หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 494.1 ตีบทแตกกระจาย! (1)
พวกเขาพำนักอยู่ในเรือนของเวินซวี่เป็นการชั่วคราว
โชคดีที่เวินซวี่ทำงานให้กับราชินีแม่มด และมักจะทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาพาแขกแปลกหน้ากลับจวนมา จึงไม่มีใครคิดจะเข้ามาสืบสาวราวเรื่องจากเขา กลับเป็นอิ่งลิ่วซึ่งออกไปสำรวจในจวน และได้ข้อมูลที่สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนได้ไม่น้อย
“อะไรนะ? ราชาพ่อมดล้มป่วย?” อวี๋หวั่นกำลังจัดสัมภาระอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินคำพูดของอิ่งสือซัน ก็อดมองออกไปข้างนอกไม่ได้
อิ่งสือซันเข้าใจในทันใด เขาเดินออกไป มองไปรอบๆ แล้วปิดประตูลง
ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คน
อิ่งลิ่วพยักหน้า “ใช่ขอรับ หลายปีมานี้ราชาพ่อมดร่างกายอ่อนแอ เรื่องในเผ่าพ่อมดล้วนเป็นราชินีแม่มดกับสภาอาวุโสดูแล”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ ดูแล? จะยึดอำนาจละสิไม่ว่า
จะว่าไปก็แปลก ราชาพ่อมดแต่งงานกับภรรยาที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาเช่นนี้ เหตุใดต้องไปพัวพันกับสตรีอื่นด้วย
ถ้าหากราชินีแม่มดกับผู้อาวุโสสูงสุดไม่เคืองแค้นเขา แล้วจะไปเคืองแค้นใครได้?
นั่นสินะ เรื่องในครอบครัวต้องใสสะอาดไว้ก่อน
คำพูดที่ว่าน้ำใสเกินไปจะไร้ปลา[1]นั้นอาจใช้ไม่ได้กับความสัมพันธ์เช่นนี้ บนโลกนี้ไหนเลยจะมีผู้หญิงที่ทำตามหลักสามสิ่งที่ควรเชื่อฟัง สี่จรรยาที่ควรปฏิบัติ[2]กันเล่า? อันที่จริงก็เป็นเพียงคำพูดลอยๆ ก็เท่านั้น อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความสามารถใช้เล่ห์กลได้สักหน่อย
ราชินีแม่มดต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางยอมถอยลงมาหนึ่งก้าว ย่อมต้องมาตั้งหลักที่จวนสกุลเวินเสียก่อน
อวี๋หวั่นถามออกไปว่า “ต๋าหว่าเป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่ถูกจับได้ใช่ไหม?”
เหตุผลที่ทำให้ต๋าหว่าปลอมเป็นเวินซวี่ก็เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เคยพูดคุยกับเวินซวี่ แต่วันนี้อวี๋หวั่นชักไม่แน่ใจแล้วว่าการตัดสินใจนี้ถูกต้องหรือไม่
“ตอนนี้ยังไม่เป็นไรขอรับ” อิ่งลิ่วตอบ
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ จะไม่เอ่ยถึงนิสัยของนายท่านรองของสกุลเวินก็ไม่ได้ อิ่งลิ่วไปสืบความเรื่องนี้มา จึงได้รู้ว่าเวินซวี่คนนี้เป็นเพียงผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่ง ถือว่าตนเองเป็นน้องชายของราชินีแม่มดและหลานชายของผู้อาวุโสสูงสุด สร้างเรื่องไปทั่วเผ่าพ่อมด ไม่รู้ว่าทำลายชีวิตหญิงสาวตระกูลใหญ่ไปไม่รู้เท่าไรแล้ว
ฮูหยินรองใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่า ‘เวินซวี่’ กลับมา นางจึงไม่ได้คิดเอ่ยปากว่าจะมาพบหน้าสามีแม้แต่น้อย
อิ่งลิ่วครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดกับนายท่านเวินล้วนอยู่ในสภาอาวุโส ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวัน ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ล่วงลับไปแล้ว เวินซวี่มีพี่ใหญ่หนึ่งคน และมีน้องชายอีกสองคน ฐานะไม่อาจเทียบเท่าเขา ไม่จำเป็นต้องไปทักทาย หากพวกเขามา จะปฏิเสธไม่พบเขาก็ได้ ตัวตนพวกเราอยู่ที่สกุลเวินอาจไม่ถูกเปิดเผย”
ทันทีที่พูดออกไป พ่อบ้านเวินก็เข้ามา
พวกเขาได้ยินพ่อบ้านเวินรายงานจากด้านนอกห้องของต๋าหว่า “นายท่านรอง ฮูหยินเหมยมาขอรับ”
อวี๋หวั่นกับอิ่งสือลิ่วมองหน้ากัน แล้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ฮูหยินเหมยคือใคร”
อิ่งลิ่วครุ่นคิด แล้วตบเข่าฉาด “แย่แล้ว! นางคืออนุภรรยาของเวินซวี่! เป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด!”
ระหว่างที่อิ่งลิ่วกำลังสืบข้อมูลอยู่นั้น คนที่ได้ยินชื่อมากที่สุดก็คือฮูหยินเหมยคนนี้ นางเป็นสตรีที่เวินซวี่แย่งชิงมาจากพ่อมดคนหนึ่ง แรกเริ่มเดิมทีก็ร้องไห้จะหนีไปให้ได้ แต่ก็ถูกเวินซวี่เอาอกเอาใจ จนสุดท้ายก็ไม่คิดจะหนีไปอีก
เวินซวี่ผู้นี้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก กะล่อนไม่มีผู้ใดเกิน แต่กับสตรีที่ตนเองโปรดปรานกลับใจกว้าง หลังจากฮูหยินเหมยได้รับความโปรดปราน ชีวิตของตนไม่เพียงดีขึ้น ทั้งยังทำให้ความเป็นอยู่ของบ้านเดิมของนางดีขึ้น มีหน้ามีตาในเผ่าพ่อมดยิ่งขึ้นไปด้วย
ทันทีที่ฮูหยินเหมยก้าวเข้ามาในเขตเรือน ก็วิ่งไปยังห้องของเวินซวี่
ต๋าหว่าไม่ได้อยู่กับเยี่ยนจิ่วเฉาและคนอื่นๆ จึงไม่รู้ว่า ‘เขา’ มีอนุภรรยาอีกหลายคน ดังนั้นเมื่อฮูหยินเหมยโผเข้าหาเขา เขาจึงตกใจกลัวแทบแย่
“นายท่านรองเจ้าคะ~” ฮูหยินเหมยกอดแขนของเขา ออดอ้อนด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย “ท่านกลับมาแล้ว ทำไมถึงไม่ไปหาข้าบ้างละเจ้าคะ ไม่รู้หรือว่าตอนที่ท่านไม่อยู่ ข้าคิดถึงท่านมากเพียงใด?”
พ่อบ้านเวินดูคล้ายกับจะไม่รู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขามิได้มีท่าทางลุกลี้ลุกลน และรายงานต่อว่า “ฮูหยินหลานก็มาขอรับ”
ฮูหยินเหมยซึ่งกำลังกอดแขนต๋าหว่าได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ถมึงทึงลงทันใด “นางแพศยานั่นมาทำไมกัน นางไม่ได้ป่วยอยู่หรอกหรือ? หลายวันมานี้ไม่เห็นไปอวยพรฮูหยินรอง เหตุใดพอนายท่านรองกลับมา ก็กระดี๊กระด๊าลุกลงจากเตียงได้ทันที?!”
พ่อบ้านเวินยิ้มน้อยๆ
“นายท่านรอง! นายท่านรองเจ้าคะ!” หญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเนื้อแกมเหลืองกระวีกระวาดเข้ามาในห้อง
ทันทีที่เห็นใบหน้าอวบอิ่มของสตรีวัยแรกรุ่น ฮูหยินเหมยก็กัดฟันกรอด “นางผีบ้า!”
“ฮูหยินหลานคือใครอีก” ในห้อง อวี๋หวั่นถามขึ้นด้วยความสับสน
อิ่งลิ่วตอบอย่างกระดากใจว่า “คืออนุภรรยาที่เวินซวี่โปรดปรานเป็นอันดับสองขอรับ”
“เฮ้อ!” อวี๋อาหวั่นขอกลอกตาสักหน่อย!
อนุภรรยาของเวินซวี่ล้วนแต่งดงาม แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เขาแย่งมาจากคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินหลานผู้อ่อนเยาว์คนนี้ นางเห็นแก่คุณ(ทรัพย์)ธรรม(สิน)ความ(เงิน)ดี(ทอง)ของเวินซวี่ จึงยินยอมแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเขา
นางเข้ามาได้มานาน ก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาเหนือบรรดาพี่ๆ น้องๆ สาวงามคนอื่นได้สำเร็จ ติดอยู่เพียงว่าฮูหยินเหมยเจ้าแผนการ ฮูหยินหลานจึงไม่อาจเอาชนะนางได้สักที
แต่ก็ ใกล้แล้วละ!
มนุษย์ทุกคนล้วนแก่ชรา หลังจากผ่านพ้นคิมหันตฤดูนี้ไป ฮูหยินเหมยก็จะอายุยี่สิบหกปี ความงามของนางมีแต่จะร่วงโรย แต่ฮูหยินหลานกลับยังไม่ย่างเข้าวัยงามสะพรั่ง
ผู้ที่ฮูหยินเหมยรู้สึกริษยาที่สุดก็คือฮูหยินหลาน ริษยายิ่งกว่าฮูหยินรองซึ่งเป็นภรรยาเอกเสียอีก
“อ้าว ท่านพี่เหมยก็อยู่หรือเจ้าคะ!” ฮูหยินหลานเข้ามากอดแขนอีกข้างหนึ่งของต๋าหว่า พร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
ฮูหยินเหมยจึงแดกดันว่า “เจ้าไม่ได้ป่วยหรอกหรือ? เมื่อเช้าไม่ยักเห็นมาอวยพรฮูหยินรอง”
ฮูหยินหลานมองต๋าหว่าด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “ข้าป่วย แต่นายท่านรองเป็นยาของข้า นายท่านรองกลับมา อาการป่วยของข้าก็หายไปสิ้น”
นางพูดพลางเอนลงซบไหล่ของต๋าหว่า
ต๋าหว่ารู้สึกว่าร่างกายของตนเองแข็งเป็นหิน แทบขยับไม่ได้แล้ว!
เขาจะทำอย่างไรดี
ต๋าหว่ามีชีวิตอยู่จนป่านนี้ ยังไม่เคยเข้าใกล้สตรีด้วยซ้ำ!
แต่ในตอนนี้มีสาวงามถึงสองคนมาชิงดีชิงเด่นต่อหน้า เขาย่อมทำตัวไม่ถูก
เมื่อฮูหยินเหมยเห็นว่าฮูหยินหลานเอนซบ นางก็เอนศีรษะลงไปซบกับหัวไหล่ของต๋าหว่าบ้าง
ต๋าหว่ายิ่งนั่งนิ่งกว่าเดิม
ใครก็ได้ช่วยต๋าหว่าด้วย!
ต๋าหว่าไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อสตรีอย่างไรดี
“ศีรษะของท่านหนักเกินไป จะทำให้นายท่านรองเจ็บแขนเอาได้” ฮูหยินหลานยกมือขึ้น ผลักศีรษะของฮูหยินเหมยออกไป
ฮูหยินเหมยดันศีรษะของตนกลับมา “ศีรษะของใครกันแน่ที่หนัก? เจ้าเองก็สวมเครื่องประดับศีรษะน้อยเสียที่ไหน? คงไม่ได้สวมทุกชิ้นที่นายท่านรองมอบให้หรอกกระมัง?”
เมื่อฮูหยินหลานถูกตอกกลับเช่นนี้ จึงจับเส้นผมของตนเอง “ข้าสวมทุกชิ้นแล้วก็ยังไม่หนักเท่าท่าน! ลำพังแป้งชาดบนหน้าของท่าน ก็คงหนักเกือบสองจินแล้ว!”
ฮูหยินหลานยังเยาว์วัย ไม่ใช้เครื่องประทินโฉมมากนักก็ยังดูงดงามสดใส ฮูหยินเหมยไม่อาจเทียบนางได้ เมื่ออายุมากขึ้นย่อมร่วงโรย จำต้องเสริมแต่งมากสักหน่อย เรื่องนี้เป็นหนามทิ่มแทงใจของฮูหยินเหมยมาโดยตลอด เมื่อถูกฮูหยินหลานเอ่ยถึงอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ นางก็เกิดโทสะในทันที
ทั้งสองคนกำลังจะเปิดฉากทะเลาะกัน
ทันใดนั้นพ่อบ้านเวินซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ “ฮูหยินรอง ท่านมาแล้วหรือขอรับ?”
ฮูหยินรองเป็นภรรยาคนแรกของเวินซวี่ อายุเท่ากับเวินซวี่ ปัจจุบันอายุยี่สิบเจ็ดปี นับเป็นคู่สามีภรรยาที่ฐานะเหมาะสมกัน ทั้งสองครอบครัวต่างพึงพอใจกับการแต่งงานของพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินซึ่งคร่ำครึและเย็นชาผู้นี้ไม่ได้รับความโปรดปรานเท่าไรนัก
“นางน่ะหรือ…” เมื่อเอ่ยถึงฮูหยินคนนี้ อิ่งลิ่วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า แต่งงานมาแล้วนับสิบปี แต่ก็ยังไม่มีบุตรสักคน เมื่อเห็นว่าอนุภรรยาคนอื่นๆ ทยอยกันมีบุตรทีละคนๆ หากบอกว่าไม่รู้สึกปวดใจก็คงจะเป็นการโกหก แต่เมื่อนานวันเข้า นางก็เริ่มชินชา
“หลายปีก่อนนางมีลูกคนหนึ่ง แต่ไม่ทันได้ลืมตาดูโลก” อิ่งลิ่วบอก
[1] น้ำใสที่เกินไปจะไร้ปลา มาจากภาษิตว่า น้ำที่ใสเกินไปจะไร้ปลาฉันใด ผู้ที่เข้มงวดเกินไปจะไร้มิตรสหายฉันนั้น
[2] สามสิ่งที่ควรเชื่อฟัง สี่จรรยาที่ควรปฏิบัติ (三从四德) มาจากคำสอนของขงจื่อ เพื่อใช้สอนสั่งสตรี แบ่งเป็น สามสิ่งที่ควรเชื่อฟัง กล่าวไว้ว่าหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อออกเรือนไปแล้วต้องเชื่อฟังสามี เมื่อสามีลาลับโลกนี้ไปแล้วต้องเชื่อฟังบุตรชาย ส่วนสี่จรรยาที่ควรปฏิบัติ ได้แก่ มีคุณธรรม กิริยามารยาทดี มีวาจาไพเราะ ซื่อสัตย์ ไม่กลับกลอก มีรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่งกายเรียบร้อย และดูแลการบ้านการเรือน