หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 521 บิดาบุตรพบกันอีกครั้ง สือซันผู้กล้าหาญ
ตำหนักราชาพ่อมดถูกควบคุมโดยราชินีแม่มดมานานแล้ว บรรดาธารกำนัลด้านในล้วนเป็นคนสนิทของราชินีแม่มด แต่ด้วยเหตุนี้เอง โจวจิ่นจึงสามารถอาศัยภาพลวงตาบุกเข้าไปได้
“ข้าอยากคุยกับเสด็จพ่อเพียงลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด” โจวจิ่นมองข้าหลวงสองคนที่เฝ้าอยู่นอกฉากกั้น
ราชินีแม่มดออกคำสั่ง ห้ามผู้ใดนอกจากนางเข้าพบราชาพ่อมดเป็นการส่วนตัว ทั้งสองควรปฏิเสธ แต่ไม่รู้เหตุใด เมื่อสบดวงตาลึกล้ำดุจบ่อน้ำขององค์ชายเยี่ยยาง ก็พยักหน้าเดินออกไปอย่างล่องลอยไร้สติ
แค่จัดการกับระดับพ่อมดเล็กสองคน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
โจวจิ่นใช้ภาพลวงตามาตลอดทาง ทุกคนที่พบเห็นเขาต่างก็คิดว่าเขาคือเยี่ยยาง ทว่ายามอ้อมไปหลังฉากกั้นก็เก็บวิชาลวงตาของตนเอง อย่างไรราชาพ่อมดมองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว
แก้มซีดขาวของราชาพ่อมดยกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งไร้สีเลือดขยับช้าๆ คล้ายอยากจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าก็ตกใจจนไม่มีเสียง
โจวจิ่นมาที่หัวเตียง คว้าโซ่เหล็กที่ผูกกับข้อมือของเขาแล้วถามอย่างใจเย็น “มันเชื่อมไปที่ใด?”
“ใต้ดิน” ราชาพ่อมดเอ่ยเสียงแหบพร่า “อย่าแตะต้องมัน จะทำให้คนรู้”
ราชินีแม่มดต้องการกักขังเขา ย่อมไม่ยอมให้ผู้ใดมาช่วยเขาไปง่ายๆ ปลายอีกด้านของโซ่เหล่านี้เชื่อมกับหินมังกรขดใต้พื้นดิน หากตัดมัน กลไกจะทำให้หินมังกรขดตกลงมา ทั่วทั้งวังหลวงจะรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวใต้ดิน
โจวจิ่นจับโซ่เหล็ก ใช้ความคิด
ขณะนี้เอง ต๋าหว่าก็เดินพรวดพราดเข้ามา “โจวจิ่น!”
โจวจิ่นหันกลับไป
ต๋าหว่าเดินอ้อมฉากกั้น คนที่มากับเขายังมีองครักษ์ที่ปลอมตัวมา อิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
ราชาพ่อมดมองต๋าหว่าและองครักษ์สองคนที่อยู่ข้างหลัง ก็พูดช้าๆ ว่า “เจ้าไม่ใช่เวินซวี่”
“เอ่อ…” ต๋าหว่าตกใจ จับใบหน้าตนเองอย่างลืมตัว เขารู้ได้อย่างไร? เขาไม่ได้ใช้อาคม แต่แปะใบหน้าของเวินซวี่ไว้ หรือว่าสามารถมองเห็นจุดบกพร่อง?
เมื่อเห็นความสงสัยของต๋าหว่า ราชาพ่อมดก็เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าเป็นพ่อมด เจ้าระงับพลังเวทด้วยหนอนกู่ และอำพรางด้วยกลิ่นอายของปรมาจารย์พิษ”
ใช่แล้ว ต๋าหว่าเป็นพ่อมด เวินซวี่เป็นปรมาจารย์พิษ อุบายของเขาหลอกผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถหลอกราชาพ่อมดได้ ราชาพ่อมดคือหัวหน้าเผ่าพ่อมด แม้จะอ่อนแอจนมีสภาพเช่นยามนี้ ก็ยังไม่มีสิ่งใดตบตาเขาได้
ต๋าหว่าเขินอาย
ความแตกซะแล้ว…
แต่ราชาพ่อมดคือบิดาของโจวจิ่น หาใช่คนนอก ถึงแผนแตกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!
“โซ่นี้เชื่อมต่อกับที่ใด?” อิ่งสือซันถาม
เขาถามโจวจิ่น
โจวจิ่นมองโซ่เหล็กในมือ “ใต้ดินมีกลไกกับหินมังกรขด การตัดโซ่จะทำให้กลไกทำงาน”
ต๋าหว่าตกตะลึง “ไม่ใช่นา มิใช่พวกเจ้าควรคิดว่าจะตัดมันอย่างไรหรือ? นี่ไม่ใช่โซ่ธรรมดา…”
อิ่งลิ่วดึงกริชที่ส่องประกายเล่มหนึ่งออกมา
นี่คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่รวบรวมมาจากสกุลซางแห่งหมิงตู ตัดเหล็กได้ดั่งโคลน ไม่ว่าสิ่งใดก็ตัดได้
ต๋าหว่ากลืนน้ำลาย “เตรียมตัวมาดีจริงๆ…”
เอาละ แม้ไม่รู้ที่มาของคนพวกนี้ แต่ยิ่งได้อยู่ด้วยกันเมื่อใดก็พบว่าพวกเขาเก่งกว่าที่คิดไว้เสมอ เขาต้องดีใจที่ยามนั้นพวกเขาไม่ได้ทำให้ตนตายเหมือนกับเวินซวี่
อิ่งสือซันมองต๋าหว่าและกล่าวว่า “เจ้าและโจวจิ่นอยู่ที่นี่ อิ่งลิ่วกับข้าจะไปแก้ไขกลไก”
“เจ้า…เจ้าสองคนจะทำได้หรือ? ที่นี่คือวังของเผ่าพ่อมด หากแปลกแยกเพียงนิดก็จะถูกคนจับได้ และ…” ขณะต๋าหว่ากล่าว ก็หลือบมองราชาพ่อมดบนเตียง และกระซิบข้างหูอิ่งสือซัน “หลัวช่าวิญญาณดูเหมือนใกล้จะตื่นขึ้นแล้ว หากเคลื่อนไหวดังเกินไป พามันมาจะทำอย่างไร?”
ตื่นขึ้นครั้งที่สอง ผีเท่านั้นที่รู้ว่ามันตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว หรือยังคงเป็นร่างแยกของมันมา ทว่าแม้จะเป็นเพียงร่างแยก ก็ยังแข็งแกร่งกว่าครั้งแรกที่พบกัน
อิ่งสือซันกล่าวเคร่งขรึม “ข้ามีแผนในใจ หลังจากพวกเราแก้ไขกลไกแล้ว จะดึงโซ่ให้สัญญาณ พวกเจ้าก็พาราชาพ่อมดออกจากวังได้เลย”
ต๋าหว่ากล่าวอย่างหมดหนทาง “เอาละ ข้าก็ไม่ใช่เพียงเพื่อตนเอง พวกเจ้าระวังตัวให้ดีด้วย”
ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียว ทั้งชีวิตและครอบครัวของเขาผูกติดอยู่กับคนพวกนี้แล้ว
เป็นองครักษ์วิหารมืดมาหลายปี ความตื่นเต้นหวาดเสียวรวมกันยังเทียบไม่ได้กับสองสามวันนี้
“ขอองค์ราชาพ่อมดช่วยบอกพวกเราว่า ทางเข้าใต้ดินอยู่ที่ใด?” อิ่งสือซันมองราชาพ่อมด
ราชาพ่อมดชี้นิ้ว
“เข้าใจแล้ว” อิ่งสือซันพาอิ่งลิ่วไป
แท้จริงสิ่งที่เรียกว่าใต้ดินคือวังใต้ดินอันกว้างใหญ่ ทว่าภายในมืดสนิทไร้แสง
อิ่งลิ่วหยิบหั่วเจ๋อจื่อออกมา อิ่งสือซันคว้ามือเขาไว้แล้วกระซิบว่า “ช้าก่อน”
“อ้อ” อิ่งลิ่วเก็บหั่วเจ๋อจื่อกลับไป
วังใต้ดินมืดมิดเกินไป กระทั่งชูมือขึ้นก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าในความมืดด้วยสัญชาตญาณและพลังหูที่เหนือกว่าคนทั่วไป อิ่งสือซันจับข้อมืออิ่งลิ่วไม่ปล่อย ไปได้ครึ่งทาง อิ่งลิ่วก้าวพลาดซวนเซไปข้างหน้า
อิ่งสือซันรีบคว้าตัวเขาดึงเข้ามา จากนั้นฝ่ามือใหญ่ของอิ่งสือซันก็เลื่อนลงมาจับมือเขา
มืออีกข้างของทั้งสองต่างถือดาบยาว ดาบยาวเย็นเยียบ ทว่าฝ่ามือทั้งคู่กลับอบอุ่นราวกับหยกอุ่น
“ถึงแล้วหรือ?” อิ่งลิ่วถาม
“ใกล้แล้ว” อิ่งสือซันกล่าว
“มืดจังเลย” อิ่งลิ่วกล่าว
“อื้ม” อิ่งสือซันตอบ
“เอาละ ยามนี้ใช้หั่วเจ๋อจื่อได้แล้ว” อิ่งสือซันกล่าว
อิ่งลิ่วกลับไม่ขยับ
ทว่ากลางความมืดมิด อิ่งสือซันมองเขาอย่างไม่เข้าใจ อิ่งลิ่วยกมือที่ถูกกุมอยู่ส่ายไปมาเบาๆ “เจ้าจับข้าอยู่ ข้าจะจุดหั่วเจ๋อจื่อได้อย่างไร?”
“โอ้” อิ่งสือซันปล่อยมือเขา
อิ่งลิ่วหยิบหั่วเจ๋อจื่อออกมาเป่า แสงสว่างฉายให้เห็นฉากเบื้องหน้า มันคือห้องลับอันเย็นเยือก กลางห้องมีหินมังกรขดขนาดใหญ่สี่ก้อน แต่ละก้อนเชื่อมกับกลไก เหนือกลไกเป็นโซ่เหล็กที่มัดตรึงราชาพ่อมด
อิ่งลิ่วมองดูใกล้ๆ และขมวดคิ้ว “หากโซ่ขาด หินมังกรขดก็จะหล่นลงมา ควรทำเช่นไร?”
“เอาดาบไป ส่งกริชมาให้ข้า” อิ่งสือซันมอบดาบยาวของตนให้อิ่งลิ่ว
หน่วยกล้าตายชำนาญดาบ ดาบย่อมไม่ห่างกาย สำหรับอิ่งสือซันมันไม่ได้เป็นเพียงอาวุธ ทว่าเป็นสิ่งของส่วนตัวที่สำคัญยิ่ง ไม่อาจส่งให้ผู้ใดง่ายๆ
อิ่งลิ่วรับดาบที่ยังคงหลงเหลือสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือ เขาถือดาบไว้ มืออีกข้างก็ถือหั่วเจ๋อจื่อ หมดหนทางจะหยิบกริชให้เขา จึงยืดเอวตรงแล้วกล่าวว่า “อยู่ตรงนี้”
สายตาของอิ่งสือซันตกกระทบเอวอ่อนนุ่มและทรงพลังของอีกฝ่าย พลันกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าและดึงกริชออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อิ่งสือซันเหาะขึ้นไปตัดโซ่เหล็กบนกลไกด้วยท่าร่างอันรวดเร็วยากจะหาตัวจับ และผูกโซ่เหล็กกับกลไกของตัวมันเองเป็นปม
อิ่งลิ่วมองจนตาลาย วิชาตัวเบาของอิ่งสือซันเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด? แทบไม่เหมือนอิ่งสือซันที่เขารู้จัก
ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้ ไม่เพียงแต่คุณชาย ซิวหลัวและอาเว่ย แม้แต่อิ่งสือซันก็ยังพัฒนาขึ้นมากเช่นกัน
หินมังกรขดเคลื่อนไหว แต่ในที่สุดก็หยุดนิ่งอยู่ตัว
อิ่งสือซันกลับลงสู่พื้น เมื่อเห็นอิ่งลิ่วมองตนด้วยความชื่นชม ก็เอ่ยเบาๆ “ทำไมรึ?”
อิ่งลิ่วคลี่ยิ้ม “เปล่า ข้าแค่คิดว่าเจ้าน่าทึ่งยิ่งนัก! เมื่อครู่เจ้าใช้วิชาตัวเบาอะไร?”
อิ่งสือซันกล่าวว่า “เป็นวิชาตัวเบาแบบหนึ่งจากหมิงซาน ข้าเคยเห็นราชาหลัวช่ากับปรมาจารย์ฝึกฝน หากเจ้าชอบ ไว้ข้าจะสอนเจ้า”
“อื้ม!” อิ่งลิ่วพยักหน้าด้วยความดีใจ ดวงตาสดใสเปล่งประกาย ราวกับดวงดาวพราวระยับน่าหลงใหล
ดวงตาอิ่งสือซันสั่นไหว เขาเก็บกริชลงไปในฝักข้างเอว แล้วหยิบดาบของตนคืน “ไปกัน”
โซ่ขาดแล้ว ราชาพ่อมดต้องรู้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งข่าวอีก
อิ่งสือซันรีบสาวเท้าเดินไปข้างหน้า อิ่งลิ่วก็ตามมาติดๆ เดิมทีคิดจะใช้หั่วเจ๋อจื่อส่องทางกลับไป แต่ไหนเลยจะรู้ว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หั่วเจ๋อจื่อก็วูบดับลง
วังใต้ดินกลับมามืดมิดอีกครั้ง
“หือ? เหตุใดถึงดับไป?” อิ่งลิ่วเป่าลมเร่งไฟอีกครั้ง แต่เป่าอย่างไรก็ไม่สว่าง
“ดับแล้วก็คือดับแล้ว” อิ่งสือซันกล่าว
“แต่ข้ามองไม่เห็นนี่” อิ่งลิ่วบ่นด้วยความหงุดหงิด
อิ่งสือซันหยุดชะงักก้าว
“อิ่งสือซัน เจ้าอยู่ที่ใด?” อิ่งลิ่วถาม
“ข้าอยู่นี่” อิ่งสือซันพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“โอ้” อิ่งลิ่วคลำไปตามเสียงในความมืด พบกับท่อนแขนของอิ่งสือซัน เขาจับแล้วบีบมัน จากนั้นก็เลื่อนลงไปดึงมืออิ่งสือซัน
ยามที่ทั้งสองออกจากวังใต้ดิน ต๋าหว่าก็แบกราชาพ่อมดออกไปแล้ว
สัตว์พิษตัวน้อยซ่อนกลิ่นอายของราชาพ่อมด บวกกับโจวจิ่นใช้วิชาภาพลวงตามาตลอดทาง จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความแปลกประหลาด
“รถม้าๆ!” ต๋าหว่าอุ้มคนขึ้นรถ
โจวจิ่นและต๋าหว่าก็ขึ้นไปเช่นกัน
อิ่งสือซันกับอิ่งลิ่วนั่งอยู่ในตำแหน่งสารถี ควบม้าออกจากวัง
หน้าประตูวัง มีองครักษ์หยุดรถม้าของพวกเขา
ต๋าหว่าเปิดม่าน “รถม้าของข้า เจ้ากล้าขวางหรือ?”
เมื่อเห็นว่าเป็นเขา องครักษ์ก็รีบโค้งคำนับ “ใต้เท้าเวินซวี่! ขออภัย องค์ราชินีมีรับสั่ง ให้พวกเราตรวจสอบรถม้าที่เข้าออกวังหลวงอย่างเคร่งครัด”
ต๋าหว่ากล่าวอย่างหมดความอดทน “จะตรวจก็ตรวจ! ข้าจะรีบกลับจวน!”
“ขอรับ!” หลังจากองครักษ์ตอบรับ ก็เปิดม่านอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นเขาก็พบดวงตาลึกล้ำดุจบ่อน้ำคู่หนึ่ง
โจวจิ่นมองเขาเนือยนิ่ง ไม่นานสีหน้าของเขาก็เหม่อลอย “ไม่มีผู้ใด ใต้เท้าเวินซวี่ออกจากวังได้แล้วขอรับ”
“ฮึ!” ต๋าหว่าลดม่านลง
อิ่งสือซันวาดแส้เคลื่อนรถม้าออกไป
…………………………………………