หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 449 คนโปรดคนใหม่
ยอดฝีมือของสกุลซางจับเด็กและสารถีลงมา แต่พวกเขาไม่รู้จักเสี่ยวเป่าและจิงหง ไม่มั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มไหน เกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลังการชิงตัวหลัวช่าโลหิตอย่างไร ถ้าหากแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นเพียงบ่าวและเด็กคนหนึ่ง สุ่มจับพวกเขามาเช่นนี้คงจะไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด
ยอดฝีมือสกุลซางไม่มีทางคาดเดาได้ว่าเสี่ยวเป่าเป็นลูกหลานของปรมาจารย์ซือคง พวกเขาจึงพลาดโอกาสเอาผิดสกุลซือคงไป
ยอดฝีมือสกุลซางวางกำลังตามจับหลัวช่าน้อยอย่างเต็มที่ ทว่าที่น่าเสียดายก็คือพวกเขาถูกอวี๋หวั่นหลอกอีกครั้งหนึ่ง กลิ่นเลือดที่พวกเขาไล่ตามไปนั้นเป็นเพียงผ้าเปื้อนเลือดของหลัวช่าน้อยเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาหลบหนีการตามล่าอยู่พักใหญ่ อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ก็พาหลัวช่าน้อยกลับมายังเขาหมิงซาน เสี่ยวเป่าและจิงหงมุ่งตรงไปยังสกุลหลาน และเดินทางกลับมายังสกุลซือคงภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์สกุลหลาน
อวี๋หวั่นอุ้มหลัวช่าน้อยซึ่งเลือดโทรมกายไปยังเรือนของชุยเฒ่า ชุยเฒ่ากำลังอาบน้ำ อยู่ประตูห้องก็ถูกถีบดังปังจนเปิดออก เขากลัวจนยกมือขึ้นมาปิดหน้าอก แล้วร้องออกมาด้วยท่าทางตื่นกลัวว่า “ททททท…ทำอะไรน่ะ! กลางวันแสกๆ! ไม่อายบ้างเลยหรือไง?!”
“ไม่” อวี๋หวั่นตอบ พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปในห้อง วางร่างอาบเลือดของหลัวช่าน้อยลงบนเตียงตรวจรักษา จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าส่งให้เขา “เรื่องเร่งด่วน จะรอช้าไม่ได้!”
“จจจจ…เจ้าออกไปก่อน!” ชุยเฒ่ารับเสื้อผ้ามา ถลึงตาโวยวายใส่อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลากฉากกั้นออกมากั้นระหว่างเธอกับถังอาบน้ำ จากนั้นก็เปิดล่วมยาของชุยเฒ่า และหยิบกรรไกรออกมาตัดเสื้อผ้าของหลัวช่าน้อย
น้อยครั้งนักที่ชุยเฒ่าจะเห็นอวี๋หวั่นมีท่าทางเคร่งเครียดเช่นนี้ เขาจึงตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว เขาตั้งสติ สีหน้าแน่วแน่ แล้วสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย!
เมื่อชุยเฒ่าเห็นว่าคนไข้เป็นเด็กอายุไม่ถึงสามขวบ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “นี่…เด็กจากที่ไหนกัน?”
“หลัวช่าน้อย” อวี๋หวั่นตอบ
ชุยเฒ่าอ้าปากค้าง “นี่…คือหลัวช่าน้อยหรือ?”
จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักที่ชุยเฒ่าตื่นตะลึงถึงเพียงนี้ อันที่จริงความดุร้ายของหลัวช่าโลหิตนั้นเป็นที่เลื่องลือ แม้ว่าเขาจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกับมัน แต่ก็ไม่เคยใจกล้าพอที่จะไปดูมัน
อวี๋หวั่นตัดเสื้อผ้าของหลัวช่าน้อยออกไปแล้ว
ชุยเฒ่ามองดูบาดแผลของมัน “บาดเจ็บหนักเชียว”
อวี๋หวั่นหักศรเกาทัณฑ์ที่ปักอยู่บนหลังของมันทิ้งไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงส่วนที่ปักอยู่ในร่างของมัน ส่วนตะขอที่เกี่ยวอยู่บนสะบักนั้น อวี๋หวั่นไม่กล้าดึงออกส่งเดช ตะขอเกี่ยวเข้าไปลึกเช่นนี้ ชุยเฒ่าแค่มองก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่ามันทนอยู่ได้อย่างไร
“มีวิธีรักษาไหม?” อวี๋หวั่นหันไปถาม
ชุยเฒ่าลูบเครา “ถ้าหากเป็นเด็กทั่วไป คงหมดหนทางรักษาไปนานแล้ว โชคดีที่มันเป็นหลัวช่าน้อย ยังพอไหวอยู่ ข้าจะลองดู”
อวี๋หวั่นหลบให้ชุยเฒ่า ส่วนตนเองทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย
ชุยเฒ่าลงมือจัดการกับตะขอเหล็กนิลบนสะบักของหลัวช่าน้อยก่อน ตะขอนี้ปักลงไปถึงกระดูก มีเพียงหมอเทวดาอย่างชุยเฒ่าเท่านั้นที่สามารถถอดมันออกมาได้อย่างราบรื่น
“ยาห้ามเลือด!” ชุยเฒ่าบอก
อวี๋หวั่นเทยาห้ามเลือดลงบนปากแผลของหลัวช่าน้อย
“เข็มกับด้าย!”
“ยาล้างแผล!”
“กรรไกร!”
อวี๋หวั่นส่งของให้ชุยเฒ่าอย่างทะมัดทะแมง ชุยเฒ่าขะมักเขม้นรักษาแผลด้านหน้าของหลัวช่าน้อย
ส่วนต่อมาก็คือลูกศร แผลนี้ออกจะยุ่งยากสักหน่อย
ศรนี้มีหนามแหลม ทะลุเข้าไปเกี่ยวเนื้อออกมา แต่ก็ไม่สามารถดันศรธนูออกจากอกได้ หากทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดบาดแผลเพิ่มมาอีก
ชุยเฒ่าบ่นว่า “ใครทำกัน!”
“ดึงออกมาได้ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ชุยเฒ่าแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วตอบว่า “ถ้าดึงออกมาไม่ได้ ชื่อหมอเทวดาของข้าก็ย่อยยับหมดน่ะสิ”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในทางปฏิบัติกลับมิใช่เรื่องง่าย
ชุยเฒ่าก้มหน้าก้มตาอยู่ราวครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ระหว่างนั้นหลัวช่าน้อยก็ตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง มันมองอวี๋หวั่นด้วยความมึนงง อวี๋หวั่นจับมือเล็กของมันไว้ อีกมือหนึ่งลูบหน้าผากของมัน แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เจ็บไหม?”
หลัวช่าน้อยครางในลำคอ แล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “มันสลบไปแล้ว จะไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“มันเป็นหลัวช่า…” ถึงจะเป็นอะไรไปก็ทำอะไรไม่ได้ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ชีวิตของมันคงสุดแล้วแต่สวรรค์ลิขิต
“เอาละ!”
ชุยเฒ่าปักเข็มเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ล้มลงนอนแผ่กับพื้น
เขาไม่ได้เหนื่อย แต่เขากลัว ใครจะไปรู้ว่าศรเกาทัณฑ์จะมีกลไกซับซ้อนเพียงนี้ หากพลาดไปเพียงนิดเดียว คงจะไปเกี่ยวโดนหัวใจของเจ้าตัวเล็กนี้ก็เป็นได้
อวี๋หวั่นยกน้ำร้อนมาเช็ดบาดแผลบริเวณอื่นให้หลัวช่าน้อยจนสะอาด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มัน เสื้อผ้าเหล่านั้นยังคงเป็นเสื้อผ้าของเสี่ยวเป่าดังเคย
จากนั้น อวี๋หวั่นก็พาหลัวช่าน้อยกลับห้องไป
อิ่งสือซันและคนอื่นๆ ยังไม่รู้ว่าหลัวช่าน้อยกลับมายังวิหารเจาหยางแล้ว พวกเขายังคงตามหาร่องรอยของหลัวช่าน้อยในตัวเมืองหมิงตู เด็กทั้งสามเดินเตาะแตะเข้ามาในห้อง
หลัวช่าน้อยนอนหลับอยู่บนเตียง
เด็กทั้งสามย่องเข้าไปอย่างรู้ความ
เสี่ยวเป่ากระซิบถามอวี๋หวั่นว่า “น้องชายหลับอยู่หรือขอรับ?”
“อื้ม หลับอยู่” อวี๋หวั่นพยักหน้า
“เช่นนั้นพวกข้าจะไม่ส่งเสียงดัง” เอ้อร์เป่าพูด
ต้าเป่าตอบ ‘อื้ม’ ด้วยสีหน้าจริงจัง
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “หิวหรือยัง? แม่เข้าไปในครัว ให้พ่อครัวทำอะไรให้พวกเจ้ากินดีไหม?”
“ข้าอยากกินบัวลอย” เสี่ยวเป่ากระซิบบอก เพื่อไม่ให้น้องชายซึ่งกำลัง ‘หลับสบาย’ ตกใจตื่น
“ข้าก็อยากกิน” เอ้อร์เป่าพูดเสียงเบายิ่งกว่าเสี่ยวเป่าเสียอีก
อื้ม! ต้าเป่าพูดอยู่ในใจ
อวี๋หวั่นจึงเดินไปยังห้องครัว ให้คนทำบัวลอยให้
เด็กทั้งสามมิได้รีบร้อนกินแต่อย่างใด
อวี๋หวั่นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ทำไม? ไม่หิวหรือ?”
เอ้อร์เป่าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงใสว่า “พวกข้าอยากให้น้องชายกิน”
อวี๋หวั่นพลันรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา เธอลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “พวกเจ้ากินไปก่อน น้อง…”
อวี๋หวั่นพยายามไตร่ตรองว่าควรใช้คำว่าอะไรดี แต่เมื่อเห็นดวงตากลมแลดูใสซื่อบริสุทธิ์ตรงหน้า เธอก็ยิ้มออกมา “น้องชายกำลังนอนอยู่ ประเดี๋ยวน้องตื่นแล้ว ค่อยให้พ่อครัวทำให้ใหม่ จะได้กินร้อนๆ”
“อันนี้เย็น เย็นแล้วไม่อร่อย” เอ้อร์เป่ากังวลว่าพี่ชายกับน้องชายจะไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านแม่พูด จึงอธิบายให้ฟังอีกครั้งอย่างเอาใจใส่
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า “เย็นแล้วไม่อร่อย ประเดี๋ยวน้องชายตื่นมาค่อยกิน”
นอกจากนั้นแล้ว มันไม่ชอบกินบัวลอย
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งสามจึงกินบัวลอยในชามจนหมด
ตกดึก อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วกลับมาถึงวิหารเจาหยาง เมื่อได้ยินว่าหลัวช่าน้อยได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็ถึงกับตะลึงงัน
“เจ้าเปี๊ยกนั่นบาดเจ็บหรือ?” อิ่งลิ่วมีสีหน้าเหลือเชื่อ
ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือ มันถูกอวี๋หวั่นพากลับมา
อิ่งลิ่วพูดตะกุกตะกักว่า “เอ๋…ฮูหยินน้อยไม่รู้หรือว่าเจ้านี่เป็นปีศาจที่ดุร้าย? คุณชายเก็บตัวไปแล้ว ฮูหยินน้อยไม่กลัวหรือว่าถ้ามันอาละวาดขึ้นมา จะมีคนบาดเจ็บอีกเท่าใด?”
เจ้าปีศาจร้ายลืมตาตื่นขึ้นในวันถัดมา
อาการบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ ชุยเฒ่าคาดเดาว่าต้องใช้เวลาประมาณสามวันกว่าจะพ้นขีดอันตราย ทว่าทันทีที่
มันลืมตาตื่น มันก็ลุกขึ้นนั่งแล้ว
อวี๋หวั่นเฝ้ามันอยู่ครึ่งค่อนวัน จนผล็อยหลับไป
หลัวช่าน้อยทำตาโต มันมองไปรอบๆ ห้องอันไม่คุ้นเคย จากนั้นก็มองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งนอนอยู่ข้างเตียง สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่ก้อนอ้วนกลมทั้งสามซึ่งนอนหัวไปทางหางไปทาง น้ำลายไหลยืดลงจากปาก
หลัวช่าน้อยมองซ้ายขวา สายตาไปหยุดลงที่หน้าท้องนูนของอวี๋หวั่น
หลัวช่าน้อยคล้ายกับจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ มันจึงปีนเข้าไปด้วยความสงสัย จับจ้องไปยังท้องของอวี๋หวั่นตาไม่กะพริบ
ทันใดทั้นเอง หน้าท้องนูนของอวี๋หวั่นก็ขยับ
หลัวช่าน้อยตกใจจนกระโดดโหยงไปบนโต๊ะ เท้าเล็กๆ ของมันชนเข้ากับกาน้ำชาจนกาน้ำชาหล่นลงมา จากนั้นก็ชนเข้ากับถ้วยชา จนถ้วยชาบนโต๊ะกลิ้งไปกระจัดกระจาย หลัวช่าน้อยรีบตามเก็บ แต่กระนั้นก็ยังมี ‘ปลาลอดแหออกมา’ กระแทกกับพื้นจนแตก
อวี๋หวั่นตกใจตื่น ทันทีที่ลืมตาขึ้น ก็พบว่าหลัวช่าน้อยบนเตียงหายไปแล้ว เธอลุกขึ้นยืน มองไปยังทิศทางของเสียง ก็พบว่าหลัวช่าน้อยร่างผ่ายผอมกำลังหลบอยู่ข้างโต๊ะชา มันยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว มือซ้ายถือถ้วยชาสองใบ มือขวาถือถ้วยชาอีกสองใบ ในปากมีถ้วยชาหนึ่งใบ ใบหน้ามึนงงระคนรู้สึกผิด
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะออกมา
หลัวช่าน้อยยืนอึ้งอยู่เช่นนั้น
อวี๋หวั่นเลิกผ้าห่มลงจากเตียง สวมรองเท้าแล้วเดินเข้าไป
หลัวช่าน้อยถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ แต่ก็พบว่าอวี๋หวั่นยังคงเดินเข้ามา มันแยกเขี้ยวอย่างดุดัน!
อวี๋หวั่นกลับยื่นมือออกมาแตะหน้าผากมันเบาๆ “ไม่ร้อนแล้ว หายเร็วจริงๆ”
หลัวช่าน้อยตัวแข็งทื่อ
ทันใดนั้นถ้วยชาในมือและในปากก็หล่นลงมา มันรีบร้อนตามไปเก็บ แต่ถูกอวี๋หวั่นจับไว้
อวี๋หวั่นพูดเสียงค่อยว่า “อย่าขยับ ระวังแผลของเจ้าด้วย”
หลัวช่าน้อยแยกเขี้ยว!
อวี๋หวั่นมองมันด้วยสายตาอ่อนโยน
หลัวช่าน้อยแยกเขี้ยวอีก!
อวี๋หวั่นก็ยังคงมองมันด้วยสายตาอ่อนโยน
หลัวช่าน้อย…แยกเขี้ยว ทว่าแลดูไม่ดุร้ายเลยสักนิดเดียว
…………………….