หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 6.1 ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ (1)
ดูเหมือนว่าในรอบนี้พ่อครัวหลวงจะชิมอาหารนานกว่าปกติ แต่ก็เข้าใจได้ว่าผู้แข่งขันทั้งสามต่างใช้ทักษะที่ตนเองถนัดเป็นพิเศษ พ่อครัวหลวงคงยากที่จะตัดสิน แต่หารู้ไม่ว่าพ่อครัวหลวงเพียงแค่โดนรมควันจนแทบจะเป็นลม…
ห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คนที่รอดูผลการแข่งขัน มีทั้งแขก ทั้งกลุ่มคนที่ตกรอบ ไป๋ถังกระวนกระวายนั่งไม่ติด พลันเดินไปที่ห้องโถง
ผู้จัดการชุยกลัวว่าสตรีหยิ่งยโสผู้นี้ไม่วายจะไปหาเรื่องผู้คนให้ต้องตกตะลึงอีก เขาจึงต้องตามไปอย่างไม่เต็มใจ
ไป๋ถังจดจ่อในผลการตัดสิน แต่ก็ไม่ได้คิดจะสร้างความเดือดร้อน
“เหตุใดถึงลึกลับเพียงนี้? ไม่ใช่แม่นางตู้หรอกรึ?”
“ใช่ ต้องเป็นแม่นางตู้สิ!”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร? นอกจากแม่นางตู้แล้ว ผู้ใดที่จะชนะการแข่งขันได้อีก? พ่อครัวหมีรึ? หรือว่าคนพิการ?”
“ฮ่าๆ!” ทุกคนต่างหัวเราะขำขัน
ผู้จัดการชุยแอบเหงื่อตก มองด้านหลังของคุณหนู โชคดีที่คุณหนูรอฟังผลอย่างแน่วแน่ ไม่เช่นนั้น หากได้ยินวาจาไอ้สารเลวเมื่อครู่ คงได้พุ่งมาเตะเสียแล้ว
แม้ไป๋ถังไม่ได้ยิน แต่นางก็ไม่ได้จดจ่อรอฟังผลเท่านั้น สายตาของนางมองไปยังทางเดินชั้นสาม สถานะของเหยียนหรูอวี้เปิดเผยออกมาตั้งแต่วันแรก ยามนี้ห้องของนางเต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมแสดงความยินดีกับแม่นางตู้
คนกลุ่มหนึ่งกำลังยิ้มหน้าแดงระเรื่อ ราวกับได้สอดแนมผลการแข่งขันจากห้องพ่อครัวหลวงมาแล้ว เหยียนหรูอวี้ที่ได้รับการชมเชยและความยินดีจากทุกคน นางแย้มยิ้มไปทั้งหน้าอย่างเบิกบาน เห็นได้ว่านางเชื่ออย่างสนิทใจว่าแม่นางตู้จะชนะโดยไม่ต้องสงสัย
เป็นแม่นางตู้จริงๆ หรือ?
ไป๋ถังกลัดกลุ้มใจ
ไม่รู้ว่ารอมาเนิ่นนานเพียงใด ในที่สุดผลการแข่งขันรอบสุดท้ายก็ประกาศ
แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ผู้ชนะไม่ใช่แม่นางตู้!
“เป็นไปได้อย่างไร?” เหยียนหรูอวี้จ้องมองด้วยความแปลกใจ “เจ้าฟังผิดไปหรือไม่?”
ลี่จือกล่าวอย่างร้อนใจ “เดิมทีข้าน้อยก็คิดว่าตนเองฟังผิด จึงไปถามซ้ำดูอีกหลายครา”
แม่นางตู้ดูไม่ได้เป็นทุกข์ร้อนเท่ากับเหยียนหรูอวี้ ทว่าสีหน้าของนางกลับดูเย็นชาลง
เหยียนหรูอวี้มุ่นคิ้วพลางเอ่ย “เช่นนั้นผู้ชนะคือผู้ใด? อย่าบอกว่า หอจุ้ยเซียน!”
ลี่จือหลุบหน้าลง “…ก็…ก็หอจุ้ยเซียนล่ะเจ้าค่ะ”
ผู้ชนะคนสุดท้ายไม่ใช่แม่นางตู้แต่เป็นหอจุ้ยเซียน ข่าวที่น่าตกใจนี้ทำให้หอเทียนเซียงลุกเป็นไฟ แม้พ่อครัวอวี๋จะมาจากหอเทียนเซียง พ่อครัวหยางที่ได้รับชื่อเสียงจากอาหารจานเด่นของเขา ก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเทียบกับแม่นางตู้
“มีสิ่งใดผิดพลาดไปหรือไม่?”
“ข้าได้ยินมาว่าผู้นำของหอจุ้ยเซียนเป็นรองหัวหน้าสมาพันธ์ธุรกิจเจียงจั่ว”
ความหมายของแขกผู้นี้คือหอจุ้ยเซียนใช้เส้นสาย
“อ้อ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่บอกเล่าว่า ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของแม่นางตู้เป็นบุตรีจวนแม่ทัพ? แล้วผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังบุตรีจวนแม่ทัพก็คือคุณชายเยี่ยน?” ไป๋ถังตอกกลับ ทำให้คนผู้นั้นกล่าวไม่ออก
แขกอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “แต่ข้าได้ยินมาว่าแม่ครัวผู้ช่วยของหอจุ้ยเซียนเป็นคนที่ถูกองค์ชายรองช่วยไว้ นางก็คือคนที่องค์ชายรองไปช่วยมากับมือเมื่อวานอย่างไรล่ะ นางเป็นสตรีขององค์ชายรอง หากจะมีผู้ใดไม่กลัวคุณชายเยี่ยน ก็คงมีแต่องค์ชายรองผู้นี้แหละ”
องค์ชายรองเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญมากที่สุด พระมารดาของพระองค์ก็ครองวังหลัง หลังจากไม่มีผู้ใดที่ได้ครอบครองมงกุฎอย่างแท้จริง สถานะเช่นนี้จึงทำให้เขามั่นใจที่จะขัดแย้งกับคุณชายเยี่ยนอย่างเปิดเผย
ข่าวนี้เหยียนหรูอวี้ปล่อยออกมา ไม่เช่นนั้นจะมีผู้ใดอีกที่รู้ว่าบุคคลที่องค์ชายรองพาไปเป็นใคร?
เสียงความไม่พอใจค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าพ่อครัวของหอจุ้ยเซียนชนะแม่นางตู้ด้วยความสามารถที่แท้จริง แม้แต่แม่นางตู้เองก็ไม่เชื่อ
แม่นางตู้ส่ายหัวและกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าใช้น้ำหมักเก่าแก่ของท่านอาจารย์ ไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ได้”
บุรุษผู้หนึ่งต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแม่นางตู้จึงตะโกนออกมา “ได้โปรดออกมาเถิดพ่อครัวหลวง เราต้องการคำอธิบาย!”
จิตใจของผู้คนมักจะถูกปลุกปั่นได้ง่าย หากมีคนแรกที่กล้าลุกขึ้นต่อต้าน โดยธรรมชาติก็ย่อมมีคนอื่นๆ ตามมา
บุรุษอีกคนหนึ่งยืนขึ้นและกล่าวว่า “ใช่ พวกเราขอคำอธิบาย ท่านให้เราดูหน่อยเถิด ว่าเขาใช้ฝีมือเช่นใดเอาชนะแม่นางตู้!”
การตัดสินเป็นเรื่องของเหล่าพ่อครัวหลวง หาใช่มีคนก่อเรื่องก็จะเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ แต่แล้วแม่นางตู้ก็เดินมาที่ประตู
ทันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นที่ไม่อาจบรรยายก็พุ่งเข้ามาปะทะจมูก มันไม่ได้เหม็นเหมือนเต้าหู้เหม็น ทว่ามีความเยือกยาวนานราวกับเงา คล้ายกับหากเลอะเพียงนิดเดียวก็คงจะเหม็นติดตัวไปทั้งวัน
ภายใต้การครอบคลุมของกลิ่นนี้ หมูตุ๋นที่นางทำกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปได้อย่างไร? นางใช้น้ำหมักเก่าแก่ที่ทำจากวัตถุดิบที่ได้ชื่อว่าหอมไปสิบลี้ที่อาจารย์ของนางทำเองกับมือ…
แม่นางตู้โดนรมควันจนเกือบจะลืมธุระของตนเอง โชคดีที่นางกลับมามีสติได้ทันเวลา นางมองไปที่พ่อครัวหลวงทั้งหกที่อยู่ในห้องนั้นและเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ใต้เท้า ข้าไม่รู้ว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่นอย่างไร ข้าแพ้ให้กับหอจุ้ยเซียนจริงหรือ?”
แม้นางจะมีท่าทางสูงส่ง ทว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความรังเกียจที่มีต่อหอจุ้ยเซียน
สถานะของนางคือแม่ครัวผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นปกติที่จะรู้สึกดูถูกหอจุ้ยเซียน
พ่อครัวของหลวงต้องการให้นางลิ้มลองฝีมือของหอจุ้ยเซียน แต่พวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นหม้อที่ว่างเปล่าวางอยู่บนโต๊ะ
ผู้ใดบอกว่าชิมคำเดียว แล้วเหตุใดไม่มีเหลือสักคำ?
พ่อครัวหลวงจางกระแอมในลำคอ พลันสั่งคนให้ไปเรียกตัวลุงใหญ่ที่ห้องด้านข้างมา
ลุงใหญ่ทราบผลการแข่งขันแล้ว ไม่แปลกใจที่ถูกเรียกไปพบ การแข่งขันสองวันที่ผ่านมาทำให้เขารู้ถึงนิสัยของแม่นางตู้ สูงส่งเย่อหยิ่ง เกรงว่านอกจากพ่อครัวเทพเป้าแล้วก็คงไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาอีก เขาชนะนางและนางคงไม่ยอม
เมื่อเห็นว่าแม่นางตู้อยู่ที่นั่น เขาก็ยิ่งเชื่อในการคาดเดาของตัวเอง
“คารวะใต้เท้า” เขาโค้งคำนับกับไม้เท้าในมือของเขา
พ่อครัวหลวงรับรู้มาว่าเป็นพ่อครัวขาเป๋ แต่ครั้นเมื่อได้พบกันจริงๆ ก็ยังยากยิ่งที่จะไม่รู้สึกประหลาดใจ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ต่ำต้อย มีท่าที่ที่ไม่สามารถบรรยายได้ ไม่แปลกที่เขาได้เคยเห็นโลกกว้างอยู่ในหอเทียนเซียง
พ่อครัวหลวงจางบอกถึงความสงสัยของแม่นางตู้อย่างตรงไปตรงมา “…เจ้าคิดว่าอย่างไร? เจ้าก็คิดว่าเราตัดสินผิดด้วยหรือไม่?”
ลุงใหญ่ไม่รีบร้อนตอบคำถาม ทำเพียงเดินไปที่หน้าโต๊ะอาหาร หลังจากดูอาหารที่แม่นางตู้ทำ ก็หยิบตะเกียบคีบขึ้นมาชิมสองสามคำ ชิมทั้งน้ำแกง หนังขาหมู เนื้อขาหมู และแม้แต่เครื่องเคียง
“ข้าได้ยินมาว่าแม่นางตู้ใช้น้ำหมักเก่าแก่ที่พ่อครัวเทพเป้าทำใช่หรือไม่?” เขาวางตะเกียบลง
แม่นางตู้ตอบอย่างเย่อหยิ่ง “ใช่ มันคือน้ำหมักเก่าแก่ที่อาจารย์ของข้าทำเองกับมือ”
ลุงใหญ่กล่าว “ตอนที่ข้าทำงานอยู่ในหอเทียนเซียง ข้าไม่มีโอกาสได้พบกับพ่อครัวเทพเป้า แต่ข้าโชคดีพอจะได้ลิ้มรสน้ำหมักเก่าแก่ที่เขาทิ้งเอาไว้ ดูเหมือนว่ารสชาติที่แม่นางตู้ปรุงออกมาจะแตกต่างกัน”
แม่นางตู้ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ากำลังสงสัยว่าข้าแอบอ้างเรื่องน้ำหมักของอาจารย์หรือ?”
ลุงใหญ่ส่ายหัว “ข้าหาได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่าแม่นางตู้ได้แต่รูปทว่าไร้จิตวิญญาณ เจ้าไม่ได้ชื่นชมแก่นแท้ของน้ำหมักนี้”
มือเปล่าของแม่นางตู้จับกัน มองไปยังบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาไม่เชื่อ ไม่ใช่เพราะเขาใช้วาจารุนแรงทว่าเขากล่าวถูกต้อง ตอนที่อาจารย์มอบโถน้ำหมักเก่าแก่ใบนี้ให้กับนางก็เคยเอ่ยประโยคที่คล้ายกันนี้กับนางเช่นกัน ‘วั่นชิง เมื่อใดเจ้าสามารถชื่นชมแก่นแท้ของน้ำหมักโถนี้ได้ เมื่อนั้นเจ้าจะมีคุณสมบัติสืบทอดมรดกวิชาของอาจารย์’
นางฝึกฝนร่ำเรียนอย่างหนักมาสามปีเต็ม ในที่สุดนางก็ทำรสชาติที่ตนเองพึงพอใจออกมาได้ และไม่เชื่อว่าตนเองยังทำไม่สำเร็จ ต้องเป็นชายพิการผู้นี้ที่ตั้งใจกล่าวให้นางเสียขวัญเป็นแน่
“ดี ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าไม่ถูก เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา เจ้าคิดว่าแก่นแท้ของน้ำหมักนี้คืออะไร?”
ลุงใหญ่ไม่รีบร้อนตอบ เพียงแต่ถามกลับว่า “น้ำหมักเก่าแก่ยังมีเหลือให้ข้ายืมใช้หรือไม่?”
แม่นางตู้ส่งสายตาให้คนรับใช้ติดตามไปนำมา คนรับใช้เดินไปหยิบโถน้ำหมักเก่าแก่ที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งมา
ลุงใหญ่ไม่เอ่ยสิ่งใด อุ้มโถน้ำหมักเดินไปที่ห้องครัว
อวี๋หวั่นเห็นเขาเดินมาพร้อมกับโถน้ำหมักเก่าแก่จึงถามว่า “ท่านจะทำอาหารหรือ?”
ลุงใหญ่ตอบ “ข้าจะทำเอง”
อวี๋หวั่นกับอวี๋เฟิงสบตากันและเดินตามออกไป
……………………………………………….