หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 5.2 คนคลั่งรัก (2)
ดรุณีน้อยดวงตาแดงก่ำ “คุณชายท่านใดหรือ”
ผู้จัดการชี้ไปยังอิ่งสือซันซึ่งเดินออกไปไม่ไกล “คุณชายที่สวมชุดสีดำท่านนั้น”
“รบกวนท่านแล้ว” ดรุณีน้อยโขกศีรษะให้ผู้จัดการร้านทั้งน้ำตา นางลุกขึ้น แล้ววิ่งตามอิ่งสือซันไป
เป็นเพราะนางคุกเข่าอยู่นาน แข้งขาจึงเป็นเหน็บชา ทำให้นางล้มลงกับพื้น
อิ่งสือซันชะงัก แล้วหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ ไม่ใช่เพราะเขานึกสงสารแม่นางน้อยคนนั้น หากแต่เป็นเพราะเขาเป็นหน่วยกล้าตาย ย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างว่องไว
ดรุณีน้อยรุดรีบลุกขึ้นมา โดยไม่สนใจหัวเข่าของนางที่ถลอกปอกเปิก นางร้องเรียกอิ่งสือซันสุดเสียง “คุณชาย!”
อิ่งสือซันหันมามองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีอะไร”
“ข้า…” ดรุณีน้อยคุกเข่าลง “ขอบคุณที่คุณชายช่วยเหลือ! ข้าน้อยชื่อเซียงเหลียน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าน้อยขอเป็นคนของคุณชายเจ้าค่ะ!”
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใช่คนของข้า”
ดรุณีน้อยเงยหน้าขึ้นมอง “แต่คุณชายช่วยทำศพท่านพ่อข้า…”
อิ่งสือซันตอบว่า “เป็นเพราะเจ้าขวางทางคุณชายข้าอย่างไรละ!”
ดรุณีน้อยตกตะลึง
อิ่งสือซันสาวเท้าเดินต่อไป
ดรุณีน้อยตามไปอีก จากนั้นก็คุกเข่าต่อหน้าอิ่งสือซัน “คุณชาย ท่านรับเซียงเหลียนไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ! เซียงเหลียนกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ท่านพ่อเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ตอนนี้ท่านพ่อจากไปแล้ว เซียงเหลียนไร้ที่พึ่ง หลังจากนี้ก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไรแล้วเจ้าค่ะ”
อิ่งสือซันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าอยู่อย่างไรแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า? หลีกไป!”
“คุณชาย!” ดรุณีน้อยคว้าชายเสื้อของอิ่งสือซัน นางอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา “ข้าไม่อาจรับเงินจากคุณชายมาโดยไม่ตอบแทน…ให้ข้าใช้แรงงานเยี่ยงวัวเยี่ยงม้าข้าก็ยอมเจ้าค่ะ!”
กว่าผู้คนจะแยกย้ายกันไปได้นั้นก็ใช้เวลานานโข บัดนี้มาถูกเด็กสาวคนหนึ่งกอดขา ผู้คนก็เริ่มเข้ามามุงดูอีกครั้ง
อิ่งสือซันกำหมัดแน่นด้วยความรำคาญใจ “สรุปแล้วเจ้าจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ยังคิดใช้หนี้ข้าหรือ?”
“จะ…เจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยสะอึกสะอื้น
“เกิดอะไรขึ้นกับอิ่งสือซัน” อวี๋หวั่นมองไปยังทิศทางที่อิ่งสือซันอยู่ ก็เห็นว่ามีดรุณีน้อยคนหนึ่งเกาะแข้งขาของเขาอยู่ “เจ้าไปดูหน่อย”
อิ่งลิ่วกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “แม่นางน้อยที่ขายตัวทำศพบิดาเมื่อครู่ขอรับ นางบอกว่านางจะขายตัวเพื่อหาเงิน อิ่งสือซันไปจ่ายเงินค่าฝังศพให้ นางจึงกลายเป็นคนของอิ่งสือซันแล้ว แต่อิ่งสือซันไม่สนใจ นางจึงไม่ยอมไป”
อวี๋หวั่นชะงักไป “พานางมา”
ดรุณีน้อยทรุดฮวบลงกับพื้น แล้วโขกศีรษะไปยังทิศทางของรถม้า “เซียงเหลียนคำนับฮูหยินน้อย!”
อวี๋หวั่นเปิดม่านของรถม้า มองไปที่นาง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…เจ้าชื่ออะไรนะ?”
“บ่าวชื่อเซียงเหลียนเจ้าค่ะ!” ดรุณีน้อยตอบ
อวี๋หวั่นถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เจ้าเป็นคนที่ไหน ฟังจากสำเนียงแล้วไม่ยักคล้ายกับคนซีเฉิง”
เซียงเหลียนตอบว่า “เรียนฮูหยินน้อย บ่าวเป็นคนต้าโจว ติดตามท่านพ่อมาค้าขายที่นี่ ไหนเลยจะรู้อยู่ๆ ท่านพ่อก็มาล้มป่วยและจากไป เงินที่มีอยู่ก็ถูกขโมยไปแล้ว บ่าวไร้ทางไปจึงขายตัวเพื่อฝังศพท่านพ่อเจ้าค่ะ…บ่าวไม่มีที่ไปจริงๆ…ฮูหยินน้อยพาบ่าวไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
อวี๋หวั่นบอกว่า “พวกข้าจ่ายเงินทำศพให้พ่อเจ้า เจ้ายังจะมาพึ่งพาพวกข้าอีก ไม่ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือ เจ้าลำบาก ก็ไปหาทางการเสีย เจ้าเป็นคนที่ไหน พวกเขาก็จะส่งเจ้ากลับไป”
เซียงเหลียนเงยหน้ามองอวี๋หวั่น “แต่บ่าวไม่มีญาติเลยเจ้าค่ะ!”
อวี๋หวั่นมองไปยังใบหน้ารูปไข่ดูอ่อนเยาว์ แล้วพูดเสียงเนิบว่า “ข้ากับเจ้าพบกันโดยบังเอิญ เป็นเพราะข้าใจดีกับเจ้า ก็หมายความว่าข้าต้องรับผิดชอบเจ้าจนถึงที่สุดหรือ? แม่นาง เจ้ากำลังเอาเปรียบข้าอยู่ เจ้าไม่รู้หรือ?”
ต่อให้ที่นี่เป็นพื้นที่ศักดินาของสกุลเห้อเหลียนของพวกเขาก็เถอะ แต่เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บคนคนหนึ่งไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังบอกอีกว่านางเป็นคนต้าโจว
“เจ้าเป็นคนที่ไหนในต้าโจว” อวี๋หวั่นถาม
“เมืองเยี่ยนเจ้าค่ะ” เซียงเหลียนตอบ
ไม่ใช่กระมัง จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น?
มาถึงพื้นที่ในปกครองของสกุลเห้อเหลียน แล้วยังจะไปยังพื้นที่ในปกครองของเยี่ยนจิ่วเฉาอีกหรือ?
ในฐานะที่เป็นนายหญิงแห่งเมืองเยี่ยน เธอย่อมไม่มีทางปล่อยเด็กสาวชาวเมืองเยี่ยนไว้โดยไม่สนใจใยดี
แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะแปลกไปสักหน่อย?
สายตาของอวี๋หวั่นเคลื่อนไปหยุดลงบนใบหน้าของนาง “เจ้าบอกมาให้ละเอียดกว่านี้ เจ้าเป็นคนที่ใดในเมืองเยี่ยน ถนนเส้นใด บ้านหลังไหน”
เซียงเหลียนปาดน้ำตา ตอบว่า “บ้านของบ่าวอยู่ในตรอกชิงหลิ่ว ถนนชิงหลิ่ว ฝั่งตะวันออกของเมืองเยี่ยน ครอบครัวของบ่าวขายเครื่องเทศ เป็นเพียงร้านเล็กๆ มีลูกค้าไม่มาก ส่วนมากข้ากับท่านพ่อจะหาบของไปเร่ขายตามถนนเส้นต่างๆ เจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นมองอิ่งสือซันและอิ่งลิ่ว
ทั้งสองพยักหน้าน้อยๆ ครอบครัวของนางมีร้านเครื่องเทศจริงไหมพวกเขาไม่รู้ แต่ตรอกชิงหลิ่วและถนนชิงหลิ่วนั้นไม่ผิดแน่ นางเล่าได้ละเอียดเช่นนี้ ไม่ยักคล้ายกับว่าจะกุเรื่องขึ้นมา
อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าก็จะไปต้าโจว ถึงแม้จะไม่ได้ผ่านเมืองเยี่ยน แต่สามารถพาเจ้าไปส่งใกล้ๆ เมืองเยี่ยนได้ ครอบครัวของเจ้ายังมีร้านค้าอยู่ เจ้าสามารถทำกิจการต่อไปด้วยตัวเอง หรือถ้าไม่อยากทำกิจการต่อไป เจ้าก็ขายทิ้งเสีย แล้วค่อยคิดว่าจะนำเงินก้อนนั้นไปทำอะไร งานเหล่านี้รายได้มากกว่าไปเป็นทาส หากเจ้ายินดี ข้าก็จะพาเจ้าไปด้วย หากเจ้าไม่ยินดี ก็ถอยไป ข้าจะคิดเสียว่าไม่เคยพบเจ้ามาก่อน”
เซียงเหลียนคลานเข่าเข้ามาจับล้อรถ “บ่าว…บ่าวยินดีเจ้าค่ะ! บ่าวจะทำตามที่ฮูหยินน้อยบอก!”
“ให้นางไปขึ้นรถม้าของผิงเอ๋อร์” อวี๋หวั่นสั่ง
อิ่งลิ่วพานางไปนั่งบนรถม้าของผิงเอ๋อร์
“ฮูหยินน้อยขอรับ” อิ่งสือซันเหลือบมองอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “เจ้าคิดว่านางแปลกๆ ใช่ไหม?”
“ข้าน้อยคิดว่า…บังเอิญเกินไป”
อวี๋หวั่นหัวเราะเย็นชา “นั่นน่ะสิ เกิดเรื่องในเมืองใต้อาณัติของสกุลเห้อเหลียน ข้าไม่อาจเพิกเฉย อีกทั้งยังเป็นชาวเมืองเยี่ยนอีก เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่อาจปล่อยไปได้…แม่นางคนนี้ น่าสนใจ”
กำลังจะออกจากหนานจ้าว ก็ถูกคนมาถ่วงแข้งถ่วงขา อย่าว่าแต่แผนการลับเลย อันที่จริงตลอดทางที่ผ่านมา มีคนมากมายไม่อยากให้ชีวิตของพวกเขาราบรื่น มีเพิ่มมาอีกคนจะเป็นไรไป
อิ่งสือซันกระซิบถามว่า “ฮูหยินน้อยขอรับ จะให้…ข้าน้อยจัดการนางหรือไม่ขอรับ? จะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”
อวี๋หวั่นยิ้ม “จัดการคนนี้ ประเดี๋ยวพวกเขาก็ส่งคนที่เก่งกาจกว่านี้มาอีก”
อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าแม่นางน้อยที่ชื่อเซียงเหลียนคนนี้เป็นสายลับของใครหรือไม่ ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของอวี๋หวั่น ถ้าหากจัดการนางไปแล้ว แต่นางเป็นคนบริสุทธิ์ จะเท่ากับว่าพวกเขาผิดต่อนาง หรือถ้าหากเซียงเหลียนได้รับคำสั่งจากผู้ใด การเก็บนางไว้ไม่เพียงจะทำให้อีกฝ่ายตายใจไปได้สักหน่อย แต่ยังทำให้พวกเขาตามสืบว่าใครที่รีบร้อนอยากกำจัดพวกเขาถึงเพียงนี้!
“ควรบอกผิงเอ๋อร์หรือไม่ขอรับ?” อิ่งสือซันถาม
อวี๋หวั่นโบกมือ “ไม่ต้อง นางเซ่อๆ ซ่าๆ ไม่รู้ย่อมปลอดภัยกว่า” หากนางรู้เข้า ก็จะกระโตกกระตาก และอาจถูกอีกฝ่ายสังหารได้
อิ่งสือซันคิดว่าทำเช่นนี้ก็ดี เมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขาจึงถามว่า “แล้วคุณชายกับคุณชายน้อย…”
อวี๋หวั่นหัวเราะออกมา “นั่นยิ่งไม่ต้องบอกเลย”
ขอแค่พวกเขาสี่พ่อลูกไม่ไปก่อเรื่องให้คนอื่นก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว ใครจะไปทำอะไรพวกเขาได้?
ระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็จูงเด็กทั้งสามกลับมา ในมือของทุกคนล้วนมีถังหูลู่ลูกกลมโตคนละไม้
“ข้าอยากขี่ม้า!” เสี่ยวเป่าบอก
“ข้าก็อยากขี่!” เอ้อร์เป่าบอก
ต้าเป่าพยักหน้าหงึกๆ!
ข้าก็อยากขี่!
เยี่ยนจิ่วเฉาปล่อยเด็กทั้งสามไว้กับอิ่งสือซันและอิ่งลิ่ว
อิ่งลิ่วพาเสี่ยวเป่าไป ส่วนอิ่งสือซันดูแลเอ้อร์เป่าและต้าเป่า แบ่งกันนั่งบนหลังอาชาศึกตัวสูงใหญ่
ทั้งสามคนเลียถังหูลู่ลูกวาว นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่างาม!
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกอยากกินถังหูลู่บ้าง รสเปรี้ยวๆ หวานๆ มองดูแล้วน่ากินเหลือเกิน…
โครกคราก~
อวี๋หวั่นกลืนน้ำลาย
ทันทีที่กลืนน้ำลาย ถังหูลู่ไม้หนึ่งซึ่งใหญ่กว่าถังหูลู่ของเด็กทั้งสามก็ปรากฏแก่สายตาของอวี๋หวั่น
เธอตื่นตะลึง
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธออยากกินถังหูลู่ ในเมื่อก่อนหน้านี้เธอไม่ได้อยากกิน เธอเพิ่งจะมาอยาก
กิน…
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นว่าอวี๋หวั่นทำหน้าตามึนงง จึงพูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “ทำไม? ซื้อให้ยังไม่พอหรือ? ต้องให้ข้าป้อนด้วยใช่ไหม? ข้าป้อนแล้วจะอร่อยอย่างนั้นหรือ?”
“ข้า…”
“ข้าต้องตามใจเจ้าสินะ!”
อวี๋หวั่นยังไม่ทันได้ตอบว่า ‘ไม่ต้อง’ เยี่ยนจิ่วเฉาก็จับอวี๋หวั่นมานั่งลงบนตักด้วยท่าทางเย็นชา แล้วป้อนถังหูลู่ให้เธอด้วยท่าทาง(ไม่)รังเกียจ
………………………………
Comments for chapter "บทที่ 5.2 คนคลั่งรัก (2)"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Mayjj
ตอนนี้ก็เรียงผิดค่ะ ต่อจากตอนที่ 5 น้ำหมัก ต้องเป็นตอนที่6 ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ (1)