ามาในห้อง เยี่ยนจิ่วเฉาจะเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงกลับห้องของตนเองไปก่อน
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่ ชิงเหยียนก็ไม่สามารถควบคุมหลัวช่าน้อยได้ มันกระโดดออกจากอ้อมแขนของชิงเหยียน แล้วปราดเข้าไปยังเรือนที่อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่อย่างรวดเร็ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เด็กน้อยทั้งสามนั่งขัดสมาธิอยู่ในอ่างไม้ใบเล็ก มือของพวกเขากอบน้ำขึ้นมาตักรดลงบนศีรษะของตนเองด้วยท่าทางเงอะงะ
อวี๋หวั่นยกเก้าอี้มาข้างอ่างน้ำ เธอหยิบสบู่กลิ่นกุหลาบมาถูตัวของพวกเขา ทั้งสามจึงหลับตาลงด้วยความเคยชิน
อวี๋หวั่นฟอกศีรษะน้อยๆ ของพวกเขาทีละคน
ดวงตากลมโตของหลัวช่าน้อยจับจ้องพวกเขา มันยกมือเล็กขึ้น เลียนแบบท่าทางของอวี๋หวั่น แล้วถูศีรษะของตนเอง
“อย่าตีข้าสิ!” เอ้อร์เป่าหันหลังไปจ้องเสี่ยวเป่า แล้วบอกอวี๋หวั่นว่า “เสี่ยวเป่าตีข้า!”
“ข้าไม่ได้ตี!” เสี่ยวเป่าส่ายหน้าปฏิเสธ
หลัวช่าน้อยส่ายหน้าตาม ศีรษะเล็กคลอนไปมา
อวี๋หวั่นจึงดุว่า “เสี่ยวเป่าอย่าแกล้งพี่สิ!”
เสี่ยวเป่าแลบลิ้นออกมา
หลัวช่าน้อยก็แลบลิ้นเช่นกัน
“หลับตาลง ประเดี๋ยวสบู่เข้าตา” อวี๋หวั่นบอกเอ้อร์เป่า
เอ้อร์เป่าหลับตาลงอย่างว่าง่าย
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาอาบน้ำเสร็จและออกมาจากห้อง เขาก็เหลือบไปเห็นหลัวช่าน้อยซึ่งกำลังแอบมองลูกๆ ของเขา เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตากระตุกวูบ ทันทีที่หลัวช่าน้อยสัมผัสได้ถึงพลังของเขา มันขนลุกซู่ แล้ววิ่งกลับไปหาชิงเหยียนที่เรือนในทันใด
ยามที่หลัวช่าน้อยประมือกับเยี่ยนจิ่วเฉานั้น มันได้ปลดปล่อยกลิ่นอายของหลัวช่าโลหิต ประมุขซือคงและซือคงฉางเฟิงยังไม่นอน พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ทว่าทั้งสองไม่รู้ว่านั่นคือกลิ่นอายของอะไร เมื่อมาถึงวิหารเจาหยางจึงได้รู้ว่าเป็นหลัวช่าโลหิต
ในห้องที่สว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียงและแสงเทียน เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลัวช่าน้อยนั่งอยู่กลางห้องอย่างเรียบร้อย อาม่า ชิงเหยียน ประมุขซือคง และซือคงฉางเฟิงก็อยู่เช่นกัน
“มันคือ…หลัวช่าที่สกุลซางเลี้ยงไว้หรือ” ประมุขซือคงถามพลางมองไปยังเจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่เขาตกใจถึงเพียงนี้ อันที่จริงเขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของหลัวช่าจากร่างของเด็กคนนี้แม้แต่น้อย แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจับคนผิด เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง ซึ่งก็คือวรยุทธ์ของหลัวช่าน้อยคนนี้ต่ำเกินไป จนทำให้สัมผัสถึงกลิ่นอายของมันไม่ได้ หรือไม่ก็วรยุทธ์ของมันแข็งแกร่งเกินไป จนสามารถควบคุมกลิ่นอายของตนได้ตามใจต้องการ ถ้าหากเป็นกรณีที่สอง หลัวช่าน้อยคนนี้ก็นับว่าน่ากลัวเหลือเกิน
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบ เพียงแต่ปล่อยพลังภายในสายหนึ่งออกจากปลายนิ้วไปยังหลัวช่าน้อย
หลัวช่าน้อยกระโจนขึ้นกลางอากาศเพื่อป้องกันตนเอง มันปล่อยกลิ่นอายรุนแรงของหลัวช่าโลหิตออกมา ประมุขซือคงสัมผัสได้ว่าตนเองใจเต้นระส่ำ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผาก
หลังจากที่หลัวช่าน้อยหนีการโจมตีพ้น มันก็มองเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างระแวดระวัง ราวกับกำลังพิจารณาว่าเขาจะโจมตีมันอีกหรือไม่ จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้
แม้ว่าประมุขซือคงจะไม่ได้ฝึกวิชาอายุวัฒนะ แต่กลับคุ้นเคยกับศาสตร์นี้เป็นอย่างดี การโจมตีของเยี่ยนจิ่วเฉาเมื่อครู่ ดูเผินๆ แล้วคล้ายกับมิได้ใช้แรงมากนัก หลัวช่าของสกุลซางก็หลบได้อย่างง่ายดายไร้รอยขีดข่วน และยังสามารถตอบโต้ได้ แต่มันมิได้ทำเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยนจิ่วเฉา มันรู้ว่าการโจมตีของตนเองนั้นทำอะไรเขาไม่ได้ กระนั้นหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรู มันจะเป็นคนสุดท้ายที่เหลือรอด
ตัวเล็กเท่านี้ยังมีพลังมหาศาล ประมุขซือคงได้แต่ตื่นตะลึง
“มันเกิดมาก็เป็นหลัวช่าโลหิตเลยหรือ” ประมุขซือคงเอ่ยถาม
อาม่าพยักหน้า “เป็นไปได้ว่าเกิดมาเป็นเช่นนี้ และเป็นไปได้ว่า…เกิดมาก็ถูกหลัวช่าโลหิตเลี้ยงไว้”
ประมุขซือคงกำหมัดแน่น “สกุลซางใจคอโหดเหี้ยม แม้แต่เด็กก็ไม่ละเว้น!”
ชิงเหยียนขมวดคิ้ว ราวกับกำลังใคร่ครวญบางอย่าง “ข้าว่า…สกุลซางอาจไม่รู้ว่ามีมันอยู่”
“โอ้? เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ประมุขซือคงมองไปยังชิงเหยียน
ชิงเหยียนหวนระลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “ตอนที่ข้ากับอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันเข้าไปในเขตหวงห้ามของสกุลซาง ได้ยินยอดฝีมือสกุลซางสองคนคุยกันว่า ‘เขาไม่อยู่ด้วยซ้ำ’ ทั้งสองพูดออกมาอย่างเปิดเผย ท่าทางไม่ได้รีบร้อนมากนัก เห็นได้ชัดว่าหลัวช่าไม่ได้อยู่ในบ่อ ตอนที่หลัวช่าโลหิตปรากฏตัวขึ้น ข้าเองก็สงสัยว่าพวกเขาเข้าใจผิดไปหรือเปล่า แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเขาคงไม่ได้เข้าใจผิด”
อาม่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หลัวช่าโลหิตหวงบ่อเลือดของตนเอง ยากนักที่มันจะยอมให้คนอื่นใช้เลือดของมัน นอกเสียจากว่ามันเต็มใจ นอกจากนั้น หลัวช่าโลหิตหวงอาณาเขตของตนมาก ไม่มีทางยอมให้หลัวช่าตัวอื่นเข้ามาง่ายๆ”
“หากเป็นเช่นนี้ มัน…” ชิงเหยียนชี้ไปยังหลัวช่าน้อย แล้วกระซิบว่า “มันคือลูกของหลัวช่าโลหิตรึ?”
มีเพียงลูกของมันเท่านั้น ที่จะสามารถใช้บ่อเลือดร่วมกันได้ และมีเพียงลูกของมันเท่านั้น ที่จะสามารถอยู่ข้างกายได้
……………………….