หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 482 ทายาทราชาพ่อมด
โจวอวี่เยี่ยนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพ่อมดเทพเว่ย เพียงแต่นางไม่ได้ตอบสนองรุนแรงเฉกเช่นพ่อมดอย่างมู่ถิง เมื่อเห็นท่าทางของมู่ถิงแล้ว นางจึงนึกออกว่าคนผู้นี้เป็นใคร
“อา…ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงอยู่เหมือนกัน…” โจวอวี่เยี่ยนยกมือขึ้นปิดปาก พยายามกดความรู้สึกตื่นตกใจเอาไว้
อันที่จริงสกุลเว่ยนั้นไม่ใช่สกุลพ่อมด มีเพียงเว่ยเซวียนคนเดียวซึ่งเป็นพ่อมด ในตอนนั้นประเทศมรกตยังไม่ได้ปราบปรามพ่อมดแม่มด เว่ยเซวียนเป็นบุตรชายคนรองของตระกูล ไม่จำเป็นต้องรับภาระหน้าที่สืบทอดวงศ์ตระกูล เพราะฉะนั้นเขาอยากทำสิ่งใด สกุลเว่ยก็ปล่อยให้เขาทำตามใจปรารถนา
ทุกคนคิดว่าเว่ยเซวียนเพียงเล่นสนุก มิได้คาดหวังว่าเขาจะสร้างชื่อเสียงแต่อย่างใด ตราบจนเว่ยเซวียนไปท้าทายเจ้าสำนักพ่อมด แล้วใช้เวทมนตร์เอาชนะเจ้าสำนักได้ คนสกุลเว่ยถึงได้รู้ว่าเว่ยเซวียนได้กลายเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศมรกต
อวี๋หวั่นเห็นปฏิกิริยาของมู่ถิงและโจวอวี่เยี่ยน จึงเอ่ยถามว่า “พวกเจ้ารู้จักเขาหรือ?”
โจวอวี่เยี่ยนเข้ากระซิบข้างหูเธอว่า “เขาคือพ่อมดใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศมรกต! แต่ได้ยินว่าเขาหายตัวไปนานหลายปี ว่ากันว่าเขาจากโลกนี้ไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกขังอยู่บนเกาะร้างแห่งนี้ จะว่าไป เจ้าพ่อมดดำนั่นมาได้อย่างไร แล้วจับเขาขังไว้ได้อย่างไรกัน?”
เด็กคนนี้พูดมากเสียจริง เธอถามแค่ประโยคเดียว นางกลับตอบมาเป็นสิบประโยค
เว่ยเซวียนอายุมากแล้วแต่ก็มิได้ถึงกับหูตาฝ้าฟาง เขาได้ยินสิ่งที่โจวอวี่เยี่ยนพูด จึงอธิบายด้วยความขมขื่นว่า “คนผู้นั้น เดิมทีเป็นศิษย์รักของข้า สกุลเว่ยไม่อาจบ่มเพาะลูกศิษย์ที่ปราดเปรื่องได้สักคน ประจวบเหมาะกับที่ข้าพบเขาเข้า จึงรับเขาไว้เป็นศิษย์ เขามีพรสวรรค์และมีความพากเพียร ให้ความเคารพข้า ข้าจึงถ่ายทอดวิชาที่มีทั้งชีวิตให้เขา ไม่คาดคิดเลยว่า…ข้ากลับเลี้ยงงูพิษตัวหนึ่งมา…ช่างมันเถอะ”
อวี๋หวั่นเข้าใจสถานการณ์ในทันที แท้จริงแล้วก็เกิดเรื่องอย่างนี้นี่เอง
“ท่านไม่ได้เป็นอาจารย์ของเขาหรอกหรือ? ท่านถูกเขาทำร้ายได้อย่างไรกัน” โจวอวี่เยี่ยนถาม เด็กคนนี้จิตใจบริสุทธิ์ ย่อมคิดไม่ถึงว่าคนเราจะถูกคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจทำร้ายได้
เว่ยเซวียนหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าไปรู้เข้าว่าเขาฝึกวิชามนตร์ดำ ข้าขู่เขาว่าจะไล่เขาออกจากสำนัก แต่สุดท้ายกลับถูกเขาจับขังไว้”
โจวอวี่เยี่ยนและมู่ถิงได้ฟังสิ่งที่เขาประสบพบเจอ ก็ต่างตะลึงงัน
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิได้แสดงความรู้สึกต่อเรื่องทางโลกที่เกิดขึ้น
เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เว่ยเซวียนก็เอ่ยถามว่า “ใช่สิ ข้าอยู่บนเกาะร้างมานานเหลือเกิน พวกเจ้าพอจะรู้บ้างหรือไม่ว่าสกุลเว่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่ถิงส่ายหน้า “สกุลเว่ยไม่เป็นไรขอรับ แต่เหล่าพ่อมดในประเทศมรกตล้วนแต่ประสบหายนะ”
ในสกุลเว่ยมีเพียงเว่ยเซวียนคนเดียวที่เป็นพ่อมด หลังจากที่เขาหายตัวไป สกุลเว่ยก็นับว่าปลอดภัย แต่เหล่าพ่อมดคนอื่นๆ กลับไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้น
มู่ถิงเล่าเรื่องที่เหล่าพ่อมดถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตามล่าโดยสรุป เว่ยเซวียนถอนหายใจ “ความสัมพันธ์ของสองเผ่านี้ นับวันยิ่งแย่ลง”
อวี๋หวั่นมองไปยังเว่ยเซวียน แล้วเอ่ยปากว่า “ท่านพูดได้เยอะแยะถึงเพียงนี้ น่าจะไม่เป็นไรมาก สือซัน”
อิ่งสือซันเข้าใจทันที จึงอุ้มโจวจิ่นซึ่งยังไม่ได้สติเข้ามา
มู่ถิงเดินเข้าไปหาเตียงเย็นเฉียบในเรือนเพื่อให้โจวจิ่วนอน จากนั้นก็หาเบาะมาให้เว่ยเซวียนนั่ง
เว่ยเซวียนนั่งลงบนเสื่อ จับข้อมือโจวจิ่นขึ้นมา หลับตาลงเพื่อใช้เวทมนตร์ตรวจร่างกายของเขา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “เด็กคนนี้เป็นพ่อมด!”
“พ่อมดใหญ่!” โจวอวี่เยี่ยนพูดเสริม
เว่ยเซวียนยิ้ม “ใช่ เป็นพ่อมดใหญ่ อายุน้อยแต่เป็นถึงพ่อมดระดับตี้นับว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก นอกจากนั้นพลังของเขามิได้หยุดเพียงเท่านี้ พลังในร่างของเขาอีกส่วนหนึ่งถูกผนึกไว้ พวกเจ้าต้องการให้ข้าปลดผนึกพลังเวทของเขากระมัง?”
โจวอวี่เยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก เหลือบมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นด้วยความคับแค้นใจ แล้วบอกกับผู้เฒ่าว่า “ข้ากับศิษย์พี่อย่างไรก็ได้ ศิษย์น้องยังเล็ก ยังไม่รู้วิธีป้องกันตนเอง เปิดเผยพลังของตน นำพาหายนะมาสู่คน เป็นเพราะพวกเขา!”
อาจเป็นเพราะกลัวว่าเปิดเผยข้อมูลมากเกินไป โจวอวี่เยี่ยนจึงตัดสินใจสงบปากสงบคำ
เว่ยเซวียนมีชีวิตมานานหลายปี มองคนได้ทะลุปรุโปร่งเพียงใดไม่ต้องเอ่ยถึง อย่างน้อยเขาก็มิได้เลอะเลือน เขาไม่ซักไซ้เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นว่าเพราะเหตุใดจึงอยากปลดผนึกพลังของโจวจิ่น แต่ในเมื่อเป็นความปรารถนาของพวกเขาทั้งสอง เช่นนั้นเขาก็จะช่วยกำจัดผนึกพลังของเด็กคนนี้ นับว่าเป็นการตอบแทนที่เด็กหนุ่มคนนั้นช่วยชีวิตเขาไว้
เว่ยเซวียนมองไปยังมู่ถิง แล้วกล่าวว่า “น้องชาย เจ้าช่วยพาศิษย์น้องไปในห้อง แล้วก็ไปต้มน้ำร้อนมาได้หรือไม่?”
“ได้ขอรับ!” มู่ถิงให้ความเคารพผู้อาวุโสท่านนี้เป็นอย่างมาก การได้ถูกเขาไหว้วานนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับมู่ถิง มู่ถิงอุ้มศิษย์น้องเล็กเข้าไปในห้อง จากนั้นก็เข้าไปต้มน้ำร้อนในห้องครัว
“ไปเถอะ ไปดูกันว่าพวกเขากำลังทำอะไร” อวี๋หวั่นจูงมือของเยี่ยนจิ่วเฉา เพื่อพาคุณชายจอมหยิ่งเข้าไปในห้อง
“ผู้มีพระคุณเชิญนั่ง ข้าอาจต้องใช้เวลาสักพัก” เว่ยเซวียนบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความเกรงอกเกรงใจ พลางชี้ไปยังเก้าอี้ด้านข้าง
เยี่ยนจิ่วเฉาพาอวี๋หวั่นไปนั่งบนเก้าอี้
เว่ยเซวียนใส่ตัวยาสมุนไพรหายากลงไปในน้ำร้อน เมื่อกลิ่นของสมุนไพรลอยไปในอากาศ เว่ยเซวียนจึงให้มู่ถิงอุ้มโจวจิ่นลงไป
ด้วยระดับพลังของเว่ยเซวียน หากจะทำลายผนึกพลังในร่างขอโจวจิ่นนั้นมิได้เหลือบ่ากว่าแรง แต่สิ่งที่ยากก็คือพลังเวทนี้ถูกผนึกไว้นาน เมื่อถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกะทันหัน ย่อมเป็นอันตรายต่อตัวโจวจิ่น เว่ยเซวียนจึงเลือกวิธีทีที่ปลอดภัยที่สุด เพราะฉะนั้นทุกขั้นตอนจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เขาค่อยๆ ดึงพลังเวทออกมาทีละชั้นๆ ราวกับดักแด้ ทุกคนสังเกตเห็นว่าใบหน้าซีดเผือดของโจวจิ่นเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมา ไม่นาน ลมหายใจของเขาก็เป็นปกติ
ครั้นผนึกพลังเวทชั้นสุดท้ายถูกทำลาย เปลือกตาของโจวจิ่นก็ขยับเล็กน้อย
โจวอวี่เยี่ยนรีบเข้าไปหา พยุงใบหน้าของเขา “ศิษย์น้อง เจ้าฟื้นแล้วใช่ไหม? นี่ข้าเอง ศิษย์พี่หญิง!”
โจวจิ่นค่อยๆ ลืมตาขึ้น เหลือบมองนางอย่างอ่อนแรง จากนั้นก็หมดสติไปอีก
โจวอวี่เยี่ยนตกใจ “เอ๋? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ศิษย์น้องของข้าหมดสติไปอีกแล้ว!”
เว่ยเซวียนอธิบายว่า “แม่นางวางใจเถิด เขาไม่เป็นไรแล้ว ข้ากังวลว่าขั้นตอนการกำจัดพลังเวทจะทำให้เขาเจ็บปวด จึงใส่ยาชาลงไปในน้ำ เขาหลับไป ประเดี๋ยวก็ตื่น”
เมื่อเขาบอกเช่นนี้ โจวอวี่เยี่ยนก็วางใจ
เมื่อไม่มีผนึกพลังเวท แม้ว่าโจวจิ่นจะอยู่ในห้วงนิทรา กลิ่นอายของเขาก็รุนแรงขึ้นมาก และแม้ว่ามู่ถิงจะรู้อยู่แก่ใจว่าพลังของศิษย์น้องเล็กนั้นไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้ กระนั้นภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว โจวจิ่นก็ก้าวกระโดดจากพ่อมดระดับตี้ขึ้นเป็นระดับเทียน ระดับเทียนขั้นแรกเริ่ม ระดับเทียนขั้นกลาง ระดับเทียนขั้นสูง…ระดับเทียนขั้นสูงสุด!
ศิษย์น้องเล็กของเขา เป็นพ่อมดระดับเทียนขั้นสูงสุด!
มู่ถิงตะลึงงันจนอ้าปากค้าง
ที่สำคัญก็คือ พ่อมดที่เก่งกาจอย่างเว่ยเซวียน เป็นเพียงพ่อมดระดับเทียนขั้นกลาง!
ศิษย์น้องเล็กของเขาอายุแค่นี่ เหตุใดจึง…
มู่ถิงไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร
โจวอวี่เยี่ยนไม่ใช่พ่อมด นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังในร่างของศิษย์น้องเล็กได้ แต่เมื่อนางเห็นสีหน้าของมู่ถิงและเว่ยเซวียน ก็สามารถบอกได้ว่าพลังของศิษย์น้องเล็กนั้นไม่ธรรมดา
“อา…” เว่ยเซวียนก็มิได้ตกใจน้อยไปกว่ามู่ถิงเท่าไรนัก อายุเพียงเท่านี้ก็มีพลังระดับเทียนขั้นสูงสุด เกรงว่าจะมิได้เกิดจากการฝึกฝน หากแต่เป็นพลังที่มีมาแต่กำเนิด!
“มีมาแต่กำเนิด?” หลังจากที่เว่ยเซวียนพูดออกมา อวี๋หวั่นก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “พลังของพ่อมดเกิดขึ้นจากการฝึกฝน ไม่ได้สืบทอดทางสายเลือดไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงมีคนที่เป็นพ่อมดมาแต่กำเนิดได้เล่า”
เว่ยเซวียนพยักหน้า “มีคำกล่าวเช่นนี้จริง แต่ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น เด็กคนนี้…คงจะเป็นลูกหลานของราชาพ่อมด”
“ราชาพ่อมด?” อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง
เพื่อพิสูจน์สมมุติฐานของตน เว่ยเซวียนจึงปลดเสื้อผ้าของโจวจิ่นด้วยตนเอง เป็นดังคาด หลังของโจวจิ่นมีรอยแผลเป็นสีทอง
ดวงตาของเว่ยเซวียนเป็นประกายขึ้นทันใด “นี่คือรอยประทับที่ราชาพ่อมดทิ้งไว้…เขาเป็นลูกของราชาพ่อมด!”
“อา…” ครั้งนี้กลับเป็นโจวอวี่เยี่ยนที่พูดไม่ออก นางรังแกศิษย์น้องเล็กอยู่เป็นนิจ ที่แท้เขาก็เป็นลูกของราชาพ่อมด…
มู่ถิงขมวดคิ้วแน่น เขาอายุมากกว่ามู่ชิงหลายปี แม้ว่าจะไม่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเท่ามู่ชิง แต่บางเรื่องเขาก็รอบรู้กว่า เขารู้แต่แรกแล้วว่าพื้นเพของศิษย์น้องเล็กคนนี้ต้องไม่ธรรมดา แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นถึงทายาทของราชาพ่อมด
แต่ว่า…ในเมื่อเป็นทายาทของราชาพ่อมด เหตุใดจึงถูกส่งมายังประเทศเล็กกระจิริดอย่างประเทศมรกตได้?
เขาคิดได้ อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาย่อมคิดได้เช่นกัน เยี่ยนจิ่วเฉายกน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ อวี๋หวั่นเบนสายตาจากใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอเดินเข้าไปมองโจวจิ่น พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “พ่อของเขาเป็นราชาพ่อมด กล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?”
“เห็นจะเป็นเช่นนั้น” เว่ยเซวียนตอบด้วยความตื่นเต้น
“เช่นนั้นถ้าหากพวกเราหาท่านพ่อของเขาพบ ก็หมายความว่าหาราชาพ่อมดพบ” อวี๋หวันมองไปยังมู่ถิงด้วยสายตาเย็นเยียบ “พ่อของเขาอยู่ที่ไหน”
มู่ถิงถูกอวี๋หวั่นถามเช่นนี้ ก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนว่า “ตอนที่เขาถูกส่งไปยังสำนักของพวกเจ้า เจ้าไม่ได้กราบอาจารย์แล้วหรอกหรือ? เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร?”
“ข้า…” มู่ถิงนัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง
อวี๋หวั่นหรี่ตา ค่อยๆ กดดันเขาทีละนิด “อย่าคิดว่าเจ้าจะปิดบังเรื่องที่หลอกพาพวกข้ามาตายเช่นนี้ได้ แค่สังหารเจ้า ง่ายเสียยิ่งกว่ากระดิกนิ้ว ข้าเห็นแก่หน้าของมู่ชิง จึงปล่อยเจ้าไปครั้งหนึ่ง แต่อย่าคิดว่าจะมีครั้งที่สอง!”
ทันทีที่อวี๋หวั่นพูดจบ อิ่งสือซันก็ดึงกระบี่ออกมาทาบลงไปบนลำคอของมู่ถิง
“นี่! พวกเจ้าทำอะไรน่ะ” โจวอวี่เยี่ยนซึ่งยังไม่กระจ่างในเรื่องที่เกิดขึ้นก็พุ่งเข้ามา กางแขนสองข้างขวางหน้ามู่ถิง
อวี๋หวั่นมองผ่านโจวจิ่นไป สายตาเย็นชาจับจ้องไปยังมู่ถิง
มู่ถิงถูกจ้องจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขากำหมัดแน่น แล้วกล่าวว่า “เป็นคนเผ่าพ่อมด! ศิษย์น้องเล็กเป็นคนเผ่าพ่อมด!”
โจวอวี่เยี่ยนมองไปยังมู่ถิงด้วยสีหน้าตะลึงงัน
ส่วนเรื่องการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้กับโจวอวี่เยี่ยนฟังนั้นเป็นเรื่องระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง อวี๋หวั่นไม่สนใจและไม่ใส่ใจด้วย เธอหันหลังไป จับมือเยี่ยนจิ่วเฉา “สามี ไปกันเถอะ!”
อิ่งสือซันอุ้มโจวจิ่นขึ้นมา หาเสื้อผ้าใส่ให้เขา จากนั้นจึงอุ้มเขาเดินตามอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาไป
“ผู้มีพระคุณ” เว่ยเซวียนไล่ตามมา
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก แล้วหันมามองเขาสีหน้าเรียบเฉย “มีอะไร?”
“ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร?” เว่ยเซวียนเอ่ยถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “เจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อข้า”
เว่ยเซวียนอุทานว่า ‘อ่อ’ เขาเข้าใจในทันใด เขายกมือขึ้นประสานกัน “ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าทดแทนไปเพียงน้อยนิด แม้จะไม่รู้ว่าผู้มีพระคุณจะไปทำอะไรที่เผ่าพ่อมด ข้าเองก็อายุมากแล้ว ช่วยอะไรได้ไม่มาก”
เขาพูดไป พลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าข้างเอว หยิบเชือกออกมาเส้นหนึ่ง ไข่มุกเม็ดหนึ่งผูกติดอยู่บนเชือก
“นี่คืออะไรหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
เว่ยเซวียนมองไปยังหน้าท้องของอวี๋หวั่น เขายิ้ม พร้อมกับบอกว่า “บนร่างของฮูหยินมีกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์รุนแรง ถ้าหากเดินทางไปยังเผ่าพ่อมดเช่นนี้ ย่อมต้องเกิดภัยเป็นแน่ ไข่มุกเม็ดนี้จะช่วยปกปิดกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์”
ที่แท้นี่ก็เป็นของดีมีประโยชน์ อวี๋หวั่นเก็บมันลงไป “ขอบคุณ”
เว่ยเซวียนค้อมกายยกมือขึ้นประสาน เพื่อส่งพวกเขาด้วยความจริงใจ
พวกเขาเดินออกไปแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉากลับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “เยี่ยนจิ่วเฉา”
เว่ยเซวียนชะงักไป จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
ไม่ยอมบอกชื่อแต่แรก ทว่ากลับยอมทำ เพียงเพื่อมอบของขวัญให้กับภรรยา ผู้มีพระคุณท่านนี้ดูภายนอกเย็นชา ลึกๆ ภายในใจนั้นรักภรรยาเหนือสิ่งอื่นใด…
หลังจากที่พวกเขาเดินออกมา มือหนึ่งของอวี๋หวั่นจับมือของเยี่ยนจิ่วเฉา อีกมือหนึ่งถือเชือกไว้ “ใช่สิเยี่ยนจิ่วเฉา พ่อมดดำตายไปแล้ว อาคมบนเกาะก็สลายไป ทำไมพวกเรายังหาท่านพ่อไม่เจออีก”
ณ ถ้ำอันมืดมิดในป่าทึบ
อวี๋เซ่าชิงกำลังจ้องมองสตรีซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าของตน
อวี๋หวั่นเจอ ‘ร้านน้ำชา’ เขาเองก็เช่นกัน อิ่งสือซันเผชิญหน้ากับ ‘สัตว์ร้าย’ เขาเองก็เช่นกัน เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ทุกสิ่งที่พบเจอที่นี่ล้วนแต่เป็นของปลอม ต้องเป็นอาคมและวิชาอำพรางตาของพ่อมดอย่างแน่นอน!
เพียงแต่อาคมนี้เหมือนจริงเกินไปสักหน่อยกระมัง เขาเห็นอาซูจริงๆ อาซูยังพาเขาไปทำนั่นทำนี่ในถ้ำอีกต่างหาก!
อวี๋เซ่าชิงอับอายเหลือทน แต่ก็มีความสุขจนมิอาจบรรยายได้!
“ไอ้หยา ถ้าท่านพ่อยังไม่มาอีก จะออกเรือแล้วนะ!”
“ทำอย่างไรดีขอรับ นายท่านยังไม่กลับมาหรือ จะออกเรือเลยหรือขอรับ?”
“จะออกก็ออก! ถ้าตายขึ้นมา ไม่ต้องมาเรียกให้ข้าไปเก็บศพ!”
เรือลอยอยู่ใกล้เกาะร้างแห่งนี้เป็นเวลาสามวันเต็มๆ
……