หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 522 เดินทาง
หลังออกจากวังหลวง ต๋าหว่าก็ตบหน้าอก ถอนใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก “ทำข้ากลัวแทบตายๆ! ยังดีที่ออกมาแล้ว!”
โจวจิ่นเหลือบตามองเขา “ต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“เหตุใดจะไม่ต้องเล่า? เจ้าไม่รู้…” ต๋าหว่าเอ่ยได้ครึ่งหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าราชาพ่อมดอยู่บนรถม้าด้วย จึงกลืนคำพูดลงไป
สิ่งที่เขาใคร่จะเอ่ยคือหลัวช่าวิญญาณถูกปลุกให้ตื่นขึ้น แต่ไม่รู้เหตุใดเขารู้สึกว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ควรกล่าวถึงต่อหน้าราชาพ่อมด แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องกังวลเพียงนี้ไปเพื่อเหตุใดก็ตาม
“เรา…ต้องรีบไปกันหน่อยหรือไม่?” อิ่งลิ่วถาม
“อื้ม” อิ่งสือซันพยักหน้า กระชับบังเหียน เร่งความเร็วรถม้าถึงขีดสุด
การหายตัวไปของราชาพ่อมด ไม่อาจปกปิดได้นานนัก อย่างไร ‘เยี่ยยาง’ ก็ไปเยี่ยมราชาพ่อมดแล้ว ราชินีแม่มดห่วงบุตรชาย ไม่ช้านางก็จะไปตำหนักราชาพ่อมด และแม้ว่าจะไม่ไป นางก็อาจจะไปตำหนักองค์ชายเยี่ยยาง เมื่อถึงยามนั้นนางก็จะรู้ว่าเยี่ยยางไม่อยู่แล้ว
เพื่อการหลบหนีเอาชีวิตรอด ต๋าหว่าใช้ม้าพันหลี่ที่ดีที่สุดของจวนสกุลเวิน วิ่งไปตามถนนหลวงด้วยความเร็วซึ่งเกือบเทียบได้กับสายฟ้า
ไม่นานพวกเขาก็ออกห่างจากวังหลวง ทว่าสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดก็คือ ทั้งที่หลบราชินีแม่มดได้แล้ว แต่กลับต้องพบผู้อาวุโสสามโดยไม่ได้นัดหมาย
เดิมผู้อาวุโสสามคิดจะไปนั่งเล่นที่จวนผู้อาวุโสห้าและผู้อาวุโสเจ็ด ทว่าบังเอิญพบรถม้าเคลื่อนมาอย่างเร่งรีบจนเกือบจะชนรถม้าของเขา ตรอกตรอกนี้มิได้กว้างขวาง ทั้งสองฝ่ายจำต้องดึงบังเหียนหยุดรถม้า
ทันทีที่หยุดลง ผู้อาวุโสสามก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง
นี่มิใช่รถม้าของจวนสกุลเวินหรอกหรือ?
รีบร้อนเช่นนี้ไปที่ใดกัน?
ผู้อาวุโสสามเปิดม่านมองอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันบนที่นั่งสารถี “ผู้ใดอยู่ในรถม้า?”
อิ่งสือซันกำบังเหียน อิ่งลิ่วจ้องเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องอะไรของเจ้า?”
“โอหัง!” ผู้อาวุโสสามเปิดม่านออกจนสุด
เขาเป็นพ่อตาของเวินซวี่ ต่อให้ญาติของเวินซวี่มาที่นี่ก็ต้องเรียกเขาอย่างสุภาพนอบน้อม สารถีรถม้าพวกนี้มีค่าอันใด? กล้าดีอย่างไรมาคุยโวโอ้อวดไร้ยางอายต่อหน้าเขา!
“เจ้าไปดูว่าผู้ใดอยู่ในรถม้า” ผู้อาวุโสสามเอ่ยกับสารถี
“ขอรับ!”
สารถีกระโดดลงจากรถม้า เดินไปที่รถม้าของอีกฝ่าย
อิ่งสือซันบีบด้ามดาบในมือ
โจวจิ่นเคาะประตูเบาๆ เป็นนัยว่าตนไม่เป็นไร
อิ่งสือซันปล่อยให้สารถีเดินผ่านไปเปิดม่านขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
ทันทีที่สบตากับโจวจิ่น โจวจิ่นก็ใช้ภาพลวงตา
สารถีผงะ ปิดม่านลง กล่าวกับผู้อาวุโสสาม “เป็นเหล่าญาติสตรีขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าเป็นญาติสตรี ผู้อาวุโสสามก็ไม่อาจพูดสิ่งใดอีก ไม่แปลกใจที่องครักษ์นั่นจะโอหังเช่นนี้ เขาเป็นบุรุษอกสามศอก กลับตรวจสอบรถม้าของสตรี หากใครรู้เข้าคงไม่สุภาพเป็นแน่
หัวใจของต๋าหว่าเคลื่อนมาถึงคอ กลัวว่าผู้อาวุโสสามจะยืนกรานให้เหล่า ‘ญาติสตรี’ ลงจากรถม้าไปคารวะ โชคดีที่ผู้อาวุโสสามเพียงแค่ให้สารถีกลับมาและตัดสินใจจะเดินทางจากไป
แต่น่าเสียดายที่ราชาพ่อมดไม่อาจกลั้นเสียงไอ
คิ้วของผู้อาวุโสสามกระตุก
ในเมื่อข้างในรถม้าเป็นญาติสตรี ทว่าเหตุใดถึงมีเสียงไอของบุรุษ?
นั่งตำแหน่งผู้อาวุโสสามได้ พลังเวทย่อมไม่อ่อนแอ เขาก็เป็นหนึ่งในพ่อมดใหญ่ระดับเทียน ทว่าหากเทียบกับโจวจิ่นแล้วก็ด้อยกว่าเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นโจวจิ่นก็คงไม่อาจซ่อนกลิ่นอายของตนยามอยู่ต่อหน้าเขาได้ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เกิดข้อพิรุธ เขาก็สามารถที่จะตอบสนองด้วยสัญชาตญาณ
สารถีของเขาถูกคนใช้เวทมนตร์สร้างภาพลวงตา จึงทำให้มองเห็นคนในรถม้าผิดไป!
“ผู้ใดกัน?! ออกมาเดี๋ยวนี้!”
เขาแผดเสียงด้วยโทสะ ต๋าหว่าหัวใจหล่นวูบ
“เขาดูเหมือนผู้อาวุโสสามยิ่งนัก” อิ่งลิ่วกระซิบ เขาเคยตรวจสอบข่าวสาร หาภาพวาดของสภาอาวุโส ชายชราผู้นี้คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสสามในรูปภาพยิ่งนัก
ผู้อาวุโสสามเป็นสายของราชินีแม่มด ถูกเขาพบก็ไม่ต่างจากถูกราชินีพบ อิ่งสือซันชักดาบออกมา “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงฆ่าปิดปาก!”
ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเขาไม่ให้นำตัวราชาพ่อมดไปได้!
ผู้อาวุโสสามชำนาญการใช้เวทมนตร์ เปิดฉากปล่อยพลังโจมตีอิ่งสือซันทันที ดวงตาโจวจิ่นส่องประกายวาบ สะท้อนพลังของเขากลับไป
อิ่งสือซันกระโดดเหาะ แทงดาบยาวตรงไปยังผู้อาวุโสสาม ทันใดนั้น ต๋าหว่าก็กระโดดลงจากรถม้า คว้าเท้าของอิ่งสือซันไว้ “อย่า—”
ผู้อาวุโสสามผุดเหงื่อเย็น มองต๋าหว่าที่จู่ๆ ก็วิ่งออกมาอย่างตกตะลึง “เวินซวี่?”
ต๋าหว่าชำเลืองมองเขาด้วยความละอาย จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับอิ่งสือซัน “อย่าฆ่าเขา! เขาคือ…”
บิดาของหวั่นโหรว
ต๋าหว่ากลืนคำพูดลงคอและกล่าวกับอิ่งสือซัน “สะกดจุดเขาเถอะ เช่นนี้เขาก็ไม่อาจไปส่งข่าวได้แล้ว”
อิ่งสือซันมองต๋าหว่าด้วยสายตาเย็นชา
ต๋าหว่าเป็นบุรุษขี้ขลาด ทว่ากลับไม่ถอยเมื่อเห็นสายตากดข่มของอิ่งสือซัน
อิ่งลิ่วใช้วิชาตัวเบา แวบมาอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสสาม สะกดจุดเขากับสารถี “หลังจากนี้สามชั่วยาม จุดที่สะกดไว้จะคลายออกเอง”
เมื่ออิ่งสือซันเห็นอิ่งลิ่วตัดสินใจแล้ว ก็เก็บดาบในมือลงด้วยสีหน้าว่างเปล่า
คนทั้งกลุ่มกลับขึ้นรถม้า ถอยออกจากตรอก ไปใช้ถนนสายอื่นกลับจวนสกุลเวิน
อวี๋หวั่นเก็บสัมภาระเกือบเสร็จแล้ว พวกเขาคนมากเช่นนี้ เป้าหมายยังใหญ่เกินไป หลังจากหารือกับเยี่ยนจิ่วเฉา ก็เกลี้ยกล่อมอวี๋เซ่าชิงให้พานางเจียงและไข่ดำทั้งสามออกจากเมืองไปก่อน
“ไม่นานหากราชินีแม่มดรู้ตัวแล้ว ต้องสั่งปิดประตูเมืองเป็นแน่ ข้ากังวลว่าจะออกไปไม่ได้” อวี๋หวั่นนำสัมภาระชิ้นสุดท้ายใส่ไว้ในกล่อง
ตามความตั้งใจของเยี่ยนจิ่วเฉา คือให้เธอไปพร้อมกับพวกเขา แต่อวี๋หวั่นก็ยืนยันที่จะอยู่
ไม่ว่าก้าวไปข้างหน้าหรือว่าจะถอยหลัง เธอก็อยากอยู่เคียงข้างเยี่ยนจิ่วเฉา
อีกอย่าง ลูกปัดที่เว่ยฮั่นหลินมอบให้เธอก็แตกไประหว่างการต่อสู้กับหลัวช่าทหารแล้ว กลิ่นอายเผ่าศักดิ์สิทธิ์บนร่างกายของเธอก็เผยออกมาเป็นครั้งคราว หากในตอนที่ออกจากเมืองไปพร้อมท่านพ่อ ท่านแม่ และบุตรชายถูกคนขวางไว้ พวกเขาคงถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น
ราชาพ่อมดผล็อยหลับไประหว่างทาง นี่หาใช่เรื่องไม่ดีอะไร หากเขาตื่นอยู่ เกรงว่าจะไม่เต็มใจไปจากเผ่าพ่อมด
อวี๋หวั่นลูบหัวเล็กๆ ของโจวจิ่น “สัมภาระเจ้าข้าเก็บให้แล้ว เจ้าลองกลับไปดูว่ายังมีสิ่งใดอยากนำไปด้วยอีกหรือไม่?”
โจวจิ่นกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก คนอยู่ก็พอ”
อวี๋หวั่นพยักหน้าชื่นใจ เด็กดีเช่นนี้ ช่างรู้ประสา ชวนให้คนรักใคร่เอ็นดู
อวี๋หวั่นมองไปที่ประตู “ชุยเฒ่า ท่านเก็บของเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“เรียบร้อยๆ ขาดเพียงสมุนไพรยาอีกสองสามชนิดสุดท้าย!” ชุยเฒ่ารีบร้อนตอบกลับ
“ข้าไปช่วยเอง” อวี๋หวั่นไปที่ห้องของชุยเฒ่า
สัมภาระของอิ่งลิ่ว โจวอวี่เยี่ยนเก็บให้แล้ว ส่วนของอิ่งสือซันผิงเอ๋อร์ก็ช่วยจัดการให้เรียบร้อย ผิงเอ๋อร์ไม่ได้ช่วยเก็บให้ต๋าหว่า เพราะ—
ต๋าหว่าผลักประตูเข้าไปในห้อง เห็นร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่งกำลังพับผ้าของเขา
เขาพลันตกตะลึง “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“มิใช่ว่าใกล้จะไปแล้วหรือ?” ฮูหยินรองหยิบเสื้อผ้าที่พับได้ครึ่งหนึ่ง หันกลับมายิ้มให้เขา
“อา…ข้า…เอ่อ…” ต๋าหว่าพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พวกเขาใกล้จะไปแล้ว ข้า…จะไปส่งพวกเขา”
“อื้ม นายท่านรองเพียงไปส่งพวกเขา มิใช่จะไม่กลับมา” ฮูหยินรองหลับตา พึมพำสองสามคำ พับเสื้อผ้าของเขาเสร็จแล้วกล่าวว่า “นายท่านรองคงไม่ได้ไปอยู่ข้างนอกนานนักกระมัง ข้ามิได้เก็บของไปมากเท่าใด”
“ไม่…ไม่นาน ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว” ต๋าหว่าพูดด้วยความรู้สึกผิด ไม่กล้าสบตานางสักนิด
ฮูหยินรองเก็บข้าวของต่อไปเงียบๆ เมื่อหันไปก็เห็นต๋าหว่าก้มหน้าไม่พูดจา คล้ายกับสลดหดหู่เล็กน้อย นางถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่านรองเป็นอะไรไปหรือ?”
“ไม่มีอะไร” ต๋าหว่ากล่าวน้ำเสียงสะอึกสะอื้น หันกลับไปถูดวงตาที่เป็นสีแดง
เขาไม่อยากแยกจากนาง…
แต่เขาก็พูดไม่ได้…
ฮูหยินรองผูกถุงผ้าแล้วเดินไปหาเขาอย่างอ่อนโยน
ต๋าหว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ นางหยุดอยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือมากอดเขาไว้ในอ้อมแขน “นายท่านรอง อย่าลืมคิดถึงข้านะ”
“อื้ม!” ต๋าหว่ากลั้นน้ำตา พยักหน้าสะอึกสะอื้น
ฮูหยินรองยิ้มอย่างอ่อนโยน “เวลาไม่คอยท่าแล้ว ขึ้นรถม้าของข้าเถิด รถม้าของข้าเร็ว”
รถม้าของนางไม่เร็ว ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าตรวจสอบ
ต๋าหว่ายื่นมือออกมาอยากโอบกอดนางยิ่งนัก
ฮูหยินรองหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับกำลังรอคอยบางสิ่ง
ทว่าสิ่งที่นางรอคอยก็ไม่เกิดขึ้น
ต๋าหว่ากลั้นใจลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยดวงตาแดงที่อ่อนลง “ข้าจะไปเรียกพวกเขา”
ฮูหยินรองยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินรองใช้รถม้าสามคัน อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉา โจวจิ่น ราชาพ่อมด อิ่งสือซันหนึ่งคัน ชุยเฒ่ากับผิงเอ๋อร์ อาม่า อิ่งลิ่วหนึ่งคัน โจวอวี่เยี่ยน มู่ชิง ต๋าหว่า ฮูหยินรองหนึ่งคัน
“ฮูหยินรอง ท่านจะไปที่ใดหรือ?” เมื่อออกจากจวนสกุลเวิน เด็กรับใช้ก็เรียกนาง
ฮูหยินรองเปิดม่านกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าจะกลับบ้านมารดา นี่เป็นของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้กับครอบครัว”
เด็กรับใช้ยิ้มอย่างสุภาพ ถอยให้ทางไปด้านข้าง “อ้า เช่นนั้นเชิญขอรับ”
พวกเขาออกจากจวนสกุลเวินโดยไร้อุปสรรค
บนรถม้า ไม่มีผู้ใดเอื้อนปากพูดคุย
ต๋าหว่าหวังให้พวกเขาเดินทางออกเร็วสักหน่อย เช่นนี้คนของราชินีแม่มดก็จะตามพวกเขาไม่ทัน ต๋าหว่าหวังให้ถนนเส้นนี้ยาวขึ้นอีกหน่อย เขาจะได้มองนางให้นานกว่านี้
…………………………………………