หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 496.2 พบราชินีแม่มด (2)
เวินซวี่เป็นเจ้านาย เขาเดินอย่างองอาจห้าวหาญอยู่ด้านหน้า ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นองครักษ์ เขาเดินด้วยสีหน้าเย็นเยียบอยู่ด้านหลัง หากไม่รู้ มองเผินๆ อาจคิดว่าเขาเป็นเจ้านายตัวจริง
แน่นอนว่าเหล่าสาวกได้แต่คิดในใจ ที่พวกเขาไม่พูดก็เพราะพวกเขาไม่กล้า
ด้านในตำหนักของราชินีแม่มดนั้นหรูหราว่าที่เห็นภายนอกมาก พื้นตำหนักทำจากหินอัคนีขัดเสียจนเงาวับ ชั้นวางของหล่อขึ้นจากทองคำส่องแสงวับวาว ตำหนักแลดูลึกลับ แต่ก็วิจิตรเหลือเกิน
ราชินีแม่มดเป็นผู้หญิงที่งามสะคราญ ทว่าแตกต่างกับผู้หญิงคนอื่นที่อวี๋หวั่นเคยพบมา นางสวมเสื้อคลุมยาวสีดำรัดเอว ชายกระโปรงสีดำระกับพื้น นางรูปร่างสะโอดสะอง ราวกับเป็นสาวงามผู้ครองพลังเวท
ความน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากร่างของนาง
ประโยคหนึ่งแล่นผ่านสมองของอวี๋หวั่น…ราชินีครองพิภพ!
ราชินีแม่มดรักน้องชายเป็นที่สุด สายตาของนางย่อมไม่สนใจผู้ใด นางยกมือขึ้น รีบร้อนเข้าไปหาน้องชายซึ่งไม่พบหน้ากันมานาน รอยยิ้มอ่อนโยนวาดผ่านใบหน้าของนาง
ยามที่นางไม่ยิ้ม ใบหน้าของนางดูเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง แต่เมื่อยิ้มออกมากลับดูสดใส ราวกับแสงอาทิตย์แห่งเหมันตฤดู
“ซวี่เอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว” ราชินีแม่มดจับมือน้องชาย
น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยพลังของผู้เป็นราชินี
เดิมทีต๋าหว่ารู้สึกกลัวราชินีแม่มด บัดนี้กลับถูกมนตร์เสน่ห์ของรอยยิ้มและน้ำเสียงของนาง ทำให้คิดว่าตนเองเป็นเวินซวี่เสียแล้ว
ต๋าหว่าไม่ตื่นตระหนกอีกต่อไป
เขาจับมือนาง พร้อมกับเอ่ยว่า “ท่านพี่”
ทันทีที่ได้ยินคำว่าท่านพี่ ราชินีแม่มดก็ยิ้มกว้างและสดใสกว่าเดิม
ราชินีแม่มดดึงมือของเขา พาเขาเข้ามานั่งข้างตน “ไม่พบกันนาน ให้พี่ได้มองเจ้าชัดๆ สักหน่อย”
ราชินีแม่มดพูดพลางลูบใบหน้าของน้องชาย
ต๋าหว่ากลัวเหลือเกินว่านางจะทำให้หน้ากากของเขาหลุด ภายหลังจึงรู้ว่าเขาคิดมากไปเอง หน้ากากนั้นแนบสนิทไปกับใบหน้าของเขาจนเป็นเนื้อเดียวกัน
“ซวี่เอ๋อร์เจ้าผอมลง” ราชินีแม่มดนึกสงสารน้องชาย
สตรีผู้กุมอำนาจล้นฟ้า กลับรักและเอ็นดูคนคนหนึ่งได้มากเพียงนี้ เห็นแล้วรู้สึกประทับใจเหลือเกิน ต๋าหว่าแทบน้ำตารื้น มิน่าเล่าเวินซวี่ถึงยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อพี่สาว
“ข้าน้อยถวายบังคมราชินีแม่มด” อวี๋หวั่นย่อเขาตามถวายบังคม
ในตอนนั้นราชินีแม่มดจึงได้ละสายตาจากน้องชาย แล้วหันไปมองสตรีท้องโย้ที่ยืนอยู่ “เจ้าคือผู้ที่ซวี่เอ๋อร์พามาหรือ?”
“เพคะ” อวี๋หวั่นตอบ
“เดินมานี่ ให้ข้าดูสักหน่อย” ราชินีแม่มดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
น้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งใช้กับเวินซวี่กลับถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงดุดันทรงพลังของราชินี
อวี๋หวั่นค่อยๆ เดินเข้าไป
ฤดูร้อนของเผ่าพ่อมดไม่ได้ร้อนระอุเฉกเช่นในต้าโจว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่คนท้องมักจะร้อนง่ายกว่าคนทั่วไป อวี๋หวั่นสวมเสื้อคลุมผ้าเนื้อโปร่ง ขนาดใหญ่กว่าปกติ ด้านในเป็นชุดหลัวฉวินเอวสูง เป็นชุดที่สวมสบาย จึงเห็นท้องของเธอไม่ชัดเจน
“กี่เดือนแล้ว” ราชินีแม่มดถาม
“ทูลราชินีแม่มด หกเดือนกว่าแล้วเพคะ” อวี๋หวั่นตอบ
“เงยหน้าขึ้น” ราชินีแม่มดบอก
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นตามที่นางบอก
ใบหน้าของอวี๋หวั่นเล็กเท่ามือ แม้ว่าเธอจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมา ใบหน้าอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ก็ยังดูงดงาม องคาพยพบนใบหน้าได้รูป คนที่งามกว่าเธอมิใช่ว่าจะไม่มี แต่ก็ต่างออกไป หากมองดูแต่ละส่วน อวี๋หวั่นอาจมิได้สะดุดตา แต่เมื่อมองโดยรวมแล้วกลับงามจนไม่อาจละสายตาได้
ราชินีแม่มดมองเธออย่างพินิจพิจารณา
“เป็นคนที่ไหน” ราชินีแม่มดเอ่ยถาม
“นางเป็นคนตลาดมืด” ต๋าหว่าตอบ
เห็นอยู่ว่านางถามอวี๋หวั่น ต๋าหว่าก็พูดแทรกขึ้นมา ราชินีแม่มดไม่กล่าวโทษต๋าหว่า แต่กลับหันไปมองเขา “ที่บ้านมีใครบ้าง”
ต๋าหว่าพูดไปตามบทที่ซักซ้อมกันไว้ตั้งแต่เช้า “ไม่มีขอรับ นางเป็นเด็กกำพร้า เป็นสาวใช้อยู่ที่ตำหนักทมิฬ ข้าพบนาง จึงซื้อตัวนางมา”
“เจ้านี่นะ” ราชินีแม่มดจิ้มไปยังศีรษะของต๋าหว่า แล้วถลึงตาใส่เขา แต่กลับมิได้มีคำตำหนิออกมาจากปากนาง “เจ้าเองก็มีอนุอยู่ที่จวนตั้งมาก น่าเสียดายที่หลายปีมานี้กลับได้มาเพียงเด็กผู้หญิงสองคน ทั้งยังเป็นลูกอนุอีก หากท้องนี้เจ้าได้ลูกชาย ข้าจะให้รางวัลนาง”
หมายความว่านางจะยกสถานะให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลอบคิดว่า จะให้รางวัลอย่างไรกัน? จะปลดตำแหน่งของฮูหยินรอง แล้วยกให้ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเธอเป็นภรรยาเอก?
ดูแล้วราชินีแม่มดคนนี้รักน้องไร้ขีดจำกัดจริงๆ
และนั่นหมายความว่าราชินีแม่มดกับผู้อาวุโสสูงสุดต้องจัดการผู้อาวุโสสามเช่นกัน
ในตอนนี้พวกเขาต้องการผู้อาวุโสสามก็เพราะราชาพ่อมดยังมีชีวิตอยู่ และยังเป็นเพราะราชินีแม่มดไม่อาจให้กำเนิดผู้สืบทอดบัลลังก์ที่เหมาะสม พวกเขาต้องร่วมมือกับผู้อาวุโสสามคานอำนาจกับราชาพ่อมด แต่เมื่อใดที่ราชาพ่อมดไม่อยู่แล้ว ผู้อาวุโสสามที่กุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่น่ากลัวที่สุดของพวกเขา
ราชินีแม่มดยังพูดคุยกับต๋าหว่าอีกพักใหญ่ ระหว่างนั้น หลีชั่วและหงหลวน แม่มดคนสนิทของราชินีแม่มดก็รินชาให้กับต๋าหว่า ต๋าหว่าทำท่าทางเพลิดเพลินกับของอร่อย ไม่ได้ใส่ใจมองพวกนาง
ราชินีแม่มดมอบของบำรุงครรภ์ให้อวี๋หวั่นอีกมาก ให้คนพาอวี๋หวั่นไปพักในห้อง จากนั้นจึงคุยเรื่องสำคัญกับน้อง
ชาย “ข้าได้ยินว่าเจ้าพาเด็กคนนั้นมาแล้วหรือ?”
“เขารออยู่ด้านนอกขอรับ” ต๋าหว่าตอบ
ราชินีแม่มดให้คนพาโจวจิ่นเข้ามา
เด็กอายุเก้าขวบ ร่างกายผ่ายผอม ทว่าท่าทางผึ่งผายสง่างาม คิ้วโก่งได้รูป ใบหน้างดงามดุจหยก
บุตรชายของราชินีแม่มดอายุสิบเอ็ดขวบ ใบหน้าของเขาถอดแบบมาจากมารดา แต่เมื่อเทียบกับเด็กผู้ชายตัวน้อยคนนี้ ก็ยังนับว่าด้อยกว่าอยู่หลายส่วน
เมื่อโจวจิ่นเห็นราชินีแม่มด เขาไม่ได้คำนับ เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
“เจ้าชื่ออะไร” ราชินีแม่มดถาม
“โจวจิ่น” เขาตอบ
ความน่าเกรงขามของราชินีแม่มดนั้น แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่อาจต้านทานได้ ทว่าเด็กอายุเก้าขวบคนหนึ่ง กลับยืนอยู่ได้โดยไม่ครั่นคร้าม
“มานี่” ราชินีแม่มดกล่าว
โจวจิ่นเดินตรงเข้าไป
ราชินีแม่มดยกมือขึ้น กระชากเสื้อผ้าของเขาออก!
ต๋าหว่าตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา!
ในตอนนั้นเขาคิดว่าราชินีแม่มดจะทำร้ายโจวจิ่น!
โจวจิ่นยังคงเยือกเย็น ราวกับผู้ที่ถูกฉีกเสื้อผ้าออกนั้นไม่ใช่ตน!
ราชินีแม่มดจ้องมองโจวจิ่น จากนั้นสายตาของนางก็เคลื่อนไปบนหลังของเขา “ผู้ใดสักให้เจ้า”
“ข้าจำไม่ได้” โจวจิ่นบอก
ราชินีแม่มดมองเขา “เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?”
แม้แต่บุตรชายของราชินีแม่มดเองยังไม่ใจกล้าถึงเพียงนี้
บนร่างกายของเขาไม่มีสัญลักษณ์ของราชาพ่อมด แต่เรื่องรอยสักนี้น่าสงสัย อีกทั้งบุคลิกและความอดทนของเด็กคนนี้ก็น่าสงสัย ราชินีแม่มดคล้ายกับจะมองเห็นเงาเลือนรางของราชาพ่อมดครั้นยังเยาว์วัยในร่างของเด็กคนนี้
“ท่านพี่” ต๋าหว่าเอ่ยปาก
ราชินีแม่มดให้คนนำเสื้อผ้าสะอาดมา และลงมือเปลี่ยนให้โจวจิ่นด้วยตนเอง “พี่เขยเจ้านอนป่วยอยู่นานแล้ว
นานๆ เจ้าจะมาสักที ไปหาเขาพร้อมกับข้าสักหน่อยเถิด”
ในที่สุดก็จะได้พบราชาพ่อมดแล้วหรือ? ต๋าหว่าพยายามกดความตื่นเต้นซึ่งถาโถมขึ้นในใจ เขาเหลือบมองโจว
จิ่น สีหน้าของโจวจิ่นในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโจวจิ่นตอนที่มาถึงที่นี่
น่าแปลก สรุปแล้วเขาไม่ใช่ลูกของราชาพ่อมดหรอกหรือ?
จะได้พบหน้าพ่อแท้ๆ ไฉนจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยเล่า!
ราชินีแม่มดยืนขึ้น จูงมือของโจวจิ่นด้วยความอ่อนโยน “เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าเหมือนกับเพื่อนคนหนึ่งของราชาพ่อมดมาก ไม่แน่ว่าเมื่อราชาพ่อมดเห็นเจ้าแล้ว อาการป่วยของเขาจะดีขึ้นบ้าง”
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะดูผิวเผินคล้ายกับกำลังพักผ่อน แต่ความจริงแล้วเธอกำลังเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในตำหนัก เธอเห็นว่าราชินีแม่มดจูงมือโจวจิ่นออกไป ท่าทางราวกับเป็นมารดาผู้อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ส่วนต๋าหว่าก็เดินตามต้อยๆ อยู่ด้านหลัง
ทั้งสามคนเดินออกไปจากตำหนักของราชินีแม่มด
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสายตาให้อิ่งสือซัน อิ่งสือซันเข้าใจในทันที และเดินตามไป
“นั่นใคร?” ราชินีแม่มดถามพลางมองไปยังอิ่งสือซัน
“องครักษ์คนสนิทของข้า” โจวจิ่นตอบ
ราชินีแม่มดลูบศีรษะของโจวจิ่นอย่างอ่อนโยน “ข้าปกป้องเจ้าได้ ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์”
โจวจิ่นไม่ตอบ
“แต่ในเมื่อเขาตามมาแล้ว ก็ตามมาเถิด” ราชินีแม่มดยิ้ม
พวกเขาเดินอ้อมผ่านสวนดอกไม้ซึ่งประดับไปด้วยโขดหินและสายน้ำ จากนั้นก็เดินเข้าไปยังตำหนักหลังหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วงบานสะพรั่ง
ทันทีที่เห็นดอกไม้สีม่วง โจวจิ่นก็ชะงักฝีเท้าไป
ราชินีแม่มดมองโจวจิ่น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ารู้จักดอกไม้นี้หรือ? เป็นดอกไม้ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ หลายปีก่อนแม่มดคนหนึ่งปลูกเอาไว้”
…………………………………………..