หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 484 เพื่อนเก่า
หากเรือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อีกหนึ่งวัน ก็จะถึงท่าเรือของประเทศเพทาย และที่นั่นคือจุดหมายปลายทางแห่งสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้
นายเรือหลายคนช่วยกันยกสัมภาระของพวกเขาลงมา เมื่อเห็นสัมภาระกองเล็กกองน้อยบนท่าเรือ อิ่งสือซันก็นึกสงสัยขึ้นมา เขาจำได้ว่าตอนที่พวกเขาขึ้นเรือ ไม่ได้มีสัมภาระมากมายถึงเพียงนี้…
เขามองไปยังโจวอวี่เยี่ยน มู่ถิง และมู่ชิงซึ่งกำลังอ่านแผนที่ แล้วคิดในใจว่า เป็นของพวกเขาหรือ?
บรรดานายเรือใช้เส้นสายกับเรือสินค้า เช่ารถม้าจากท่าเรือให้พวกเขา นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่พวกเขาจะทำให้พี่ใหญ่ได้แล้ว ชีวิตหลังจากนี้อาจไม่ได้พบกันอีก!
อิ่งลิ่วเริ่มขนสัมภาระขึ้นบนรถม้า แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า สัมภาระที่เพิ่มมาเหล่านี้หนักเหลือเกิน…
ร่างกายของอวี๋หวั่นเริ่มหนักอึ้ง เรื่องบางเรื่องเธอก็ทำเองไม่ได้ จึงต้องให้ผิงเอ๋อร์คอยอยู่ข้างกาย
เยี่ยนจิ่วเฉาและอิ่งสือซันไปซื้อของและสืบข่าวคราวที่ตลาด โดยมีชุยเฒ่าติดตามไปด้วย เขาต้องการซื้อตัวยาสมุนไพร
อวี๋เซ่าชิงคอยเฝ้าบุตรสาว ด้วยกลัวว่าบุตรสาวจะได้รับอันตราย
มู่ชิงสวมหมวกสาน ผ้าคลุมหน้าช่วยบดบังใบหน้าและดวงตาของเขาซึ่งอาจทำให้ผู้คนตามท้องถนนตกใจกลัว ไม่รู้ว่าเขาไปหาเก้าอี้มาจากที่ใด ยกมาให้อวี๋เซ่าชิงและอวี๋หวั่นนั่ง
อวี๋เซ่าชิงไม่นั่ง แต่กลับเรียกโจวจิ่นให้มานั่ง
เด็กคนนี้ตลอดทางไม่เคยร้องไห้งอแง เขานิ่งเงียบจนทำให้ผู้คนอดรู้สึกปวดใจไม่ได้
โจวจิ่นนั่งลงข้างอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยื่นกล่องใบเล็กให้เขา “อะนี่”
โจวจิ่นค่อยๆ หยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นมากินหนึ่งชิ้น
มู่ถิงและโจวอวี่เยี่ยนยังดูแผนที่เพื่อหาว่าควรเดินทางใดดี
อวี๋หวั่นเหลือบไปมองมู่ชิงซึ่งกำลังคาดเข็มขัดให้โจวจิ่น แล้วพูดว่า “คนรู้จักเผ่าพ่อมดเยอะหรือ?”
มู่ชิงเงยหน้าขึ้น “ฮูหยินน้อยเยี่ยนหมายถึงรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่าพ่อมด หรือรู้เส้นทางไปเผ่าพ่อมดหรือ?”
“ทั้งสองอย่าง” อวี๋หวั่นตอบ
มู่ชิงครุ่นคิดอย่างหนัก “ที่จริง… ทุกคนล้วนแต่เคยได้ยินชื่อของเผ่าพ่อมดก็เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หากไม่ใช่เพราะพ่อมดไม่อาจมีชีวิตอยู่ในประเทศมรกตอีกต่อไป ข้าก็คงไม่อยากพาศิษย์พี่ศิษย์น้องหนีไปยังเผ่าพ่อมด”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็มองไปยังโจวจิ่นด้วยความละอายใจ เขาไม่รู้ว่าศิษย์น้องเป็นคนเผ่าพ่อมด หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่แรก ในตอนนั้นเขาจะไม่มีทางตกลงปลงใจพาศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงเดินทางไปยังเผ่าพ่อมดเป็นแน่
อวี๋หวั่นไม่มองก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เธอหยิบขนมกุ้ยฮวาในมือขึ้นมา มองไปยังมู่ถิงด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้ภูมิหลังของโจวจิ่น แต่ศิษย์พี่ของเจ้ารู้ ทว่าดูแล้ว เพื่อที่จะรักษาชีวิตของตน เขาน่าจะไม่สนใจว่าศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าจะเป็นหรือตาย”
มู่ชิงมีสีหน้าจริงจัง “เป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่ของข้ารักศิษย์น้องเล็กมาก เพียงแต่ในประเทศมรกตนั้นลำบากมาก เขาไม่มีหนทางอื่น นอกเสียจากใช้วิธีนี้ ต่อให้ไปถึงเผ่าพ่อมดแล้ว เขาก็จะปกป้องศิษย์น้องเล็กของข้า”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าโจวจิ่นกินหมดแล้ว เธอจึงส่งกล่องให้เขาอีก
โจวจิ่นยังคงกินขนมต่อไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด
“เอาตามนี้ ไปเส้นทางนี้ก็แล้วกัน” มู่ถิงและโจวอวี่เยี่ยนตกลงกันเรียบร้อยก็ลุกขึ้น หยิบแผนที่ขึ้นมา แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “พวกเราเดินทางผ่านตำบลเล็กๆ แห่งนี้ ไปทางตะวันออก ผ่านทะเลทรายเล็กๆ แห่งหนึ่งก็ถึงเผ่าพ่อมดแล้ว ในทะเลทรายมีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พวกเราออกเดินทางเร็วสักหน่อย เมื่อฟ้ามืดก็สามารถเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้”
อวี๋หวั่นยิ้มพลางมองพวกเขา “ให้เจ้าวางแผนดีแล้ว”
มู่ถิงหลุบตาลงมองแผนที่ในมือ แล้วพูดขึ้นว่า “ยังต้องปกปิดตัวตนของพวกเราอีก ฮูหยินมีคำแนะนำหรือไม่?”
“ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าวางแผน”
“เช่นนั้นก็ นายท่านอวี๋เป็นอาจารย์ลุงของข้า คุณชายเยี่ยนเป็นศิษย์พี่ของข้า ส่วนเจ้าก็…” มู่ถิงคำนวณจากอายุของอวี๋หวั่น เดิมทีควรเป็นศิษย์น้องหญิงเล็กของเขา อวี๋หวั่นลูบศีรษะของโจวจิ่น แล้วบอกว่า “ข้าเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้า เรียกศิษย์พี่หญิงใหญ่สิ”
โจวจิ่น “ศิษย์พี่หญิงใหญ่”
มู่ถิง “…”
ในเมื่อโจวจิ่นยอมรับ ไม่นานมู่ถิงก็เอ่ยปากเรียกศิษย์พี่หญิงใหญ่เช่นกัน โจวอวี่เยี่ยนไม่เห็นดีเห็นงามด้วย กระนั้นนางก็เป็นเพียงเสือกระดาษ มิได้น่าเกรงกลัวเท่าไร เพราะฉะนั้นสถานะใหม่ของอวี๋หวั่นจึงได้รับการยอมรับอย่างถ้วนหน้า
ประเทศเพทายและประเทศมรกตนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน สามารถใช้หนังสือผ่านทางของทั้งสองดินแดนเดินทางไปมาหาสู่กันได้ พวกเขาถือหนังสือผ่านทางของประเทศมรกต และผ่านเข้ามาในตำบลเล็กๆ ได้อย่างราบรื่น จากนั้นมุ่งหน้าต่อไปทางทิศตะวันออก เป็นดังที่มู่ถิงพูดไว้ พวกเขาได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมก่อนฟ้ามืดโดยมิได้เร่งรีบแต่อย่างใด
มู่ถิงกระโดดลงจากรถม้า แล้วบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นว่า “พักที่นี่สักคืน พรุ่งนี้ฝนหยุดแล้วพวกเราค่อยออกเดินทางต่อ อย่างช้าสองสามวันก็ถึงเผ่าพ่อมด แต่ว่าพวกเราอาจต้องเปลี่ยนม้าเป็นอูฐ”
“เข้าใจแล้ว” อวี๋หวั่นเลิกม่าน
เยี่ยนจิ่วเฉาลงจากรถม้า แล้วอุ้มอวี๋หวั่นลงมา
“ไอ้หยา กระดูกข้า” ชุยเฒ่าก็ลงจากรถม้าเช่นกัน
“อาม่า ท่านระวัง” หลังจากที่อิ่งลิ่วพยุงชุยเฒ่าลงมาแล้ว เขาก็พยุงอาม่าลงมา
โจวอวี่เยี่ยนจูงมือโจวจิ่นแน่น ไม่ยอมให้โจวจิ่นออกห่างตนแม้แต่ครึ่งก้าว
โรงเตี๊ยมที่นี่ไม่อาจเทียบได้กับโรงเตี๊ยมในเมือง โดยรอบแลดูเก่าซอมซ่อ ไม่มีพนักงานมาต้อนรับ เมื่อเขาเดินเข้ามาก็พบว่าผู้จัดการโรงเตี๊ยมนั้นเป็นบุรุษวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบกว่าเห็นจะได้ เขามิได้กระตือรือร้นเมื่อเห็นว่ามีแขกมา เพียงแต่หาววอดอย่างอืดอาด พร้อมกับบอกว่า “เหลือแค่สามห้อง”
โจวอวี่เยี่ยนรู้สึกร้อนรน “สามห้อง? จะนอนกันพอหรือ?”
ผู้จัดการตอบว่า “เช่นนั้นก็ต้องรอที่โถงใหญ่หนึ่งคืน”
“แต่ว่า…” โจวอวี่เยี่ยนอยากจะพูดต่อ แต่ผู้จัดการกลับหยิบกุญแจห้องขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “ห้องละสิบตำลึง ทั้งหมดสี่สิบตำลึง”
โจวอวี่เยี่ยนนึกสงสัย “ไม่ได้บอกว่าสามห้องหรอกหรือ? ห้องละสิบตำลึง สามห้องสามสิบตำลึง อีกสิบตำลึงเพิ่มมาจากไหนกัน?”
ผู้จัดการตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “พวกเจ้าคิดจะอยู่ในห้องโถง กินข้าว ให้อาหารม้าโดยไม่เสียเงินอย่างนั้นหรือ?”
โจวอวี่เยี่ยนกระทืบเท้า “พวกเจ้ามันขูดรีดกันชัดๆ!”
“อยากอยู่ก็อยู่ ไม่อยากอยู่ก็ออกไป!” ผู้จัดการเก็บกุญแจกลับไป แต่กลับถูกพัดยื่นมาหยุดไว้ก่อน
อวี๋หวั่นยิ้ม “ใครบอกว่าพวกข้าจะไม่อยู่เล่า? อิ่งลิ่ว! เอาเงินมา!”
อิ่งลิ่วหยิบทองก้อนออกมาจากกระเป๋าเงิน “เอ้านี่!”
ผู้จัดการรับเงินมา สีหน้าดีขึ้นในที่สุด “เชิญชั้นบน!”
แม้ว่าจะมีทั้งหมดสามห้อง แต่ข้อดีก็คือแต่ละห้องนั้นกว้างขวาง อวี๋หวั่น โจวอวี่เยี่ยน และผิงเอ๋อร์อยู่ห้องเดียวกัน เยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋เซ่าชิง และโจวจิ่นอยู่ห้องเดียวกัน ชุยเฒ่าและอาม่าอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนคนอื่นๆ พักอยู่ในโถงกลางไปก่อน
อาหารเย็นกินที่ห้องโถงกลาง หลังจากกินเสร็จ อวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉา และคนอื่นๆ กลับห้องไป อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วไปให้อาหารม้า ส่วนมู่ชิงและเสี่ยวเอ้อร์อีกสองคนไปยังห้องเก็บของ เพื่อนำที่นอนและผ้าห่มมา
ในห้องโถงกลางจึงเหลือมู่ถิงเพียงคนเดียว ขณะที่เขากำลังจะขึ้นไปหาศิษย์น้องเล็กที่ชั้นบนนั้นเอง ก็มีร่างกำยำล่ำสันเข้ามาตรงหน้าของเขา
มู่ถิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอีกฝ่าย ทันทีที่เห็น เขาก็ถึงกับตะลึงงัน
“เป็นเจ้าจริงด้วย ถิงเอ๋อร์ ” ใบหน้าของร่างสูงใหญ่กำยำเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
มู่ถิงนัยน์ตากระตุกวูบ
ผู้ที่มาถึงมิใช่อื่นใด หากแต่เป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์ของเขา มีนามว่าเหลียงหง และเป็นพ่อมดระดับเสวียน มู่ถิงไม่คาดคิดเลยว่าจะมาพบกับคนคุ้นเคยในโรงเตี๊ยมเช่นนี้ เขาทำอะไรไม่ถูก จึงเอ่ยทักทายอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านลุงเหลียง”
พ่อมดใหญ่เหลียงตบไหล่ของเขาเบาๆ “ไม่ได้พบกันนาน ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าว่าแล้วว่าเป็นเจ้า แต่ข้างกายเจ้ามีคนแปลกหน้ามากมาย แถมเจ้ายังเรียกพวกเขาว่าอาจารย์ลุง ศิษย์พี่…ข้าไม่มั่นใจ จึงมามองอีกครั้ง”
มู่ถิงรู้สึกเพียงว่าไหล่ซึ่งถูกเขาตบนั้นแข็งเกร็ง ทันใดนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าควรแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี
“ข้าได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าเสียไปแล้ว” พ่อมดเหลียงกล่าว
มู่ถิงตอบด้วยความเศร้าโศกว่า “มิผิด พวกเราถูกจับไป เพื่อช่วยให้มู่ชิงหลบหนี อาจารย์ถูกทหารของประเทศมรกตสังหาร”
พ่อมดเหลียงถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง “ข้ากับอาจารย์ของเจ้ารู้จักกันมานาน แต่กลับไม่ได้พบเขาเป็นครั้งสุดท้าย กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าเองก็เกือบถูกจับเช่นเดียวกัน…ใช่สิ ดูแล้วพวกเจ้าก็จะเดินทางไปพึ่งเผ่าพ่อมดเหมือนกันใช่ไหม?”
“ข้า…”
พ่อมดเหลียงกล่าวว่า “ผู้ที่เดินทางไปกับเจ้าเป็นใครหรือ? ไฉนจึงสวมรอยเป็นอาจารย์ลุงกับศิษย์พี่ของเจ้า”
“เรื่องนั้น…”
พ่อมดเหลียงพูดต่อ “เจ้ายังเด็กนัก สร้างมิตรภาพในยุทธภพไว้เป็นดี แต่ลุงเหลียงอยากเตือนเจ้าไว้สักหน่อย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้าระวังจะถูกหลอกเอาได้”
มู่ถิงมิได้โต้ตอบ แต่กลับถามว่า “ท่านลุงเหลียงก็จะไปเผ่าพ่อมดหรือขอรับ?”
พ่อมดเหลียงพยักหน้า “ถูกต้อง ประเทศมรกตไม่มีที่ให้พ่อมดอย่างพวกเราอยู่แล้ว หากไม่ไปเผ่าพ่อมดแล้วจะไปที่ใดได้เล่า?”
“ท่านลุงเหลียง ท่านไม่ได้…” ประโยคต่อมา มู่ถิงไม่กล้าพูดเสียแล้ว
พ่อมดเหลียงหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดว่าอย่างไร ข้าไม่ใช่พ่อมดใหญ่ ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในเผ่าพ่อมด แต่ว่าข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นพ่อมดระดับเทียน ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าสามารถขอร้องให้เขาพาพวกเจ้าเดินทางไปด้วยก็ได้”
มู่ถิงพึมพำว่า “พวกเขาคงไม่ยอม”
พ่อมดเหลียงขมวดคิ้ว “พวกเขา? เจ้าหมายถึงพวกคนที่ปลอมเป็นคนสำนักเดียวกับเจ้าน่ะหรือ? พวกเขาไม่ใช่คนประเทศมรกตกระมัง? อาจารย์ของเจ้าไม่อยู่แล้ว ในฐานะลุงของเจ้า ข้าอยากเตือนเจ้าจากใจ เป็นคนย่อมต้องรู้ทางหนีทีไล่ ไม่ว่าเมื่อใดก็ไม่ควรนำพาหายนะมาสู่ตน”
สีหน้าของพ่อมดเหลียงนั้นซับซ้อนยากจะหยั่งรู้ คล้ายกับมองบางอย่างออกหรือล่วงรู้บางเรื่องมา ในใจของมู่ถิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคลือบแคลงใจ
เขาคิดมาตลอดว่าเป้าหมายในการเดินทางไปเผ่าพ่อมดของคนเหล่านั้นไม่ชอบมาพากล อีกทั้งหนึ่งในพวกเขายังเป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ใครรับรองได้บ้างเล่าว่าพวกเขาไม่ใช่สายลับของเผ่าศักดิ์สิทธิ์? ถ้าหากคนเผ่าพ่อมดรู้เข้าว่าพวกเขาพาสายลับเข้าไป เผ่าพ่อมดจะต้องไม่ปล่อยพวกเขาไว้เป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มู่ถิงจึงร้องเรียกว่า “ท่านลุงเหลียง!”
…………………………..