หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 48 ขอหวั่นหวั่นแต่งงาน
เดิมทีรองเสนาบดีกรมพิธีการไม่ได้ตั้งใจจะสนใจรองเท้าของเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าหลังจากเยี่ยนจิ่วเฉากล่าวหาเขาหลายครา รองเสนาบดีกรมพิธีการจึงตัดสินใจดูว่ารองเท้าสวยงามสักเพียงใด สาบานได้ว่าตนมองไปเพียงแวบเดียวจริงๆ ผลที่ได้เกือบทำให้ตาทั้งสองข้างบอด!
รองเท้าผีอันใด! ช่างน่าเกลียดอย่างหาที่สุดมิได้!
ผู้ใดกันที่เย็บพื้นรองเท้าหนาเช่นนี้…ราวกับใส่ขนมเนื้อฟูก้อนใหญ่สองก้อนออกมาจากบ้าน แล้วก็ยังเป็นขนมที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันอีก
(อวี๋หวั่นเย็บพื้นรองเท้าได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็ลืมว่าตนเองใส่ไปกี่ชั้นแล้ว ผลที่ได้คือรองเท้าอีกข้างใส่มากกว่าถึงสองชั้น…)
บรรดาขุนนางชั้นสูงก็เป็นเช่นเดียวกันกับรองเสนาบดีกรมพิธีการ ยามได้ยินคำพูดของเยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาจึงมองไปที่รองเท้านั้น ทันทีที่เห็นทุกคนก็ต่างร่ำร้อง รองเท้าอัปลักษณ์เช่นนี้ถูกใส่เข้ามาในท้องพระโรง เหล่าขันทีทำอันใดกินกัน?
ฮ่องเต้ก็ยังทนไม่ได้ที่จะมองตรงๆ เด็กคนนี้รีบมาที่จินหลวนเตี้ยนเพื่ออวดรองเท้าคู่หนึ่งรึ?
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นปิดตา “ฉงเอ๋อร์ รองเท้าเจ้า…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขัดด้วยคำพูดที่มีเหตุผล “แม้ว่าท่านจะเป็นท่านลุงของข้า ท่านก็ไม่อาจเอารองเท้าของข้าไปได้!”
คิดจะเอารองเท้าของเจ้า!
ฮ่องเต้แทบร้องไห้เพราะความอัปลักษณ์ของรองเท้าขนมทรงโบราณคู่นี้ เดิมทีหมายจะเจรจาเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ ยามนี้เริ่มไม่อยากเจรจาแล้ว พลันโบกมือเหมือนไล่ยุง “…ถอย ถอยออกไป!”
ขันทีกล่าวตามพิธี “คุกเข่า-“
เหล่าขุนนางชั้นสูงคุกเข่า
เยี่ยนจิ่วเฉาเหมือนหงส์ในหมู่กา!
ฮ่องเต้ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเด็กคนนี้ว่าจะคุกเข่าหรือไม่ เขาใคร่จะกลับไปที่วังหลัง หมายจะดูสาวงามสามพันคนเพื่อล้างตา…
กระทั่งฮ่องเต้เสด็จออกจากจินหลวนเตี้ยน เหล่าขุนนางชั้นสูงก็พากันกลับบ้านไปล้างตาด้วยเช่นกัน!
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วและเดินออกจากจินหลวนเตี้ยนด้วยท่าทางที่มั่นใจ
เยี่ยนไหวจิ่งมองตามหลังเขา พลันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“เสด็จพี่รอง” องค์ชายสี่โน้มตัวเข้ามาและเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจ “เขากำลังเล่นอันใดอยู่กันแน่?”
เยี่ยนไหวจิ่งส่ายศีรษะด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ข้าไม่ทราบ”
“มิใช่ว่าเขาป่วยหรอกกระมัง!” องค์ชายสี่พึมพำ
เยี่ยนไหวจิ่งมองเขาอย่างเย็นชา “องค์ชายสี่ โปรดระวังคำพูด ที่นี่คือจินหลวนเตี้ยน”
องค์ชายสี่แลบลิ้นออกมา พลางเอ่ยในใจ เจ้าเกลียดเขาเสียยิ่งกว่าข้า ไฉนต้องแสร้งเป็นคนยุติธรรมเที่ยงแท้? เสด็จพ่อก็ไปแล้ว ทำให้ผู้ใดเห็นรึ?
“องค์ชายห้าไปกันเถอะ!” องค์ชายสี่ดึงข้อมือขององค์ชายห้าเดินจากไปอย่างเย็นชา
…
คุณชายผู้หนึ่งที่โอ้อวดรองเท้าคู่สวยได้สำเร็จ ย่างกรายเข้าไปนั่งในรถม้าอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่กายนั่งอยู่ด้านในก็กลับยื่นเท้าออกมาด้านนอก
อิ่งสือซันนึกเสียใจที่ให้อิ่งลิ่วไปยังก้งเฉิง ทิ้งให้เขาต้องแบกรับการมองสุนทรีภาพอันแสนเจ็บปวดที่เขาไม่ควรจะได้รับ
“ขอของกินหน่อยเถิด…ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว…” ยามผ่านถนนฉางอันที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ยาจกตาบอดผู้หนึ่งเดินคลำทางออกจากตรอกด้านข้างด้วยไม้เท้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบกับเหตุการณ์เช่นนี้ อิ่งสือซันไม่ได้รู้สึกใดๆ และยังคงขับรถม้าไปข้างหน้า ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็บอกให้หยุดรถม้าในทันที
เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวลงจากรถ
ชายตาบอดคล้ายกับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างๆ เขาจึงหันไปอย่างช้าๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามาพร้อมกับเหยียดเท้าออกไป “เจ้าคิดว่ารองเท้าของคุณชายผู้นี้ดูดีหรือไม่?”
ชายตาบอดผงะไปครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ดูดีมาก ดูดียิ่งนัก!”
เยี่ยนจิ่วเฉาโยนทองคำลงในชามที่แตกแล้ว พลางขึ้นนั่งบนรถม้า “กระทั่งคนตาบอดก็ยังบอกว่าดูดี!”
อิ่งสือซันโอดครวญในใจ ‘ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตาบอด!’
เหล่าเด็กน้อยก็ดีใจมากที่ได้รองเท้าคู่ใหม่จากอวี๋หวั่น ทว่าพวกเขาไม่สามารถออกจากบ้านได้ จึงได้เพียงแต่ใส่รองเท้าผ้าเล็กๆ สวย(อัปลักษณ์) สวย(อัปลักษณ์) แล้วเรียกทุกๆ คนในจวนให้มาดู
อวี๋เซ่าชิงยังคงไม่รู้ว่า ‘ของขวัญวันเกิดสุดประทับใจ’ ของเขา ได้ถูกสวมใส่อยู่บนเท้าของชายอื่นเสียแล้ว ยามนี้เขามีความสุขจนแทบลอย หั่นผักรัวๆ!
……………………………
หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งออกจากท้องพระโรง เขาก็ไม่ได้กลับไปที่เรือนในทันที ทว่ากลับไปที่วัดต้าหลี่เพื่อสืบคดีของอวี๋เซ่าชิงต่อไป เนื่องจากแน่ใจแล้วว่าอวี๋หวั่นคือสตรีที่เขาตามหามานานสองปี คดีของอวี๋เซ่าชิงจึงต้องใช้เวลาคิดอยู่เป็นนาน
จวินฉางอันนั่งบนขอบหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย
ทันใดนั้น องครักษ์มืดคนหนึ่งก็เข้ามา พร้อมกับยื่นกระดาษข้อความให้เยี่ยนไหวจิ่ง
จวินฉางอันยืดคอชำเลืองมอง “ข่าวจากหมู่บ้านเหลียนฮวาสินะ…ท่านส่งคนไปสอดส่องเด็กผู้หญิงคนนั้นมาหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งถือกระดาษข้อความเหนือตะเกียงน้ำมันเพื่อเผามัน และส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์มืดถอยออกไป จากนั้นก็เอ่ยกับจวินฉางอัน “หาใช่สอดส่อง ทว่าดูความเคลื่อนไหวของนาง เพื่อให้ทราบว่าโจวไหวได้ติดต่อกับพ่อของนางหรือไม่?”
จวินฉางอันยักไหล่ราวกับว่าแล้วแต่ท่านจะกล่าว
เยี่ยนไหวจิ่งกระดิกนิ้ว “…เตรียมรถม้า ไปหมู่บ้านเหลียนฮวา”
“ไหนว่าหาใช่สอดส่อง” จวินฉางอันบ่นพึมพำ และกระโดดลงจากขอบหน้าต่างเพื่อสั่งให้คนเตรียมรถ
เยี่ยนไหวจิ่งรู้ว่าคำพูดของตนไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากโจวไหวได้ตัดสินใจที่จะหนีไปให้ไกล จึงไม่มีทางที่จะติดต่อกับอวี๋เซ่าชิงอย่างแน่นอน ทว่าเขาก็ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างเพื่อดูความเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลา
หลังเตรียมรถม้าพร้อมแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งกับจวินฉางอันก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา
ยามนี้หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว อาหารบนโต๊ะก็ถูกนำออกไปและแทนที่ด้วยน้ำชา ถั่วลิสงตุ๋นและน้ำตาลก้อน ในขณะที่ชาวบ้านนั่งคุยกัน ผู้จัดการชุยและนายท่านฉินเปิดโต๊ะเล่นใบไม้ในบ้าน
การละเล่นใบไม้มิใช่การเล่นกลที่แท้จริง เป็นเพียงไพ่ชนิดหนึ่ง ที่มีชุดไพ่ทั้งหมดสี่ชุด หนึ่งอีแปะ หนึ่งร้อย หมื่นพวงเงิน แสนพวงเงิน การเล่นนั้นค่อนข้างคล้ายกับไพ่นกกระจอกในปัจจุบัน ที่ต้าโจว ไพ่ใบไม้คือสิ่งที่คนในเมืองเล่น คนชนบทยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีทั้งเวลาทั้งเงินที่จะไปเล่น
ฉินจื่อซวี่ยุ่งอยู่กับการกิน กินและกิน จึงไม่ได้เข้าร่วมกับผู้จัดการชุยและลุงของเขา อวี๋หวั่นคิดว่าหากมันเหมือนกับไพ่นกกระจอก เธอก็น่าจะเล่นได้ ทว่าเธอยังต้องเตรียมงานเลี้ยงตอนเย็น จึงไม่อาจร่วมเล่น
โชคดีที่ซวนจื่อเคยเล่นในค่ายทหารมาก่อน จึงลากอวี๋เฟิงมาเล่นไปด้วยพลางสอนไปด้วย ทำให้โต๊ะไพ่ใบไม้มีคนครบแล้ว
ไม่มีผู้ใดที่สังเกตเห็นนางเจียงในห้องโถง นัยน์ตาน้อยมองด้วยความแค้นอย่างขมขื่น
………..
น้ำในถังหมดแล้ว อวี๋หวั่นจึงใช้ไม้คานหาบพร้อมกับถังไม้ ไปตักน้ำจากบ่อน้ำโบราณที่ทางเข้าหมู่บ้าน
เธอแขวนถังไม้ไว้กับตะขอก่อนที่จะโยนลงไปในบ่อน้ำ ยามถังไม้ตักน้ำจนเต็ม จึงหมุนรอกด้านบนบ่อน้ำโบราณเพื่อนำกลับขึ้นมา ในขณะที่เธอกำลังจะเอื้อมหยิบถังไม้ ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งซึ่งเห็นข้อต่อกระดูกชัดเจน ยื่นมาจับถังไม้และดึงขึ้นมาได้ก่อนเธอ
อวี๋หวั่นหันมา มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คุณ…องค์ชายรอง?”
เกือบลืมไปว่าเขามิใช่คุณชายสวี่อันใดนั่นอีกแล้ว หากแต่เป็นองค์ชายผู้มีเกียรติสูงสุด
เยี่ยนไหวจิ่งเหลือบมองถังไม้ที่ว่างเปล่าอีกอัน พลันเอื้อมมือออกไป ทว่าอวี๋หวั่นได้หยุดเขาไว้
อวี๋หวั่นขัดขืนมือของเขาพลางเอ่ยอย่างสุภาพและห่างเหิน “ไม่ต้องหรอกเพคะ หม่อมฉันทำเอง องค์ชายรองดุจดังกิ่งทองใบหยก อย่าได้ทำงานหยาบเช่นนี้เลย”
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้วและเอ่ยตอบ “เช่นนั้นเจ้าที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ควรทำงานหยาบเช่นนี้หรือ? ในครอบครัวเจ้ามิใช่มีพี่ชายหรือ?”
หากข้อมูลที่เขาสืบมาไม่ผิดพลาด ครอบครัวของนางมิได้มีเพียงพี่ชายหนึ่งคน
วาจาเช่นนี้ ไฉนจึงคล้ายกับว่ากำลังบ่นว่าพี่ชายทั้งสองที่มิได้ช่วยเธอ? อวี๋หวั่นไม่พอใจที่ผู้อื่นเอ่ยเช่นนี้ถึงอวี๋เฟิงและอวี๋ซง ในวันทั่วไปพี่ชายทั้งสองต่างก็ปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี หากมิใช่ว่าวันนี้พวกเขาปลีกตัวออกมาไม่ได้ ก็คงไม่ถึงคราวที่เธอต้องมาตักน้ำ
หากพูดถึง นอกจากนี้ เธอยังตักน้ำได้เร็วกว่าพี่ชายทั้งสองเสียอีก!
ทว่าอวี๋หวั่นมิได้มีนิสัยชอบเอาชนะใคร เธอเพียงแต่กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พี่ชายหม่อมฉันมีธุระ” จากนั้นเธอก็มิได้สนใจเขาอีก
อวี๋หวั่นใส่ถังไม้อีกถังลงในบ่อน้ำ
บนรถม้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป จวินฉางอันเฝ้ามองฉากนี้อย่างสงบ องค์ชายผู้พราวเสน่ห์ก็ยังถูกหญิงสาวในหมู่บ้านปฏิบัติอย่างเย็นชาหรือ? ช่างน่าสนใจเสียจริง
เยี่ยนไหวจิ่งถูกปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมด้วยความเงียบ สีหน้าคล้ายทนไม่ได้ เขาเป็นถึงองค์ชายของประเทศ มีแต่ผู้คนที่คอยประจบประแจงเขาอยู่เสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา
ครั้นเมื่อนึกถึงว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็ไม่อาจหาข้อเรียกร้องได้ ครานั้นหากไม่ใช่เพราะนาง เขาก็คงต้องตายในคืนฝนตกอันหนาวเหน็บไปแล้ว
“เจ้ายังโกรธที่ข้าปิดบังตัวตนของข้าต่อเจ้าหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ย “ข้ามิได้ตั้งใจ ก่อนนั้นข้าไม่รู้จักเจ้า ก็เลย…”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มเบาๆ “เอ่ยราวกับว่าฝ่าบาทเคยรู้จักหม่อมฉันมาก่อน ด้วยเหตุใดหรือ? เพราะหม่อมฉันกับฝ่าบาทเคยพบกันในหมู่บ้านเหลียนฮวามาก่อนหรือ?”
เกือบลืมไปว่านางจำอดีตไม่ได้ แม้จะแน่ใจว่าเหยียนหรูอวี้เคยตั้งครรภ์มีบุตรมาก่อน ทว่าเลือดเนื้อของเยี่ยนจิ่วเฉาครึ่งหนึ่งก็เป็นเลือดเนื้อของเหยียนหรูอวี้ด้วย แต่เมื่อคิดว่านางเคยตั้งครรภ์กับชายคนอื่นมาก่อน ก้นบึ้งของหัวใจเยี่ยนไหวจิ่งก็พลันไม่อยากให้นางจำสิ่งใดที่เกี่ยวกับอดีตได้
เขาไม่รู้ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร ทว่าที่นางตั้งครรภ์ ก็ดูเหมือนไม่ได้ถูกใครบังคับ นาง…ก็คงมีใจให้ชายผู้นั้นกระมัง? หากนางจำเรื่องทั้งหมดนี้ได้ นางก็คงกลับไปหาชายผู้นั้นโดยไม่เลลังเลยกระมัง?
“องค์ชายรอง หากไม่มีเรื่องใด หม่อมฉันขอตัวก่อน”
ยามที่เยี่ยนไหวจิ่งเสียสมาธิ อวี๋หวั่นก็เติมน้ำถังที่สองเรียบร้อยแล้ว
เยี่ยนไหวจิ่งทนไม่ได้ นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทว่ากลับไปพร้อมกับน้ำสองถัง “ฉางอัน!”
จวินฉางอันลุกขึ้น
อวี๋หวั่นถอนใจ “ไม่จำเป็นหรอก ฝ่าบาท หม่อมฉันคุ้นเคยกับการทำงานแบบนี้ทุกวัน”
จวินฉางอันไม่รอคำสั่งของเยี่ยนไหวจิ่งและกลับขึ้นไปที่ประตูรถ
อวี๋หวั่นแบกไม้คานหาบขึ้นบ่า
เยี่ยนไหวจิ่งรู้สึกบีบคั้น รีบรั้งนางให้อยู่ “ที่ข้ามาที่นี่วันนี้ เพราะข้ามีธุระกับเจ้า”
อวี๋หวั่นหันกลับมา “เจ้าอ้วนกลมป่วยอีกแล้วหรือ?”
นัยน์ตาเยี่ยนไหวจิ่งมืดลง “นอกจากมันแล้ว ข้าจะมีเหตุผลอื่นในการมาหาเจ้าไม่ได้หรือ?”
อวี๋หวั่นกะพริบตาด้วยความสับสน แล้วมีด้วยหรือ? เธอเป็นเพียงหญิงในหมู่บ้าน คู่ควรที่ฝ่าบาทจะมาหาเธอในวันนี้หรือ? เธอไม่ใช่หญิงโง่ที่ไม่รู้สิ่งใดเลยเหมือนในยามที่เธอเพิ่งมาอีกแล้ว เขาเป็นบุตรของสวี่เสียนเฟย สวี่เสียนเฟยมีอำนาจในวังหลังเสียยิ่งกว่าฮองเฮา ดีไม่ดี คนผู้นี้อาจกลายเป็นรัชทายาทในอนาคตก็เป็นได้
“เยี่ยนจิ่วเฉามาหาเจ้า ก็ต้องมีเหตุผลด้วยหรือไร?” เยี่ยนไหวจิ่งไม่ค่อยพอใจกับท่าทีเฉยเมยของนาง
ท่าทีของอวี๋หวั่นยังคงเดิม “เขาก็คือเขา ฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท ฝ่าบาทมาหาหม่อมฉันมีเรื่องอันใด ก็กล่าวมาตามตรงเถิด แม้ฝ่าบาทจะเป็นผู้ที่ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ฝ่าบาททรงงานยุ่งงานหนัก หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนตัวเล็กๆ ที่ทำงานหนักเพื่อข้าวถังหนึ่ง ทว่าหม่อมฉันก็มีธุระของตัวเองเช่นกัน”
นี่ข้าทำให้นางเสียเวลาอย่างนั้นหรือ?
เยี่ยนไหวจิ่งสะอึกจนสีหน้าเปลี่ยน
จวินฉางอันที่อยู่ด้านข้างกลั้นขำจนปวดท้อง เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นองค์ชายรองไม่เหลือหน้าเช่นนี้ การเดินทางครั้งนี้นับว่าไม่เสียเปล่า
อวี๋หวั่นมิได้ตั้งใจจะทำเฉยเมยกับเขาจริงๆ ทว่าวันนี้งานยุ่งเกินไป ตอนเย็นมีแขกมากกว่าตอนเที่ยง และอาหารก็ยังเตรียมไม่พร้อม!
“เจ้ายินดีจะมาเป็นเช่อเฟยของข้ารึไม่?” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยพลางกำมือแน่น ในขณะที่อวี๋หวั่นกำลังเดินกลับไปพร้อมกับไม้คานหาบ
อวี๋หวั่นซวนเซแทบล้ม!
ฝ่าบาทผู้นี้เอ่ยอันใด?
เช่อเฟย?
เธอ?
ต่อให้ตาย อวี๋หวั่นก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินวาจาเช่นนี้จากปากของบุรุษผู้ซึ่งพบเจอกันเพียงไม่กี่ครา หากเข้าใจไม่ผิด นี่คล้ายกับว่ากำลังขอเธอแต่งงาน? และไม่ได้ขอกลับไปในฐานะภรรยา ทว่าในฐานะอนุภรรยา?
“ฝ่าบาท…” อวี๋หวั่นหัวเราะด้วยความโมโห เธอวางถังน้ำกับไม้คานหาบลง และหันไปมองเยี่ยนไหวจิ่ง “เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงเอ่ยกับข้าเช่นนี้? มีตรงไหนที่ข้าทำให้ฝ่าบาทเข้าใจผิดหรือไร?”
สนมเช่อเฟยขององค์ชายหาใช่อนุภรรยาธรรมดา หากวันใดเยี่ยนไหวจิ่งได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ บุตรชายที่เกิดจากสนมเช่อเฟยก็คือองค์ชาย และองค์ชาย…มีโอกาสได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท
อวี๋หวั่นเกิดมาสถานะเช่นนี้ มิต้องเอ่ยถึงเช่อเฟย เพียงแค่สาวรับใช้ในตำหนักองค์ชายก็ยังไม่อาจทำได้ แม้เยี่ยนไหวจิ่งเต็มใจที่จะมอบตำแหน่งสนมเช่อเฟยให้เธอ ก็เสี่ยงที่จะทำให้ สวี่เสียนเฟยและฮ่องเต้ขุ่นเคือง
อวี๋หวั่นมิได้อยากรับความรู้สึกของเขา เธอสุขกายสบายใจที่จะเป็นหญิงสาวในหมู่บ้านมีตรงใดที่ไม่ดี? ต้องเบียดเสียดเข้าบ้านใหญ่และอิจฉาริษยาแก่งแย่งแตงกวาที่ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งหรือ?
แตงกวาของเธอ ก็เป็นของเธอได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น!
“ข้าซาบซึ้งในความกรุณาของฝ่าบาทเป็นอย่างสูง ทว่าข้าไม่สนใจตำแหน่งเช่อเฟย” ผีเท่านั้นที่รู้ว่าฝ่าบาทผู้นี้โปรดปรานตนได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ยังรังเกียจเธอนักหนา
“เจ้าไม่ชอบตำแหน่งเช่อเฟยหรือ? หรือเจ้าอยากเป็นชายาเอก?” เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว แม้ว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของนางจะลบล้างข้อสงสัยของเขาแล้ว ทว่าประสบความสำเร็จได้รับชื่อเสียงเกียรติยศแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางไม่อาจนั่งตำแหน่งชายาเอกได้
ทั้งหมดนี้มันเรื่องอันใดกัน? อวี๋หวั่นกุมขมับโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้พูดอะไร เยี่ยนไหวจิ่งก็คิดว่านางมีความคิดอื่น เขาคาดเดาและเอ่ยว่า “หากเจ้ากังวลว่าชีวิตในตำหนักจะลำบาก เจ้ามั่นใจได้ว่าข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี และข้าจะเลือกชายาเอกที่มีพร้อมทั้งความสามารถและคุณธรรม เป็นคนจิตใจกว้างขวาง ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแม้แต่น้อย”
………………………………………………………..
Comments for chapter "บทที่ 48 ขอหวั่นหวั่นแต่งงาน"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Maggie S
ทำไมองค์ชาย ชอบคืดเองเออเองนะ คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปละ
Gee
นิยายเรื่องนี้ตัวละครคิดเองเออเองทุกตัว 555
Aprilkhun
เออ เอาเข้าไป คิดได้ไงจะไปหาเมียเอกที่ใจกว้าง 5555 คิดเองทั้งนั้น ประสาท
Mr.Lucifer
บ้าเรอะ คนชนบทเขาผัวเดียวเมียเดียวว้อนไอ้องค์ชาย เขาไม่ใช่พวกคุณหนูที่ยอมแบ่งแตงกวากับผู้หญิงอื่นว้อยยย
J
แตงกวาของเธอ ต้องเป็นของเธอแต่เพียงผู้เยวเท่านั้น ลั่นเลยคร้าบบบ อย่าฮา 5555