หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 6.2 ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ (2)
แม่นางตู้เดาว่าเขากำลังจะทำอาหารและต้องเป็นอาหารที่มีความซับซ้อน แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบะหมี่ธรรมดาๆ ชามหนึ่ง แทนที่จะใช้น้ำมันพืชราคาแพง กลับใช้น้ำมันหมู ไข่ลวก ต้นหอมสองสามชิ้นและน้ำหมักอีกหนึ่งช้อน นั่นเป็นเครื่องปรุงทั้งหมด
ความเข้มข้นของกลิ่นน้ำหมักเก่าแก่ยังห่างไกลจากของแม่นางตู้ยิ่งนัก แม้ว่ากลิ่นหอมของต้นหอมกับน้ำมันหมูจะทำให้สูญเสียความเลิศหรูไปอย่างสิ้นเชิง ทว่ามันกลับเหมือนกลิ่นที่ได้ยามเดินผ่านบ้านเรือนของผู้คนทั่วไปอย่างไม่ตั้งใจ
แม่นางตู้นึกถึงห้องครัวที่เขรอะไปด้วยคราบน้ำมันในบ้านเกิด นางไม่ได้กลับไปที่นั่นกว่าสิบปีแล้ว
ลุงใหญ่วางชามบะหมี่ลงตรงหน้านาง
กลิ่นหอมของต้นหอมและน้ำมันหมูลอยเตะจมูกนาง ตั้งแต่นางประสบความสำเร็จ นางก็ไม่เคยกินของธรรมดาๆ เช่นนี้อีกเลย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าน้ำหมักเก่าแก่ของอาจารย์ข้ามีราคาสูงเพียงใด? แต่เจ้ากลับเอามาทำเสียของแบบนี้รึ?”
“กินเถิด” ลุงใหญ่ยื่นตะเกียบให้นาง
แม่นางตู้ขมวดคิ้ว แต่ก็เพื่อจะวิจารณ์ในภายหลังจึงต้องฝืนใจกินเข้าไป
หลังจากกินไปเพียงคำเดียว นางก็แข็งทื่อไปทั้งตัว
เมื่อพ่อครัวหลวงเห็นแม่นางตู้ที่มีทีท่าท้าทายเมื่อครู่กำลังถือชามบะหมี่ด้วยดวงตาแดงระเรื่อ
บรรดาพ่อครัวหลวงก็ตกตะลึง
แม่นางตู้กลอกตาที่มีน้ำใสไหลกลิ้งอยู่ข้างใน “มัน…”
ลุงใหญ่สูดหายใจและกล่าวต่อแทนนาง “มันคือความคิดถึง”
พ่อครัวเทพเป้าคิดถึงบุตรชายที่หายไป คิดถึงภรรยาที่เศร้าโศก จึงเป็นเหตุผลที่มีน้ำหมักโถนี้ เขาหาได้ต้องการงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารโอชะ หากแต่เป็นบ้านธรรมดาที่ไม่มีสิ่งใดจะธรรมดามากไปกว่านี้
แม่นางตู้เกิดมาในครอบครัวยากจน สิ่งที่นางสนใจมากที่สุดคือชีวิตของนางเอง เพื่อกำจัดเงาของอดีต นางจึงพยายามตัดขาดจากทุกสิ่งในอดีตออกไป ภายในใจมีเพียงความปรารถนามุ่งมาด ไม่มีความห่วงหาอาทร
คนที่ไม่มีความห่วงหาอาทร จึงไม่อาจสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวในใจของพ่อครัวเทพเป้าได้
ลุงใหญ่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก และไม่ได้ถกเถียงเรื่องผลการแข่ง เขาค้อมตัวไปทางพ่อครัวหลวง และใช้ไม้เท้าค้ำตัวเดินกระโผลกกะเผลกออกจากห้องไป
เงาด้านหลังของชายพิการผู้นี้ในสายตาของพ่อครัวหลวง คือบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำที่ยืนตระหง่านดั่งต้นสน
“ช้าก่อน”
พ่อครัวหลวงจางเรียกเขา
ลุงใหญ่หยุดและหันตัวกลับมาด้วยท่าทางที่ไม่ถนัด
พ่อครัวหลวงจางถาม “อาหารที่เจ้าทำคือสิ่งใดหรือ?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่ผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนของลุงใหญ่ “อาหวั่นของเราบอกว่ามันคือหลัวซือเฝิ่น “
ห้องของพ่อครัวหลวงตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เป็นห้องที่อยู่ใกล้กับโถงใหญ่มากที่สุด ฝูงชนที่เฝ้าดูอย่างตื่นเต้นเห็นแม่นางตู้เดินเข้าไปด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ จากนั้นก็เห็นพ่อครัวขาเป๋ของหอจุ้ยเซียนถูกพ่อครัวหลวงเรียกตัวเข้าไปพบ
หลังจากนั้นเขาก็เข้าครัวปรุงอาหารมาจานหนึ่ง
ดูเหมือนพ่อครัวหลวงจะไม่แน่ใจในการตัดสินของตนเอง จึงให้เขาแสดงฝีมือใหม่อีกครั้ง
หากเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ผลที่ออกมาคงพ่ายแพ้เป็นแน่
ทุกคนรอชมผลอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน พ่อครัวขาเป๋ก็เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความปีติยินดีในชัยชนะ เป็นอย่างที่คิดไว้ เขาแพ้แล้ว!
แต่ทันทีที่เขาเดินออกมา เสียงร้องไห้อันหดหู่ของสตรีผู้หนึ่งก็ดังตามมาจากห้องด้านหลังของเขา
ทุกคนตะลึงอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้น?
เหยียนหรูอวี้รีบเดินลงมาอย่างกระวนกระวายและเอ่ยกับลี่จือที่เดินตามมา “เจ้าไปดูทีว่าผลเป็นอย่างไร เหตุใดแม่นางตู้ถึงยังอยู่ข้างใน?”
“เจ้าค่ะ!” ลี่จือตอบอย่างรีบร้อน ขณะที่กำลังจะเดินไปดู แม่นางตู้ก็เปิดประตูออกมา
ดวงตาและจมูกของนางเป็นสีแดง มีน้ำใสไหลคลออยู่ในดวงตา
ทุกคนมองนางอย่างตกตะลึง
“ข้าแพ้แล้ว”
คำพูดนั้นออกจากปากนาง
โถงใหญ่พลันเงียบสงัด สีหน้าของเหยียนหรูอวี้ก็เปลี่ยนไป “แม่นางตู้!”
แม่นางตู้ค้อมตัวไปทางทิศที่ลุงใหญ่เดินจากไปอย่างเคารพเลื่อมใส นี่คือการยอมรับและเคารพในตัวผู้เป็นอาจารย์จากหัวใจ
เหยียนหรูอวี้ยิ่งไม่อยากเชื่อ “แม่นางตู้ ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังทำอันใด!”
พ่อครัวหลวงประกาศว่านางแพ้ยังไม่น่ากลัวเท่านางยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยตนเอง หากเป็นเช่นนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เหยียนหรูอวี้จะช่วยพลิกสถานการณ์กลับมา!
“แม่นางตู้ ท่าน…” เหยียนหรูอวี้โกรธจนหายใจติดขัด
แม่นางตู้หันศีรษะชำเลืองมองนาง
แววตาที่อ่อนลงของแม่นางตู้ทำให้เหยียนหรูอวี้ประหลาดใจ
แม่นางตู้เอ่ยอย่างแผ่วเบา “ขอบคุณคุณหนูเหยียนที่ช่วยข้า ท่านกับข้าได้พบกันทั้งในฐานะครูและเพื่อน ข้ารู้สึกขอบคุณมากสำหรับไมตรีจิตนี้”
ครั้งแรกที่เหยียนหรูอวี้ได้พบกับแม่นางตู้ รถม้าของแม่นางตู้ติดหล่มท่ามกลางฝนที่ตกหนักโดยบังเอิญ แล้วยังไปขวางบุคคลซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดาอย่างบุตรชายเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น ในตอนนั้นเอง เหยียนหรูอวี้ออกหน้ารับแทนและช่วยแก้ไขวิกฤตให้กับแม่นางตู้
เพื่อตอบแทนความเมตตาของนาง แม่นางตู้ถึงมาเมืองหลวงกับเหยียนหรูอวี้
ในระหว่างทาง นางสอนทุกอย่างที่นางรู้ให้กับเหยียนหรูอวี้ และไม่เคยปฏิเสธคำขอของเหยียนหรูอวี้แม้แต่ครั้งเดียว นางจึงไม่รู้สึกติดค้างเหยียนหรูอวี้อีกต่อไป
“ข้าอยากจะขออนุญาตคุณหนูเหยียนลาออก” นางกล่าว
“ท่านจะไปที่ใด?” เหยียนหรูอวี้ถาม
แม่นางตู้ตอบ “จะกลับไปที่หมู่บ้านดูก่อน”
“หมู่บ้าน…?” เหยียนหรูอวี้ตกใจ แม่นางตู้มาจากครอบครัวใหญ่ไม่ใช่หรือ? อาหารเสื้อผ้ากิริยามารยาทของนางพิถีพิถันยิ่งกว่าบุตรีจวนแม่ทัพ นาง…นางจะเป็นสตรีในหมู่บ้านได้อย่างไร?
แม่นางตู้คล้ายกับได้สลัดภาระที่นางแบกไว้ทั้งหมด นางรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางค้อมตัวไปทางเหยียนหรูอวี้ “คุณหนูเหยียน…ลาก่อน”
เหยียนหรูอวี้ตกตะลึง แม่นางตู้เป็นไพ่ใบใหญ่ที่สุดในมือนาง ยังมีอะไรให้ใช้อีกมาก ทว่ากลับเพียงโบกมือลาแล้วจากไปเช่นนี้ แล้วนางจะทำอย่างไร?
“ช้าก่อน! ท่าน…ท่านจะไม่ไปหาอาจารย์แล้วหรือ?”
แม่นางตู้ถอนหายใจช้าๆ “ข้าละอายใจ ข้ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปพบเขาในยามนี้”
กล่าวจบ นางก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหยียนหรูอวี้อีก นางเดินออกจากหอเทียนเซียงอย่างไม่แยแส ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคนที่จ้องมอง
การจากไปอย่างกะทันหันของแม่นางตู้เป็นเรื่องที่เหยียนหรูอวี้ไม่คาดคิดมาก่อน พ่ายแพ้การแข่งขันแล้ว ยังต้องมาสูญเสียแม่นางตู้ไปอีก หากนางรู้แต่แรก คงไม่ให้แม่นางตู้มาเข้าร่วมการแข่งขันอะไรนี่แน่ แต่แม้มีเงินทองมากมายก็ไม่อาจซื้อ ‘หากรู้แต่แรก’ ได้ นางโกรธจนรู้สึกรวดร้าวไปทั้งหัวใจ!
หลังจากแม่นางตู้จากไปไม่นาน คนสกุลอวี๋ก็ไปขึ้นรถม้าของนายท่านฉิน
จิตใจของนายท่านฉินพลิกกลับมาสงบลง การสู่ขอสตรียังไม่วิตกกังวลกับผลลัพธ์ถึงเพียงนี้
เมื่อเขาคิดว่าต้องแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า คนสกุลอวี๋ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน แน่นอนเขาเข้าใจดีว่าคนสกุลอวี๋ไม่ได้ทำเพื่อเขา ทว่าผลประโยชน์ก็มีส่วนของเขาอยู่เช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
“ข้าคิดว่าถึงแม้วันพรุ่งจะไม่ชนะพ่อครัวเทพเป้า ข้าก็จะไม่ลดราคาเต้าหู้เหม็น!”
พวกเจ้าแข่งอย่างไม่ต้องกังวลเถิด ไม่สำคัญว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร! ข้านายท่านฉินไม่สนใจอีกแล้ว!
อย่างไรก็ตามคนสกุลอวี๋ไม่ได้แข่งขันเพื่อธุรกิจอยู่แล้ว
อวี๋หวั่นมองนายท่านฉินด้วยรอยยิ้ม นายท่านฉินเข้าใจความคิดของเธอได้ในทันที รู้สึกราวกับว่าไฟกำลังลุกโชติช่วงอยู่ในอก เขาไม่ได้รู้สึกเลือดร้อนเช่นนี้มาหลายปีแล้ว เหมือนได้ย้อนวัยกลับไปอดีต วันที่ออกไปเผชิญโลกกว้าง วันที่ชนกับกำแพงแต่ก็ไม่ยอมแพ้
เขากุมอกและเอ่ยด้วยความรู้สึก “พวกเจ้า…พวกเจ้าทำให้ข้าประทับใจยิ่งนัก!”
“ลุงใหญ่ก็ทำให้ข้าประทับใจยิ่งนัก” อวี๋หวั่นหันหน้าไปเอ่ยกับลุงใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากลุงใหญ่เอาชนะแม่นางตู้ ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็น
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากและเอ่ยว่า “วันนี้ลุงใหญ่หล่อเหลายิ่งนัก”
ตอนที่ชนะแม่นางตู้เขาหล่อเหลาราวกับเป็นเทพบุตรจริงๆ
“ลุงใหญ่ หากขารักษาหายดีแล้ว ท่านก็จะหล่อแบบนี้ทุกวันเลย”
“แค่ก!” ท่าทีสงบนิ่งมาตลอดของลุงใหญ่พลันทลายลงในเสี้ยววินาที เขาเกาหูด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างขวยเขิน
นายท่านฉินส่งครอบครัวอวี๋กลับไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา ในช่วงกลางของการแข่งขันเสี่ยวลิ่วจื่อได้มารายงานว่าเขาส่งฮูหยินอวี๋กับเด็กๆ ทั้งสองกลับไปยังหมู่บ้านแล้ว
วันนี้การแข่งขันเลิกดึกกว่าเมื่อวาน ตะเกียงไฟทุกดวงในบ้านดับหมดแล้ว อวี๋หวั่นกระโดดลงจากรถม้า กล่าวคำอำลากับนายท่านฉินและหันหลังกลับเข้าบ้านไป
นางเจียงและเถี่ยตั้นน้อยหลับไปแล้ว อวี๋หวั่นขยับตัวเบาๆ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินมาที่เตียงอย่างนุ่มนวล
ผ้านวมถูกปูไว้และมีบางอย่างนูนๆ อยู่ด้านใน
ต้องเป็นเถี่ยตั้นน้อยอีกเป็นแน่
หกขวบแล้วยังจะปีนขึ้นเตียงพี่สาว รู้สึกละอายบ้างหรือไม่?
อวี๋หวั่นทั้งโกรธทั้งขำ เธอเปิดผ้านวมแล้วสอดตัวเข้าไป เอื้อมมือไปลูบคลำ
หนึ่งตั้น สองตั้น สามตั้น?!
……………………………