หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 488 พลังแห่งราชาศักดิ์สิทธิ์!
“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
เสียงตวาดลั่นดังมาจากห้อง ‘สวรรค์’ ราวกับเสียงฟ้าคำราม แขกในโรงเตี๊ยมมีไม่มาก ทุกคนล้วนแต่สะดุ้งโหยงเพราะเสียงนี้ ยกเว้น…พวกอวี๋หวั่น
พวกเขามองไปยังห้อง ‘สวรรค์’ โดยมิได้รู้สึกสะทกสะท้าน
นั่นไม่ใช่เพราะแขกในห้อง ‘สวรรค์’ นั้นไม่แข็งแกร่งพอ แต่เป็นเพราะหลังจากที่พวกเขาได้เห็นการต่อสู้ระหว่างราชาหลัวช่ากับท่านปรมาจารย์แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่น่ากลัวพอที่จะทำให้พวกเขาตกใจได้
เดิมทีคิดว่าเสียงคำรามของตนจะทำให้เด็กไม่รู้ประสาคนนี้กลัวจนตัวสั่น ไหนเลยจะรู้ว่า…ไม่มีผู้ใดไว้หน้าเขาเลย
บุรุษสวมผ้าคลุมอดรู้สึกอับอายไม่ได้ “ฆ่าพวกเขาเสีย!”
ทันทีที่เขาออกคำสั่ง ยอดฝีมือสวมชุดสีเทาทั้งห้าคนก็พุ่งออกมาจากหน้าต่าง หนึ่งในนั้นมีหลัวช่า แม้จะไม่ใช่หลัวช่าโลหิต แต่ก็ไม่อาจดูเบาวรยุทธ์ของมันได้
“เขาเป็นใครกัน ทำไมมียอดฝีมือในครอบครองมากมายเช่นนี้” โจวอวี่เยี่ยนได้แต่นึกแค้นเจ้าคนแซ่เหลียง ไม่เช่นนั้นตอนนี้นางคงชักกระบี่ออกไปสู้แล้ว
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันชักกระบี่แล้วก้าวขึ้นมา สี่ในห้าของยอดฝีมือถูกพวกเขาสกัดไว้ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังมีปลาตัวหนึ่งลอดออกจากแหไปได้ มันตรงเข้าหาโจวจิ่น ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงสว่างวาบ แสงอันแข็งแกร่งของราชาศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูเข้ามาดุจสายน้ำ พุ่งเข้าใส่หลัวช่า เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น หลัวช่าก็ล้มลงทันใด
เมื่อยอดฝีมือคนอื่นๆ ได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาของหลัวช่า ก็ล้วนแต่หยุดชะงัก ในชั่วพริบตาเดียวก็ถูกอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วสังหารจนล้มลงเกลื่อนกลาด
สงครามที่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น ก็จบลงเสียแล้ว บุรุษสวมเสื้อคลุมในห้อง ‘สวรรค์’ ก็ตะลึงงัน
“เจ้าเป็นใครกัน” เขาเอ่ยถามอวี๋หวั่น ในชั่วพริบตาเดียว เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังเป็นกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากลิ่นอายของคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนใดที่เขาเคยพบมา
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ชอบเงยหน้าคุยกับใคร” อวี๋หวั่นพูดจบ พลังของราชาศักดิ์สิทธิ์ก็กดห้อง ‘สวรรค์’ เอาไว้ ฉลุหน้าต่างของห้องแตกกระจาย เงาสีดำสายหนึ่งโซซัดโซเซ ล้มลง และกลิ้งขลุกๆ หล่นลงมาบนพื้นหญ้าในลานด้านหลังโรงเตี๊ยม
อวี๋หวั่นร้อง ‘ว้าว’ อยู่ในใจ พลังปราณของสตรีศักดิ์สิทธิ์ในเลือดของเธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เธอเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลหลาน!
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพลิกตัวไปมาอยู่ในท้อง
ผู้จัดการและเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมได้ยินว่ามีเรื่องเกิดขึ้น แต่กลับไม่กล้ามาดูเหตุการณ์
บุรุษสวมเสื้อคลุมเริ่มใช้เวทมนตร์ดำ นัยน์ตาของโจวจิ่นกระตุกวูบ พลังเวทวาบผ่านเข้าไปยังดวงตาของเขา โจวจิ่นร้องลั่น สองมือยกขึ้นมาปิดดวงตาปวดแปลบของตน
พ่อมดขาวไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่กลับเป็นศัตรูที่ต่อกรด้วยยากที่สุดของพ่อมดดำ
เดิมทีพ่อมดเหลียงคิดว่าอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใต้เท้า ไหนเลยตอนนี้กลับสู้พวกเขาไม่ได้ เหตุใดพวกเขาถึงทำเช่นนี้ได้ พวกเขาเป็นใครกัน เหตุใดถึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ทั้งยังมีสตรีคนนั้นอีก นางมีกลิ่นอายของคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่รุนแรง
“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นสายลับของเผ่าศักดิ์สิทธิ์!” พ่อมดเหลียงตะโกนเสียงดัง
“เลิกแสแสร้งสักที ใครเป็นสายลับตัวจริงยังไม่ชัดอีกหรือ ใช่ไหมเล่า? มู่ถิง” อวี๋หวั่นยิ้มพลางมองไปทางมู่ถิงซึ่งยืนตัวแข็งทื่อไปเสียแล้ว
มู่ถิงถูกอวี๋หวั่นเรียกชื่อ ก็ได้สติกลับมา “หืม?”
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องทำไขสือแล้วกระมัง? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ขายโจวจิ่นให้พวกเขา?”
“ศิษย์พี่ใหญ่…” โจวอวี่เยี่ยนหันไปมองมู่ถิง
มู่ถิงนัยน์ตากระตุกวูบ
ท่าทางรู้สึกผิดเช่นนั้นมิได้อยู่ในสายตาของโจวอวี่เยี่ยนเท่านั้น แต่มู่ชิงก็เห็นเช่นกัน มู่ชิงซึ่งกำลังจะเอ่ยปากแก้ต่างให้มู่ถิงก็เงียบลงทันใด
“เป็นท่านจริงหรือ? ท่านหักหลังพวกข้าหรือ?” โจวอวี่เยี่ยนโทสะพลุ่งพล่าน ฤทธิ์ของยากระดูกนิ่มยังคงไม่สลายไป นางจับแส้ไม่ไหว ทำได้เพียงกำทรายขึ้นมาเขวี้ยงใส่มู่ถิงอย่างอ่อนแรง
เมล็ดทรายเหล่านั้นโดนเพียงชายเสื้อของมู่ถิง แต่กลับเจ็บแปลบไปถึงก้นบึ้งของหัวใจของมู่ถิง
มู่ถิงกำหมัดแน่น แล้วพูดด้วยความละอายใจแฝงไปด้วยความดึงดันว่า “ข้า…ข้าทำเพื่อพวกเจ้า…พวกเขาที่มาที่ไปไม่แน่ชัด มีเป้าหมายผิดปกติ หากตามพวกเขาไป พวกเราทุกคนก็อาจถูกลากลงเหวไปด้วย!”
โจวอวี่เยี่ยนพูดอย่างปวดใจ “แต่พวกเขาช่วยเราไว้นะ! ถ้าไม่มีพวกเขา พวกเราก็คงถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์ฆ่าตายไปแล้ว!”
“คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่ฆ่าพวกเราหรอก พวกเขาต้องการเพียงตัวศิษย์น้อง…” พูดได้เพียงครึ่งเดียว มู่ถิงก็หยุดชะงัก
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “โอ้ว ความลับถูกเปิดเผยแล้วสินะ? เผ่าศักดิ์สิทธิ์ต้องการเพียงตัวศิษย์น้องเล็กเจ้าแล้วอย่างไร? จะใช้ต่อรองกับเผ่าพ่อมดหรือ? จุ๊ๆๆ เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ยังปิดบังพวกเราอีกหรือ สรุปแล้วเจ้ามีเจตนาดีหรือร้ายกันแน่?”
“ข้าได้ยินมาโดยบังเอิญต่างหากเล่า!” มู่ถิงตวาดลั่น แต่เขาไม่ได้พูดต่อ อาจเป็นเพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดตนเองถึงต้องตอบไปเช่นชั้น
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่เพียงรู้ภูมิหลังของศิษย์น้องของเจ้า แต่ยังรู้ว่าการส่งตัวเขาให้กับเผ่าพ่อมดนั้นจะนำมาซึ่งผลประโยชน์หลายอย่าง หากถามข้า เจ้ามีแผนจะพาโจวจิ่นไปส่งที่เผ่าพ่อมดตั้งแต่แรกแล้วกระมัง!”
“ข้าเปล่า!” มู่ถิงดวงตาแข็งกร้าว
เขาไม่ได้มีแผนเช่นนั้นจริงๆ เขาจะทำร้ายศิษย์น้องได้อย่างไร? การเดินทางไปเผ่าพ่อมดนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เผ่าศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่ในประเทศมรกต เหล่าพ่อมดไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ส่วนเรื่องภูมิหลังของศิษย์น้องเล็ก ใช่ เขารู้ และรู้ว่าเผ่าพ่อมดนั้นอันตรายดุจรังมังกรถ้ำเสือ แต่พวกเขาไร้ซึ่งหนทางอื่นไม่ใช่หรือ? หากไปเผ่าปีศาจ ก็คงต้องระวังสักหน่อย อย่าให้ผู้อื่นรู้ตัวตนของศิษย์น้อง บางทีพวกเขาอาจปกปิดตัวตนและใช้ชีวิตต่อไปได้!
ถ้าเผื่อว่า…
แน่นอนว่านั่นคือความเป็นไปได้ ถ้าเผื่อว่าวันหนึ่งเขาจำเป็นต้องเลือกจริงๆ
มู่ถิงกำหมัดแน่น
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “เจ้านี่นะ ไม่เพียงโง่งม แต่ยังใจคด ข้าเคยพูดไปแล้ว เรื่องที่เกาะร้าง ข้าเห็นแก่หน้าของมู่ชิง อย่าให้มีครั้งที่สองอีก”
“ที่เกาะร้าง…เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่ชิงเอ่ยถามด้วยความงงงวย
อวี๋หวั่นเหลือบมองมู่ถิง แล้วพูดว่า “เขาไม่รู้ว่าเว่ยเซวียนอยู่บนเกาะร้าง เขารู้เพียงว่าบนเกาะร้างมีพ่อมดดำคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงตั้งใจจะหลอกล่อให้พวกข้าไปตาย”
มู่ชิงมองไปยังมู่ถิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “เป็นเรื่องจริงหรือ ศิษย์พี่?”
มู่ถิงกำหมัดจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ
มู่ชิงพึมพำว่า “มิน่าเล่าตอนที่พวกเขาบอกว่าจะพาศิษย์น้องเล็กไปด้วย ท่านถึงตกใจถึงเพียงนั้น ทั้งยังตามไปด้วย ท่านรู้แต่แรกแล้ว…ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตราย…ท่านนี่ไม่ประมาณตนเองเอาเสียเลย ท่านคิดว่าแค่พลังของท่านก็จะสามารถต่อกรกับพ่อมดดำแล้วช่วยศิษย์พี่หญิงกับศิษย์น้องได้หรือ? ท่านก็เห็นอยู่ว่ามีคนมากมายที่อาจตายได้ แต่ท่านกลับเลือกที่จะปิดปากเงียบ เพียงเพื่อปกปิดคำโกหกของท่าน…ท่าน…”
มู่ชิงผิดหวังเหลือเกิน
นี่คือลูกพี่ลูกน้องคนที่พเนจรอยู่บนถนนกับเขา ยอมต่อสู้กับคนอื่นเพียงเพื่อแย่งชิงมาให้เขากินหรือ…
บุรุษอกสามศอกที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่คนนั้นหายไปไหนเสียแล้วเล่า?
เขากลายเป็นคนโหดเหี้ยม ไร้สัจจะ เชื่อใจไม่ได้ และเจ้าเล่ห์เพทุบาย!
มู่ชิงเบือนหน้าหนี ขอบตาของเขาแดงก่ำ
โจวอวี่เยี่ยนร้องไห้ด้วยความปวดใจ
คนที่ทำให้เจ็บปวดได้มากที่สุดหาใช่ศัตรู หากแต่เป็นคนสนิทที่สุดต่างหาก
อวี๋หวั่นจับหน้าท้องนูนของตน “เจ้าไปเถิด หลังจากนี้ไม่ต้องไปกับพวกข้าอีก”
มู่ถิงขอบตาแดงก่ำ
“ไปกันเถอะ!” พ่อมดเหลียงดึงแขนเสื้อขึ้น พยักเพยิดให้เขาพยุงบุรุษสวมผ้าคลุมขึ้นมา
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าบอกให้เขาไป ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าให้พวกเจ้าไป”
“เจ้า…” พ่อมดเหลียงเห็นท่าทางของอวี๋หวั่น ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคิดจะจัดการเขากับใต้เท้า สีหน้าของเขาแข็งกร้าวขึ้นทันใด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใต้เท้าเป็นใคร?”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ข้าต้องสนด้วยหรือว่าเขาเป็นใคร? ต่อให้ราชาของเผ่าพ่อมดมา ก็ยังต้องอยู่ที่นี่ต่อ!”
บุรุษสวมผ้าคลุมกัดฟันกรอด “ปากดีเหลือเกินนะ!”
อวี๋หวั่นยิ้ม “จะให้ปล่อยเจ้าไปก็คงได้ แต่ว่าพวกเจ้าต้องตอบคำถามของข้าอย่างตรงไปตรงมา! พวกเจ้ามาจากที่ไหน? เหตุใดต้องมาจับตัวโจวจิ่น? เรื่องภูมิหลังของโจวจิ่น พวกเจ้ารู้มากน้อยแค่ไหน?”
พ่อมดเหลียงมองไปยังบุรุษสวมผ้าคลุม เห็นได้ชัดว่าพ่อมดเหลียงก็ไม่รู้เรื่องของโจวจิ่นเช่นกัน เขารู้เพียงว่าโจวจิ่นมีความสำคัญต่อใต้เท้ามาก และใต้เท้าก็อยากจะจับเขากลับไป
อวี๋หวั่นมองเขา “หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย ข้ากล้าฆ่าเจ้า ย่อมไม่กลัวว่าจะถูกตามล้างแค้น”
อิ่งสือซันยกกระบี่ขึ้นทาบจ่อลงบนลำคอของบุรุษสวมผ้าคลุมในทันใด กระบี่บาดลงบนเนื้อ ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมา
บนโลกนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่กลัวตาย? บุรุษสวมผ้าคลุมดิ้นขัดขืนอยู่สักพัก สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน “…พวกข้าเป็นคนของตลาดมืด”
“ตลาดมืดคืออะไรหรือ” อวี๋หวั่นถาม
บุรุษสวมผ้าคลุมตอบว่า “ตลาดมืด ก็คือกลุ่มกำลังที่อยู่ระหว่างเผ่าพ่อมดกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักทมิฬของพวกเรานับว่าเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด มีคนจ่ายเงินซื้อเด็กคนนี้ในราคาสูง แต่ราคาของการจับเป็นนั้นสูงกว่าจับตายสิบเท่า”
“ลูกค้าเป็นใคร” อวี๋หวั่นถามต่อ
บุรุษสวมผ้าคลุมตอบว่า “ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่าเป็นคนเผ่าพ่อมด ที่มาที่ไปของพวกเขาก็ไม่รู้แน่ชัด ตำหนักทมิฬของพวกเราสนใจเพียงทำการค้า ไม่สืบข้อมูลของลูกค้า”
อวี๋หวั่นลูบคาง “ถ้าหากจับได้ เจ้าจะนำคนไปส่งอย่างไร”
บุรุษสวมผ้าคลุมตอบว่า “คนผู้นั้นจะมาที่ตลาดมืดทุกวันที่สิบห้าของเดือน อีกสามวันจะเป็นวันที่สิบห้า เดิมทีข้าคิดว่าจะรีบกลับไปให้ถึงก่อน…”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ได้ ตกลงตามนั้น!”
บุรุษสวมผ้าคลุมตะลึงงัน ตกลงอะไรกัน?
…………………..