หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 5 น้ำหมัก
ข้าทำให้เจ้าสะดุด แต่เจ้าล้มลงด้วยตัวเอง อย่าทำให้แม่นางตู้ต้องเดือดร้อนไปกับเจ้าด้วยสิ
แท้จริงแล้วเหยียนหรูอวี้ไม่ต้องทำให้แม่นางตู้เดือดร้อนไปด้วยก็ได้ แต่หากเป็นเช่นนั้น นางก็อาจจะล้มกระแทกพื้นอย่างแรง การตอบสนองตามสัญชาตญาณยามวิกฤต ทำให้เหยียนหรูอวี้เลือกปกป้องตัวเองให้ได้มากที่สุด ผลก็คือล้มลงทั้งคู่ น้ำกุหลาบชั้นเลิศที่แม่นางตู้เตรียมไว้ก็เสียหายไปเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของอวี๋หวั่นแนบเนียน เธอบอกว่าไม่ได้คว่ำก็คือไม่ได้คว่ำ
หากเหยียนหรูอวี้ยืนกรานจะโยนความผิดให้อวี๋หวั่น ก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดที่คนกล่าวว่า ‘ไร้เหตุผล’
เหยียนหรูอวี้พูดอะไรไม่ได้ น้ำกุหลาบก็ไม่มีแล้ว เสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนสกปรก แต่ก็ไม่อาจเรียกร้องความเป็นธรรมจากที่ใด นางทำได้เพียงกดเก็บความโกรธแค้นขุ่นเคืองไว้ และพาแม่นางตู้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง
“แม่นางตู้ ที่บ้านท่านมีน้ำกุหลาบที่ทำไว้อีกหรือไม่? ข้าจะรีบให้คนไปนำมาประเดี๋ยวนี้” เหยียนหรูอวี้เอ่ยกับแม่นางตู้ หลังจากระงับโทสะและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
แม่นางตู้ส่ายหัว “ที่ปรุงได้ดีมีเพียงโถนี้”
น้ำกุหลาบหาใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายดาย จะต้องใช้กลีบกุหลาบที่เก็บมาสดๆ ซึ่งช่วงที่ดอกกุหลาบบานคือคิมหันต์ฤดู นางไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากเพียงใด กลีบกุหลาบที่เก็บมาจากเรือนกระจกกระเช้าหนึ่ง ทำออกมาได้เพียงโถเล็กๆ โถเดียว
“เช่นนั้นเราจะทำเยี่ยงไรดี?” เหยียนหรูอวี้ขมวดคิ้วมุ่น แม้พวกนางจะไม่มีน้ำกุหลาบแล้ว แต่สกุลอวี๋ก็ไม่มีเช่นกัน อย่างไรก็ต้องอยู่ในความไม่ประมาท การสูญเสียอาวุธหาใช่เรื่องดีในสงคราม นอกจากพวกนางสองคนก็ยังมีพ่อครัวจากโรงเตี๊ยมเวยหย่วนอีกคนหนึ่ง
โรงเตี๊ยมเวยหย่วนไม่มีความสัมพันธ์ใดกับองค์ชายรอง พวกเขาขึ้นมาเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง นางไม่ยอมพ่ายแพ้ให้สกุลอวี๋ มีหรือจะยอมพ่ายแพ้ให้สกุลอื่น?
เหยียนหรูอวี้กล่าวด้วยความกังวล “ชาวประมงได้ประโยชน์เพราะนกสู้กับหอย เช่นนี้โรงเตี๊ยมเวยหย่วนจะไม่ชนะไปง่ายๆ เลยหรือ?”
“จริงๆ แล้ว” แม่นางตู้หยุดชะงักราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่าง “ข้ายังมีอีกวัตถุดิบหนึ่งที่ตั้งใจจะเก็บไว้ใช้ยามเผชิญหน้ากับท่านอาจารย์”
ดวงตาของเหยียนหรูอวี้เป็นประกาย “มันคืออันใดรึ? มีโอกาสชนะมากกว่าน้ำกุหลาบรึไม่?”
แม่นางตู้พยักหน้า “เป็นน้ำหมักที่อาจารย์ของข้าทำเองกับมือ”
ในรอบนี้ พ่อครัวแม่ครัวได้รับอนุญาตให้ใช้วัตถุดิบของตนเอง แต่ไม่มีข้อกำหนดว่าวัตถุดิบนั้นต้องทำเอง อย่างลุงใหญ่ที่ใช้เต้าหู้ยี้ฝีมืออวี๋หวั่น ดังนั้นจึงไม่ผิดหากแม่นางตู้จะใช้น้ำหมักของพ่อครัวเทพเป้า
ความกังวลปนหดหู่ในใจของเหยียนหรูอวี้ได้ถูกขจัดออกไปหมด นางคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานพลางว่า “ของที่พ่อครัวเทพเป้าทำ พ่อครัวบ้านๆ อย่างสองคนนั้นจะมาเทียบเทียมได้อย่างไร? แม่นางตู้ การแข่งขันรอบนี้เราต้องเป็นฝ่ายชนะแน่!”
ห้องด้านหลังที่สภาพไม่สมบูรณ์ คนสกุลอวี๋คิดหาวิธีแก้ปัญหาไม่ตก ไป๋ถังกับผู้จัดการชุยได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งมาดู
พวกเขานั่งล้อมโต๊ะมองหน้ากัน
“ทำเยี่ยงไรดี? พวกเจ้ากล่าวอันใดสักอย่างสิ ให้ข้าไปซื้ออะไรมาให้ดีหรือไม่?” คุณหนูไป๋กล่าวเยี่ยงผู้ร่ำรวย
“ให้ใช้ได้ ก็ไม่ใช่ว่าต้องใช้” อวี๋เฟิงพึมพำ “ข้าเห็นพวกเขาเพิ่มวัตถุดิบมาอีกสองสามอย่าง ไก่ เป็ด ปลา เนื้อมีเยอะเลย”
ไป๋ถังกล่าวด้วยความตื่นเต้น “อย่างไรใช้ก็ดีกว่าไม่ใช้! เอ๊ะ? ถึงร้านชิงเฟิงจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่เครื่องเทศจากร้านนั้นเป็นเครื่องเทศชั้นดี ข้าจะไปซื้อมาสักหน่อย”
อวี๋เฟิงกล่าวอีกครั้ง “ไม่จำเป็นหรอก เครื่องเทศที่นี่ก็ใช้ได้”
ไป๋ถังใบหน้าดำมืด
ปฏิเสธสตรีครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเรื่องที่สมควรหรือ?
“พวกเจ้าสองฝ่ายสู้กัน แต่โรงเตี๊ยมเวยหย่วนกลับได้ประโยชน์” ผู้จัดการชุยกล่าว “ที่พวกเจ้าผ่านมาถึงจุดนี้ได้หาใช่เรื่องบังเอิญ”
ทุกคนรู้ดี แต่เต้าหู้ยี้ก็ไม่มีแล้ว ครั้นจะกลับไปเอาที่หมู่บ้านก็คงไม่ทัน
นายท่านฉินบีบข้อมืออย่างตึงเครียด ไม่ง่ายกว่าจะมาถึงจุดนี้ เห็นประกายความหวังหมายจะโดดเด่นเหนือใคร ทว่าไม่ทันระวัง วัตถุดิบกลับถูกทำลายจนไม่เหลือซาก น่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก!
“แท้จริงแล้ว… ” อวี๋หวั่นเอ่ยเนือยๆ “ข้านำวัตถุดิบอื่นมาด้วย”
“เต้าหู้ยี้รึ?” วิญญาณนายท่านฉินกลับเข้าร่าง
อวี๋หวั่นส่ายหัว
“เต้าหู้เหม็น?” ไป๋ถังเบิกตากว้าง
อวี๋หวั่นก็ยังส่ายหัว
“ข้ารู้แล้ว น้ำหมักเก่าแก่!”
น้ำหมักเก่าแก่เป็นของดีที่ทำจากเครื่องเทศหลายสิบชนิด ต้องเก็บไว้หลายวันถึงจะได้น้ำหมักมา น้ำหมักเก่าแก่ยิ่งเก็บนานยิ่งหอม เมื่อนำไปปรุงออกมา กระทั่งกระดูกก็ยังมีกลิ่นหอมของน้ำหมัก
แน่นอนว่าสกุลอวี๋มีน้ำหมักเก่าแก่ และลุงใหญ่ก็เป็นคนทำด้วยตนเอง เรื่องรสชาติจึงไม่ต้องกล่าวถึง
ทว่าสิ่งที่อวี๋หวั่นนำมา กลับไม่ใช่น้ำหมักเก่าแก่ที่ลุงใหญ่ของเธอเป็นคนทำ
อวี๋หวั่นหยิบโถออกมา
ไป๋ถังอดใจรอไม่ไหว รีบเปิดฝาออก กลิ่นที่น่ากลัวยิ่งกว่าเต้าหู้เหม็นพวยพุ่งออกมา คนในห้องต่างต้องตกตะลึง!
…
การแข่งขันรอบสุดท้ายของวันนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นเหลือ ผู้เริ่มคิดค้นอาหารจานเด่นทั้งห้าเผชิญหน้ากับแม่นางตู้ ทั้งคู่ต่างมาจากหอเทียนเซียง เป็นการต่อสู้ระหว่าง ‘เพื่อนร่วมงานในอดีต’ อย่างกับในละครจริยธรรม พ่อครัวม้ามืดที่ไม่เป็นที่รู้จักแห่งโรงเตี๊ยมเวยหย่วนยิ่งน่าประหลาดยิ่งกว่าทั้งสอง เพียงแต่ควันหลงเรื่องการขโมยสูตรยังไม่ผ่านพ้นไป ผู้คนจึงให้ความสนใจกับพ่อครัวอวี๋และแม่นางตู้มากกว่า
“แม่นางตู้ต้องชนะเป็นแน่” เสียงคนปรบมือดังขึ้นในห้องโถง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะชนะ? มิใช่ว่าน้ำกุหลาบของนางหกหมดแล้วรึ?” คนที่กล่าวคือไป๋ถัง
ชายวัยกลางคนที่รู้เรื่องราวเป็นอย่างดีกล่าว “แม่นางเจ้าหาได้รู้สิ่งใด แม่นางตู้ได้ใช้ไพ่ใบสุดท้าย สิ่งนั้นเหนือกว่าน้ำกุหลาบเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
ไป๋ถังเย้ยหยัน “ดีกว่าร้อยเท่าพันเท่า? ไม่กล่าวโอ้อวดเกินจริงไปหน่อยหรือ!”
ชายวัยกลางคนหาได้ฉุนเฉียว เพียงแต่ทอดถอนใจและกล่าวต่อ “มันคือน้ำหมักที่พ่อครัวเทพเป้าทำเองกับมือ ว่ากันว่าน้ำหมักเก่าแก่นั้นมีอายุหลายสิบปี ต่อให้แม่นางตู้หลับตาทำก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะแพ้”
“…” ไป๋ถังกล่าวสิ่งใดไม่ออก เพราะกระทั่งนางก็ยังคิดว่าสกุลอวี๋คงหมดโอกาสชนะแล้ว
…
ในรอบนี้พ่อครัวแม่ครัวทุกคนจะได้ทำอาหารที่ตนเองต้องการ และใช้วัตถุดิบของตนเองได้ วัตถุดิบที่ใช้ไม่จำกัดฤดูกาล ถึงจะนำอุ้งเท้าหมีมาทำก็ไม่มีปัญหา
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสามเดินออกจากเตาที่เปิดโล่ง ไปอยู่ในห้องครัวอิสระที่ถูกจัดไว้ ผู้ชมจะมองไม่เห็นพวกเขาทำอาหาร ยิ่งสร้างความระทึกน่าตื่นเต้น ผู้คนเดากันไปต่างๆ นานาว่าพวกเขาจะปรุงสิ่งใด
“เจ้าได้กลิ่นหรือไม่? หอมยิ่งนัก!”
ผู้ชมบนชั้นสองกล่าว
ชายชราที่อยู่ข้างๆ สูดดม “จมูกที่ไม่ปกติมาหลายปีของข้าก็ยังได้กลิ่น”
“มันคือกลิ่นหอมของน้ำหมักเก่าแก่อย่างไรล่ะ” พ่อครัวตกรอบคนหนึ่งกล่าว
ชายชราประหลาดใจ “หรือว่าแม่นางตู้กำลังปรุงอาหาร? นางใช้น้ำหมักเก่าแก่ของพ่อครัวเทพเป้าแล้วจริงหรือ?”
กลิ่นหอมของน้ำหมักนี้เพียงได้กลิ่นก็ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ ไม่อาจรู้เลยว่าอาหารที่ปรุงออกมาจะมีรสชาติดีมากเพียงใด
จ๊อก~
ท้องของทุกคนคำรามลั่น
หอเทียนเซียงทั้งหลังถูกครอบคลุมด้วยกลิ่นหอมของน้ำหมัก เหล่าพ่อครัวหลวงอดใจรอแทบไม่ไหว
ห้องครัวของโรงเตี๊ยมเวยหย่วนก็มีกลิ่นหอมลอยออกมาเช่นกัน ทว่ากลิ่นหอมนั้นถูกกลบไว้ด้วยกลิ่นหอมของน้ำหมักเก่าแก่จนหมด
ประตูห้องครัวของหอจุ้ยเซียนปิดสนิท ทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าพวกเขาปรุงอาหารชนิดใด ใยต้องหลบซ่อนเยี่ยงนี้
ไม่นานอาหารจานแรกก็ถูกนำขึ้นไป มันคือเป็ดกรอบที่ถูกจัดวางอย่างประณีต หนังสีน้ำตาลแก่เป็นมันวาว ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจนคนที่เห็นเกิดอาการเปรี้ยวปากน้ำลายสอ เป็ดตัวนี้ถูกทอดจนหนังกรอบ แต่กักเก็บความชุ่มฉ่ำไว้ในเนื้อเป็ดได้เป็นอย่างดี เมื่อกัดไปคำหนึ่ง หนังด้านนอกกรอบ ไขมันใต้ผิวหนังกรอบ แต่เนื้อด้านในนุ่มพอจะทำให้น้ำซึมออกมา
ด้วยรสชาติที่เข้มข้นนี้ แม้แต่เหล่าทวยเทพก็ยังต้องหลงใหล
ระยะเวลาและอุณหภูมิที่ใช้ในการทอดมีความสำคัญมาก หากมากไปน้ำที่ชุ่มฉ่ำในเนื้อก็จะแห้งและเหนียว สิ่งสำคัญของอาหารจานนี้อยู่ที่การรักษาความชุ่มฉ่ำของเนื้อเป็ดให้มากที่สุด
น้ำหมักก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน หากน้ำหมักยอดเยี่ยม รสชาติที่ค้างอยู่ในคอก็ยิ่งนาน
เป็ดทอดกรอบจานนี้แตกต่างจากเป็ดทอดกรอบอื่นๆ ผิวของมันถูกทาด้วยน้ำผึ้งซึ่งมีรสหวานเล็กน้อย จับคู่กับหนังเป็ดกรอบ เนื้อเป็ดที่สดและชุ่มฉ่ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหมักและน้ำผึ้งสอดประสานระหว่างริมฝีปากและฟันทุกซี่ เป็นน้ำหมักรสเค็มที่เจือด้วยความหวาน
“ช่างหาได้ยากยิ่ง”
พ่อครัวหลวงสี่คนให้การประเมินที่สูงมาก
อาหารจานที่สองที่ถูกนำขึ้น คือต้นขาหมูราดน้ำหมักแบบดั้งเดิม มีความแวววาวเป็นมันเงา กลิ่นหอมน้ำหมักโชยปะทะหน้า
เป็นอีกจานที่ใช้น้ำหมัก แต่รสชาติความหวานแตกต่างจากเป็ดทอดกรอบเล็กน้อย รสชาติค่อนข้างน่าพอใจ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือทุกรายละเอียดทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หนังหมูตุ๋นจนนุ่ม ทันทีที่ขยับจานหนังก็สั่นราวกับเป็นวุ้นใส และเนื้อที่นุ่มเป็นพิเศษ เพียงแค่ใช้ตะเกียบคีบกระดูกก็หลุดออกมา
ไม่เหนียว ไม่เลี่ยน หอมนำเผ็ดตาม แต่ไม่แห้ง
“ดูเหมือนใช้น้ำหมักเก่าแก่” พ่อครัวหลวงกล่าว
สหายอีกท่านกล่าว “ได้ยินมาว่ามันคือน้ำหมักเก่าแก่ที่ปรุงโดยคนในข่าวลือ”
“จริงรึ?” พ่อครัวหลวงตกตะลึง
มาได้ถึงจุดนี้ ทักษะการทำอาหารยอดเยี่ยมยิ่งนัก เหล่าพ่อครัวหลวงต่างรอคอยอาหารจานที่สาม
อาหารจานที่สามถูกครอบปิดไว้อย่างแน่นหนา พนักงานที่นำมาใช้แถบผ้าพันปิดปากและจมูกตนเอง
เหล่าพ่อครัวหลวงมองด้วยสายตาแปลกประหลาด นึกสงสัยว่าพวกเราไม่สบาย หรือว่าเจ้าไม่สบาย?
ชายผู้นั้นวางหม้อลงบนโต๊ะ เขาสูดหายใจก่อนจะยกฝาโถดินขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวความตาย
เมื่อเหล่าพ่อครัวหลวง…เหล่าพ่อครัวหลวงได้กลิ่นก็ถึงกับตะลึงแน่นิ่งจนตกจากเก้าอี้ โครม!
………………………