หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 543 เป็นพ่อคนแล้ว
ทำไมอยู่ๆ เธอถึงมีพ่อเพิ่มมาอีกคนซะแล้วละ
กลิ่นอายรุนแรงของหลัวช่าวิญญาณแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเยี่ยนจิ่วเฉา ถ้าหากไม่ใช่เพราะสีหน้าจริงจังของเขา อวี๋หวั่นก็คงคิดว่าเธอฟังผิดไป
ทันทีที่กลายเป็นหลัวช่าวิญญาณ เยี่ยนจิ่วเฉาควรจะฆ่าเธอไม่ใช่หรือ? ทำไมอยู่ๆ ถึงกลายมาเป็นพ่อเธอได้
อวี๋หวั่นยังคงยืนงงอยู่ที่เดิม ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ไม่ใช่สิ คงไม่ใช่หรอก
ทุกคนซึ่งเมื่อครู่ถูกหลัวช่าวิญญาณคนใหม่กำราบต่างก็ตะลึงงันไปตามกัน
ไหนบอกว่าหลัวช่าวิญญาณฆ่าไม่เลือกหน้า? แต่กลับจำลูกของตนเองได้?
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งกำลังยืนนิ่งด้วยความสับสน เขาหรี่ตา แล้วพูดว่า “เป็นอะไร พ่อทำให้เจ้ากลัวหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า เมื่อเห็นว่าทันใดนั้นจิตสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอก็รีบส่ายหัว!
คิดไม่ถึงว่าจิตสังหารของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เพียงไม่ลดลง แต่ยังปะทุเพิ่มขึ้นด้วย อวี๋หวั่นคิดว่าถ้าหากเธอพูดผิดไปอีกคำเดียว หมอนี่คงไม่ปล่อยให้เธอรอดอย่างแน่นอน
เพราะท่านพ่อคนนี้ก็ดูเป็นคนที่ดุสุดๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองอิ่งสือซันและคนอื่นๆ “เจ้าอยากไปกับพวกเขาหรือ?”
“ตอนนี้ไม่อยากแล้ว” อวี๋หวั่นตอบอย่างสัตย์จริง
“แสดงว่าเมื่อครู่อยากไป?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยความเคลือบแคลงใจ
อ๋า!
เจ้าพ่อบ้า เอาใจยากจริงๆ!
แต่ว่าสิ่งที่เธอควรสนใจตอนนี้คือทำไมเขาถึงกลายเป็นท่านพ่อของเธอได้ไม่ใช่หรือ?
อวี๋หวั่นพูดตะกุกตะกักว่า “ข้าคิดว่า…”
“หืม?” เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสายตาแข็งกร้าวราวกับพญามัจจุราช
อวี๋หวั่นยอมแพ้ และตัดสินใจจะโน้มน้าวให้เขาเข้าไปในห้อง
อวี๋หวั่นเข้าไปกอดแขนเขา ยิ้มกว้าง แล้วบอกเขาว่า “เอาละสามี ท่านเข้าไปในห้องก่อนเถิด”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นตัวแข็งไป สีหน้าของเธอแลดูลนลาน แล้วจึงตอบไปว่า “ท่านพ่อ…ท่านพ่อเข้าไปรอในห้องก่อนนะเจ้าคะ ลูก… ลูกจะไปชงชาให้!”
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาจึงดีขึ้นมาสักหน่อย จากนั้นก็ถูกอวี๋หวั่นดันจนเดินเข้าไปในห้องของตน
หลังจากที่อวี๋หวั่นส่งเขาเข้าไปข้างใน เธอก็ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
ใต้เท้า ‘หลัวช่าวิญญาณ’ เยี่ยนเห็นว่าลูกสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างประจบประแจง ก็แค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วเดินเข้าไปด้านใน
อวี๋หวั่นปิดประตูให้เขาเบาๆ จากนั้นก็รีบสาวเท้าออกมานอกห้อง แล้วพยุงราชาพ่อมดและอิ่งสือซันขึ้นมา “พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ทั้งสามคนได้สติ อิ่งสือซันยกมือกดลงบนหน้าอกซึ่งรู้สึกปวดหนึบ “ข้าไม่เป็นไร อิ่งลิ่วละขอรับ?”
“แค่ปวดหัวนิดหน่อย” อิ่งลิ่วเดินกุมศีรษะเข้ามา
อวี๋หวั่นมองไปยังราชาพ่อมดอีกครั้ง ราชาพ่อมดกดขมับ แล้วบอกว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ทันทีที่พูดจบ ขาสองข้างของเขาก็อ่อนยวบ ล้มลงกับพื้น โชคดีที่อิ่งสือซันเข้ามาพยุงเขาได้ทันเวลา
อิ่งสือซันประคองเขาไปนั่งบนม้าหิน
อวี๋หวั่นพาโจวจิ่นมา อาจเป็นเพราะเยี่ยนจิ่วเฉามิเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในสายตา อาการบาดเจ็บของโจวจิ่นจึงดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย เพียงแต่…เมื่อครู่ยืนอยู่กับที่นานไปหน่อย ตอนนี้เท้าจึงชาไปหมด
อวี๋หวั่นจับชีพจรให้พวกเขา พวกเขาทุกคนบาดเจ็บภายในเล็กน้อย
“กินยาก่อนเถิด” อวี๋หวั่นหยิบขวดยาใบหนึ่งออกมา
ทุกคนกินยาเข้าไป
โจวจิ่นก็ยื่นมือออกมารอรับยา
อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกิน ยานี่เด็กไม่ควรกิน ประเดี๋ยวข้าจะไปต้มยาให้เจ้าดื่ม”
โจวจิ่นพยักหน้า
แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะเข้าไปในห้องแล้ว ทว่าความรู้สึกในใจของพวกเขายังคงซับซ้อน เดิมทีคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่รอด สุดท้ายเขากลับมีชีวิตรอดมาได้ พวกเขาควรจะดีใจ แต่ว่า…เขากลายเป็นหลัวช่าวิญญาณนี่สิ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะกลายเป็นหลัวช่าวิญญาณแล้ว ก็ไม่ยักเหมือนกับที่จินตนาการไว้
อิ่งลิ่วจับลำคอของตนเอง แล้วพูดด้วยท่าทางเซ่อซ่าว่า “ข้ายังไม่ตายจริงๆ ใช่ไหม?”
โจวจิ่นเหลือบมองเขาด้วยสายตาประหนึ่งกำลังมองคนติงต๊อง
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “จะว่าไป เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เขาเป็นหลัวช่าวิญญาณหรือ?”
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด” ราชาพ่อมดตอบ
“หมายความว่าอย่างไร” อวี๋หวั่นถามเขา
ราชาพ่อมดอธิบายว่า “ในตัวของเขามีพลังของหลัวช่าวิญญาณ แต่เขาไม่ได้มีจิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณ”
เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าหากเยี่ยนจิ่วเฉามีจิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณจริง เช่นนั้นสิ่งแรกที่เขาทำก็ย่อมต้องเป็นการเปิดฉากสังหารหมู่และกลืนกินราชาพ่อมดกับโจวจิ่นอย่างแน่นอน
“ข้าว่าพลังเวทของข้ากับโจวจิ่นนั้นได้ผล เพียงแต่ว่าพวกมันขจัดจิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณ แต่กลับไม่ได้ทำลายพลังไป พลังของมัน…คงจะถูกร่างของเยี่ยนจิ่วเฉาดูดซับเอาไว้” กล่าวมาถึงตรงนี้ ราชาพ่อมดก็ชะงักไป แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อว่า “หรือจะพูดอีกอย่างว่า เขากลืนกินหลัวช่าวิญญาณไปแล้ว แต่กลืนกินเพียงพลัง ไม่ได้กลืนกินความทรงจำ เพราะฉะนั้นข้ากับโจวจิ่นจึงกำจัดไปเพียงจิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณ”
ดูจากพลังของเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขายินยอม ราชาพ่อมดและโจวจิ่นย่อมไม่มีทางกำจัดสิ่งใดออกไปจากสมองของเขาได้ ราชาพ่อมดคิดว่า ต่อให้ตนกับโจวจิ่นไม่ได้ลงมือ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ต้องหาวิธีกำจัดจิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณด้วยตัวเอง เพียงแต่หากทำเช่นนั้นก็ต้องเปลืองแรงสักหน่อย
ราชาพ่อมดกล่าวว่า “หลัวช่าวิญญาณเชี่ยวชาญวิชาคุมวิญญาณ ไม่รู้ว่ากลืนกินวิญญาณของยอดฝีมือไปแล้วกี่คน ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมาถูกกลืนกินเสียเอง”
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนแรกที่กลืนกินหลัวช่าวิญญาณ ถ้าหากไม่เห็นด้วยตาของตนเอง ราชาพ่อมดก็คงไม่เชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ยอมรับเรื่องนี้ได้มากกว่าราชาพ่อมด อย่างไรเสียก่อนที่จะกลืนกินหลัวช่าวิญญาณ ใครบางคนก็เคยดูดซับพลังของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจมาแล้ว ดังภาษิตที่ว่าแรกพบเป็นคนแปลกหน้า พบกันครั้งที่สองเป็นคนรู้จัก…ครั้งที่สามสี่อาจถูกกิน
อวี๋หวั่นร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ จึงถามราชาพ่อมดว่า “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำของเขาหรือ”
“นั่นสิ คุณชายจำพวกเราไม่ได้ จำได้แค่ฮูหยินน้อยคนเดียว แต่ว่า…” อิ่งลิ่วพูดมาถึงตรงนี้ก็กระแอมด้วยสีหน้ากระดากใจ
“แต่คิดว่าตัวเองเป็นท่านพ่อของข้า!” อวี๋หวั่นต่อประโยคของอิ่งลิ่วจนจบ กล่าวตามตรง อันที่จริงเธอเองก็ยังสับสน อยู่ดีๆ ทำไมเยี่ยนจิ่วเฉาถึงได้กลายเป็นท่านพ่อของเธอไปได้ เรื่องนี้น่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่าเขากลายเป็นหลัวช่าวิญญาณเสียอีก
ราชาพ่อมดเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่า…เรื่องนี้เกิดจากผลข้างเคียงของการกำจัดจิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณ”
เยี่ยนจิ่วเฉากลืนกินหลัวช่าวิญญาณ แต่หลัวช่าวิญญาณก็กลืนกินยอดฝีมือไปนับไม่ถ้วน จิตสำนึกของหลัวช่าวิญญาณถูกขจัดไป แต่จิตสำนึกของยอดฝีมือเหล่านั้นไม่ได้หายไปด้วย ทำให้ความทรงจำของเยี่ยนจิ่วเฉาเริ่มยุ่งเหยิง เขาอาจคิดว่าตนเองเป็นยอดฝีมือคนไหนสักคนที่ถูกหลัวช่าวิญญาณกลืนกินไป
ราชาพ่อมดถอนหายใจ “หลัวช่าวิญญาณกลืนกินเหล่ายอดฝีมือไปมาก ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคนไหน”
อวี๋หวั่นจึงถามว่า “พวกเราบอกเรื่องนี้กับเขาได้หรือไม่?”
ราชาพ่อมดส่ายหน้า “ด้วยอาการของเขาในตอนนี้ ไม่ควรมีสิ่งใดไปกระตุ้น”
ดวงตากลมรูปผลซิ่งของอวี๋หวั่นเบิกกว้าง “เขาจะคลุ้มคลั่งหรือ?”
ราชาพ่อมดมีสีหน้าเคร่งขรึม “เขาจะฆ่าคน”
อวี๋หวั่น “…”
……
อวี๋หวั่นกลับห้องไปอีกครั้ง พร้อมกับโจ๊กลำไยและพุทราที่เธอลงมือต้มด้วยตัวเอง
“เอ…จะต้องนำไปให้คุณชายจริงๆ หรือขอรับ?” อิ่งสือซันถามด้วยความลังเล
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วมองหน้ากัน พวกข้าไม่ได้กลัวว่าเขาจะทำร้ายท่าน แค่กลัวว่าโจ๊กของท่านจะไปทำร้ายเขาต่างหาก…
อวี๋หวั่นยกโจ๊กเข้าไปในห้อง
ดูเอาก็แล้วกัน ขนาดเขากลายเป็นปีศาจร้าย เธอยังคอยดูแลเขาไม่มีขาดตกบกพร่อง เธอนี่ช่างเป็นภรรยาที่ดีเสียจริง!
เยี่ยนจิ่วเฉาต่อสู้มาทั้งคืน เขาเหนื่อยล้าเต็มที แต่ก็นอนไม่หลับ จึงลุกมานั่งที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“อะแฮ่ม” อวี๋หวั่นกระแอมแรงๆ ครั้งหนึ่ง
ทันทีที่เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นเธอ สีหน้าเย็นชาก็หายไปชั่วขณะ แต่ไม่ทันไรก็กลับมาเป็นดังเดิม “ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม? ไม่คิดจะเรียกพ่อเลยหรือ?”
ท่านป่วยท่านก็พูดได้สิ!
อวี๋หวั่นกัดฟันกรอด เธออยากจะตบกะโหลกตัวเองจริงๆ ที่เมื่อคืนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร!
“ท่านพ่อ~” อวี๋หวั่นฝืนยิ้มเดินเข้าไปวางถาดลงบนโต๊ะ “ท่านคงหิวแล้วใช่ไหมละ?”
“หืม?” เยี่ยนจิ่วเฉาลากเสียงยาว
อวี๋หวั่นกัดฟัน แล้วยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็พูดเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ท่านคงหิวแล้วใช่ไหมเจ้าคะ? ข้า…ลูกเลยต้มโจ๊กมาให้ ท่านพ่อกินตอนร้อนๆ สิเจ้าคะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ ‘อืม’ แล้วจึงยกโจ๊กขึ้นมาชิม
อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันยืนรออยู่ด้วยความวิตก เผื่อว่าโจ๊กรสชาติแย่จนคุณชายเกิดโทสะ คิดฆ่าคนขึ้นมา พวกเขาจะได้ช่วยฮูหยินน้อยออกมาได้ทัน
ไหนเลยจะรู้ว่าคุณชายไม่ได้ทำเช่นนั้น เขากินโจ๊กปริมาณสำหรับห้าคนจนหมดราวกับไม่มีอะไรตกถึงท้องมาแปดชาติ
“อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?” อิ่งลิ่วเดินไปตักโจ๊กซึ่งเหลืออยู่ในหม้อมาจากห้องครัว ทันทีที่กินเข้าไป เขาแทบเป็นลม จนต้องบ้วนออกมา และทรุดลงไปบนพื้น…
เยี่ยนจิ่วเฉาวางชามโจ๊กกลับใส่ถาด อวี๋หวั่นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอก้มหน้ามองหน้าท้องนูน เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของเยี่ยนจิ่วเฉามาหยุดอยู่ที่ท้องของตน อวี๋หวั่นก็เงยหน้าขึ้นมา เธอกำลังลังเลว่าจะบอกเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไรเรื่องลูกในท้องโดยที่ไม่กระตุ้นโทสะของเขา “ข้า…”
เยี่ยนจิ่วเฉาโบกมืออย่างไม่ยี่หระ “ไม่ต้องพูดหรอก ข้าเข้าใจ เจ้าไม่ได้ท้อง เจ้าแค่อ้วน”
อวี๋หวั่น “…!!”
…………………….