หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 497 พ่อลูกพบหน้า
ขณะที่ราชินีแม่มดพูด สายตาของนางก็จับจ้องไปยังใบหน้าของโจวจิ่น
ต่อให้เยือกเย็นถึงเพียงใด อย่างไรก็เป็นเพียงเด็ก ไหนเลยจะไม่มีท่าทีผิดสังเกต กระนั้นนางก็ต้องผิดหวัง สีหน้าของโจวจิ่นยังคงเรียบเฉยเฉกเช่นก่อนหน้านี้
“เมื่อครู่เจ้าหยุดเดินเพราะอะไรหรือ เจ้าเคยเห็นดอกไม้นี้ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?” ราชินีแม่มดเอ่ยถาม
“ไม่เคยเห็น มันสวย” โจวจิ่นตอบ
ราชินีแม่มดยิ้มพลางมองเขา “เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน?”
โจวจิ่นเงยหน้าขึ้น สบตาราชินีแม่มดโดยปราศจากความหวั่นเกรง เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่มองหน้านางอยู่เช่น
นั้น
ราชินีแม่มดยกยิ้มมุมปาก ค้อมตัวลงเล็กน้อย ปลายนิ้วเย็นเฉียบของนางจับปลายคางของเขาไว้ “เด็กโกหกไม่น่ารักเอาเสียเลย”
โจวจิ่นยังคงนิ่งเงียบ สายตาที่ใช้มองนางนั้นปราศจากความหวาดหวั่นและลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ราชินีแม่มดหัวเราะเย็นชา นางปล่อยมือจากคางของเขา แล้วเปลี่ยนไปจับมือของเขาแทน
ต๋าหว่ายืนอยู่ด้านข้าง แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อครู่เขาเรียก ‘ท่านพี่’ เสียสนิทสนมอย่างนั้นไป
ได้อย่างไรกัน? เห็นชัดๆ ว่านางเป็นอสรพิษในคราบสาวงาม จะถูกกัดตอนไหนก็ไม่รู้
“ราชินีแม่มด” ด้านนอกของห้องนอน สาวกคนหนึ่งคำนับราชินีแม่มด เมื่อเขาเห็นว่าราชินีแม่มดจูงเด็กคนหนึ่งมา นัยน์ตาของเขาก็กระตุกวูบ “นี่คือ…”
ราชินีแม่มดตอบว่า “คือแขกของราชาพ่อมด เขาตื่นหรือยัง?”
สาวกมองโจวจิ่นด้วยความสงสัย แล้วตอบว่า “ตื่นแล้วขอรับ กำลังนอนอยู่”
ราชินีแม่มดเชิดหน้าขึ้น แล้วจูงโจวจิ่นเข้าไปในห้องนอน
หน้าต่างห้องนอนปิดสนิท ในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากตะเกียงน้ำมัน แสงริบหรี่สีเหลืองนวลส่องสะท้อนไปยังม่านซึ่งใช้ม้วนขึ้นลง ราชินีแม่มดเดินมาหยุดตรงหน้าม่าน
มีเสียงดังมาจากม่าน คล้ายกับคนกำลังพลิกตัว ตามมาด้วยเสียงไอเบาๆ
โจวจิ่นมองไปยังม่านเบื้องหน้า มือข้างที่ไม่ถูกราชินีแม่มดจับไว้กำแน่น
ราชินีแม่มดมองผ่านม่านเข้าไป แล้วยิ้มออกมา “ราชาพ่อมด ข้ากับซวี่เอ๋อร์มาหาท่าน ข้าพาแขกตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย เขาเดินทางมาจากประเทศมรกต อายุเก้าขวบ มีพลังเวทระดับเทียนขั้นสูงสุด ท่านคงอยากพบเขากระมัง?”
เสียงไอจากด้านหลังม่านหยุดลงทันใด
ราชินีแม่มดยกยิ้มมุมปาก “ซวี่เอ๋อร์ เจ้าออกมาก่อน ให้ราชาพ่อมดได้เห็นหน้าแขกตัวน้อยคนนี้ก่อน”
ต๋าหว่ามองไปยังโจวจิ่นด้วยความกังวล
โจวจิ่นพยักหน้า
ต๋าหว่ากระแอม แล้วคำนับอยู่ด้านหน้าม่าน “พี่เขย ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อได้ยินว่าพี่เขย ราชินีแม่มดก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่ทันไร นางก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ แล้วถอยออกไป
ต๋าหว่าก็ออกจากห้องเช่นกัน
ทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกมา ราชินีแม่มดชะงักฝีเท้า นางเอ่ยขึ้นโดยไม่หันหลังกลับมา “เจ้าก็ออกไปด้วย”
“เพคะ” สาวกหญิงออกมาจากด้านหลังม่าน แล้วเดินตรงออกไปจากห้องนอนทันที
ในห้องอันโอ่โถงแห่งนี้ เหลือเพียงโจวจิ่นและราชาพ่อมดซึ่งอยู่ด้านหลังม่าน สถานที่เดิมทีเงียบสงัดอยู่แล้ว ก็ยิ่งเงียบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ต๋าหว่าไม่เดินไปไกล เขาหยุดอยู่ที่ลานด้านหน้า ตัวเขาออกมาแล้ว แต่ในใจยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้
“เจ้ามองอะไร” ราชินีแม่มดถาม
ต๋าหว่านัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง ตอบว่า “ข้ากำลังดูปฏิกิริยาของราชาพ่อมดอยู่ ท่านว่าเด็กคนนี้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางจริงหรือ? พวกเราเดินออกมาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกจริงหรือไม่”
“เหอะ” ราชินีแม่มดยกมือขึ้นเด็ดดอกไม้สีม่วงในกระถางออกมา “จะรู้ได้อย่างไร? เรื่องนี้ยังต้องรู้อีกหรือ? คิ้วของเด็กคนนั้นถอดแบบมาจากสตรีคนนั้นไม่มีผิด หากไม่ใช่ลูกของนางก็แย่แล้ว!”
“อ่า…” ต๋าหว่าพูดไม่ออก ที่แท้โจวจิ่นก็หน้าเหมือนท่านแม่ของเขาหรอกหรือ? เช่นนั้นราชินีแม่มดก็จำโจวจิ่นได้แต่แรกแล้วน่ะสิ? แต่ว่าเหตุใดยังพาโจวจิ่นเข้าไปหาราชาพ่อมดอยู่อีกเล่า?
ไม่ได้ทำเกินจำเป็นหรอกหรือ?
ราชินีแม่มดคล้ายกับจะเดาความคิดของน้องชายได้ นางค่อยๆ ลูบกลีบดอกไม้บางในมือ “ข้าจะให้เขาได้เห็นลูกชายของเขา ให้เขาได้รู้ว่าข้าจับลูกของนางแพศยานั่นได้แล้ว ให้เขาได้เห็นมันตายด้วยน้ำมือของข้า ข้าจะทำลายสิ่งที่เขาโหยหาที่สุดให้แหลกไปต่อหน้าต่อตา!”
ต๋าหว่าตัวสั่นเทิ้ม น่ากลัวเหลือเกิน!
ราชาพ่อมดไม่ได้เรียกโจวจิ่นเข้าไปหาตนเอง เขาเพียงมองลอดผ่านม่านออกมา และเห็นเด็กชายท่าทางสุขุมคนหนึ่ง “จะ…เจ้าไม่ควรมาที่นี่…”
เขาไม่อยากให้โจวจิ่นเห็นสภาพของตนเอง แต่ทันใดนั้น ม่านซึ่งขวางอยู่ด้านหน้าของเขาก็ร่วงลงมา…
ในตำหนักราชินีแม่มด
อวี๋หวั่นถูกพามานั่งอยู่ในเรือนด้านใน เป็นเพราะเธอกำลังตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของ ‘เวินซวี่’ เหล่าสาวกหญิงจึงปฏิบัติต่อเธอด้วยความเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษ
อวี๋หวั่นวางขนมในมือลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปาก แล้วพูดว่า “ข้าจะนอนสักพัก พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”
สาวกหญิงทั้งสองคนมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นก้าวขึ้นมาด้านหน้า “แม่นางนอนเถิดเจ้าค่ะ พวกข้าอยู่ในนี้จะไม่รบกวน”
“พวกเจ้าจับตาดูอยู่เช่นนี้ ข้านอนไม่หลับ” อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่ยี่หระ
อย่างไรเสียเธอก็ไม่ใช่เด็กกำพร้าจริงๆ แต่เป็นเชื้อพระวงศ์ของหนานจ้าว และเป็นชายาของซื่อจื่อแห่งต้าโจว ความน่าเกรงขามไหลเวียนอยู่ในร่างของเธอ สาวกทั้งสองนึกอยากปฏิเสธ แต่ไม่รู้ทำไม ทันทีที่สบตากับดวงตาคู่นั้นของอวี๋หวั่น พวกนางก็พูดไม่ออก
“ยังไม่ไปอีกหรือ?” อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ทั้งสองถูกสายตาของอวี๋หวั่นทำให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง เห็นอยู่ว่าไม่ใช่สายตาที่เย็นชา แต่กลับทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
สุดท้ายแล้วทั้งสองจึงถอยออกไป
พวกนางนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู มีลมสายหนึ่งพัดผ่านไป ทั้งสองกะพริบตาปริบๆ ทันใดนั้นก็หันไปมองหน้ากัน
“เมื่อกี้มีอะไรผ่านไปไหม?”
“ขะ…ข้าไม่เห็น…”
“แม่นาง…”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่ารบกวน!”
อวี๋หวั่นตวาด พวกนางต่างเงียบกริบ
อวี๋หวั่นปล่อยม่านลง ก็เห็นร่างของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งปราดเข้ามา เธอจึงกระซิบถามว่า “ท่านทำได้อย่างไรกัน เหตุใดสองคนนั้นถึงไม่เห็นท่าน”
“ใกล้จะถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
หลายวันมานี้มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเดินทาง จนลืมไปว่าเสียสนิทว่าคืนพระจันทร์เต็มดวงใกล้เข้ามาแล้ว
“รู้แต่แรก ข้าก็ไม่พาท่านมาวังหลวงด้วยหรอก” อวี๋หวั่นกล่าวโทษตนเอง
“ยังไม่ถึงเวลา ข้าไม่เป็นไร” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เผ่าพ่อมดมียอดฝีมือจำนวนมาก หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา อาจถูกมองออกได้
อวี๋หวั่นเข้าใจดีว่าที่เขาพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะต้องการให้เธอวางใจ เขามักจะไม่ทำเรื่องที่ตนเองไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเขาบอกว่าไม่เป็นไร ก็หมายความว่าไม่เป็นไรจริงๆ
เธอจับมือของเขามา แล้วนั่งลงข้างเขา “ท่านว่าราชาพ่อมดจะยอมรับโจวจิ่นไหม? ข้าหมายถึง เขาจะจำได้ไหมว่าโจวจิ่นเป็นลูกของตนเอง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาจับมืออวบของเธอ “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เขาเป็นถึงราชาพ่อมด คงไม่ถึงกับจำลูกตนเองไม่ได้หรอก ส่วนจะยอมรับหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะราชินีแม่มดรู้ตัวตนของโจวจิ่นแล้ว”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” อวี๋หวั่นถาม
“สายตา” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
สายตาที่ราชินีแม่มดมองโจวจิ่น แม้ว่าจะปกปิดไว้เป็นอย่างดี จนแม้แต่ต๋าหว่าซึ่งอยู่ใกล้นางตลอดเวลาก็ยังมองไม่ออก แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลอกเยี่ยนจิ่วเฉาได้
“นางมองออกได้อย่างไร” อวี๋หวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” เยี่ยนจิ่วเฉาสายตาแน่วแน่
อวี๋หวั่นลูบคาง “ในเมื่อนางรู้ตัวตนของโจวจิ่นแล้ว เหตุใดต้องให้ราชาพ่อมดยืนยันด้วย”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงขึ้นจมูก “นางไม่ได้ต้องการให้ราชาพ่อมดยืนยัน แต่นางต้องการให้ราชาพ่อมดกับโจวจิ่นพบหน้ากัน แล้วนางก็จะสังหารโจวจิ่นต่อหน้าต่อตาราชาพ่อมด”
“ผู้หญิงคนนี้!” อวี๋หวั่นหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เธอเดาได้แต่แรกแล้วว่าราชินีแม่มดไม่ใช่คนดีอะไร เพียงแต่ไม่คิดว่าจะใจคอโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ มีสิ่งใดโหดเหี้ยมไปกว่าการสังหารโจวจิ่นต่อหน้าราชาพ่อมดอีกหรือ? ก่อนหน้านี้ราชาพ่อมดกับแม่มดคนนั้นทำให้นางชอกช้ำไว้มากเท่าใด นางก็จะเอาคืนร้อยเท่าพันเท่า!
เมื่อเทียบกับนางแล้ว ต่อให้เป็นหนานกงเยี่ยนหรือหลานจี ก็นับว่าอ่อนหัดกว่ามาก นี่สิจึงจะเรียกว่าแทงมีดทะลุหัวใจ ทำให้รู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น เสียใจกับสิ่งที่เคยทำไปตลอดชีวิต!
อวี๋หวั่นคล้องแขนของเยี่ยนจิ่วเฉาไว้ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พูดตามตรง ข้าไม่ได้เห็นใจราชาพ่อมด แต่ข้าสงสารโจวจิ่น อายุแค่นี้กลับต้องแบกรับความแค้นของคนอื่น โชคดีที่ยังเตรียมการไว้ล่วงหน้า!”
ในตำหนักราชาพ่อมด โจวจิ่นค่อยๆ เดินออกมาจากห้องนอน
ราชินีแม่มดเดินเข้าไปหาเขาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับลูบศีรษะของเขา “เป็นอย่างไรบ้าง พบหน้าคนผู้นั้นหรือยัง?”
โจวจิ่นเงยหน้ามองนาง
ราชินีแม่มดไม่ได้ใส่ใจว่าเขาตอบหรือไม่ มือที่ลูบศีรษะเขาเคลื่อนลงมาที่ปรางแก้มขาว “ดูเจ้าสิ หน้าตางดงาม เพิ่งอายุเก้าขวบ แต่กลับเก่งกาจกว่าพี่ชายของเจ้าเสียอีก”
โจวจิ่นปล่อยให้นางจับแก้มของเขา ราวกับผู้ที่กำลังตกอยู่ในอันตรายนั้นไม่ใช่ตัวเขา
เมื่อราชินีแม่มดจับแก้มของเขาจนพอใจ จึงดึงมือกลับมา แล้วชี้เข้าไปด้านในห้องนอน “คนคนนั้นกำลังจะตาย
เจ้าคิดจะช่วยเขาหรือ?”
โจวจิ่นยังคงนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องไปที่นาง
ดวงตาใสแต่เฉียบแหลมของเขา มองจนราชินีแม่มดทำอะไรไม่ถูก
ราชินีแม่มดยกยิ้มมุมปาก แล้วค้อมตัวมองลงมา “อันที่จริงเรื่องนี้ช่างง่ายดายนัก เจ้ามอบของสิ่งหนึ่งให้ข้า ข้าจะช่วยชีวิตของเขากลับมา”
……………………………………………………..