หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 62.1 อาหวั่นเคยมีลูก (1)
สิบวันต่อมา วันเกิดของอวี๋เซ่าชิงก็ใกล้เข้ามาทุกที สถานที่ก่อสร้างของบ้านสกุลอวี๋วางรากฐานและก่อกำแพงอิฐเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่ที่อวี๋หวั่นจัดการ ก็ไม่มีข้อพิพาทใดๆ เกิดขึ้นอีก สถานที่ก่อสร้างดำเนินไปอย่างมีระบบระเบียบ
ที่โรงฝึกงานอวี๋หวั่นเข้าไปดูแลด้วยตนเองทุกวัน แม้งานมากแต่ไม่ยุ่งเหยิง เดิมทีการบุกเบิกพื้นที่รกร้างในภูเขาด้านหลังอยู่ภายใต้การดูแลของซวนจื่อ แต่ตอนนี้เป็นอวี๋เซ่าชิง ซวนจื่อไม่อาจจับโจรขโมยม้าได้ ถูกปั่นหัว ล้มจนใบหน้าปูดบวมฟกช้ำ อวี๋เซ่าชิงขึ้นเขาไปจัดการสั่งสอน โจรขโมยม้าก็กลายเป็นคนซื่อสัตย์ในทันที
ในวันนี้ เถี่ยตั้นน้อยกับนางเจียงไม่อิดออดนอนอยู่บนเตียง ครอบครัวทั้งสี่คนนั่งทานอาหารเช้าอยู่ในห้องโถง
อวี๋เซ่าชิงทำโจ๊กมันเทศ นึ่งอัวอัวโถวแป้งข้าวโพด นึ่งไข่ตุ๋นให้สองพี่น้องอีกคนละชาม และต้มชาขิงน้ำตาลทรายแดงให้นางเจียง
อวี๋หวั่นมองชาขิงน้ำตาลทรายแดงที่หวานเลี่ยน พลันเอ่ยในใจว่า ไม่แปลกที่ช่วงนี้ท่านแม่ไม่ได้นอนอิดออดอยู่บนเตียง มีชีวิตครอบครัวเล็กๆ แล้ว นางไม่อาจทำเรื่องน่าอับอายได้อีก
อืม จริงๆ แล้วเธอก็อยากมีน้องสาวนะ
“อาหวั่น ใกล้สิ้นเดือนแล้ว” อวี๋เซ่าชิงเหลือบมองรองเท้าที่อยู่ใต้เท้า ทว่าไม่เอ่ยสิ่งใดลึกซึ้ง
อวี๋หวั่นง่วนกับการกินไข่ตุ๋น โดยไม่ได้สังเกตเห็นแววตาของบิดา ทว่าดูเหมือนในคำพูดของเขาจะมีบางอย่าง…
อวี๋หวั่นพลันนึกออก เธอเช็ดปากแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ข้าจำได้!”
ไม่ใช่ว่าต้องให้ยาถอนพิษกับเจ้าคนพวกนั้นหรือ?
แท้จริงแล้วจะมียาถอนพิษได้อย่างไร? ทั้งหมดเป็นเพียงคำพูดโกหกของอาจารย์เป้า มันไม่ใช่ยาพิษขาดใจในเจ็ดวัน แต่เป็นแค่ยาพิษระยะสั้นที่ทำจากโหราเดือยไก่จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น แม้ไม่ทานยาถอนพิษ ก็สามารถหายจากอาการอาเจียนและท้องร่วงได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน
แน่นอนว่าเพื่อจะทำให้คนพวกนั้นเชื่อฟัง ปู่เป้ายังคงแสร้งเป็นทำยาไว้สองสามขวด
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ถึงวันสิ้นเดือน ข้าจะมอบให้ท่านพ่อ”
อวี๋เซ่าชิงตื่นเต้นจนตัวแทบลอย
เมื่อเห็นท่านพ่อของตนดูมีความสุขจนแทบจะเวียนหัว เถี่ยตั้นน้อยก็รู้สึกเจ็บปวด ชุดกระโปรงสีแดงเพียงตัวเดียวมิใช่หรือ? กลับดีใจเพียงนี้!
รู้สึกเศร้าแทนท่านแม่ของเขาจริงๆ
ท่านแม่คงไม่รู้ว่าผู้ชายของตนมีความชอบแปลกๆ เช่นนี้เป็นแน่
ดังนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลาย ก่อนแต่งงานต้องดูให้ดีๆ เพราะเจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ชายที่แต่งงานด้วยมีกี่ด้าน
เถี่ยตั้นน้อยทอดถอนใจอย่างหมดอาลัย ก้มหน้ากินไข่ตุ๋นต่อไป
แต่อย่างไรไข่ตุ๋นที่ผู้ชายคนนี้ทำก็รสชาติไม่เลว
“ท่านพ่อ” หลังทานอาหารเสร็จ อวี๋หวั่นก็พูดคุยเกี่ยวเรื่องภูเขากับอวี๋เซ่าชิง “ท่านพ่อคิดว่าภูเขาลูกนั้นเป็นอย่างไร?”
หมู่บ้านเหลียนฮวามีภูเขาล้อมรอบทั้งสามด้าน อวี๋หวั่นเลือกบุกเบิกพื้นที่รกร้างทางด้านตะวันออกของภูเขา และในวันธรรมดาเธอก็ไปเก็บผักขมป่าและขุดหน่อไม้ทางทิศใต้ของภูเขา
ก่อนอวี๋เซ่าชิงจะไปเข้าร่วมกองทัพ เขาเคยปลูกแปลงผักกับครอบครัว หากเอ่ยตามตรง เขาไม่คิดว่าดินบนยอดเขาจะอุดมสมบูรณ์มากนัก ด้านล่างก็ดูไม่ต่างกัน ยิ่งขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ดินก็ยิ่งแห้งแล้ง ทว่าเขาไม่อาจทำลายขวัญกำลังใจของบุตรสาวได้ จึงเอ่ยว่า “หลังจากถางป่าแล้ว อาหวั่นคิดจะปลูกสิ่งใด?”
“ผลไม้ องุ่น ใบชา ปลูกได้หมด ดีที่สุดคือเปิดไร่ยาอีกผืนเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างมุ่งมาดปรารถนา
เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่าดินตรงนั้นมันแห้งแล้งมาก…อวี๋เซ่าชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเป็นบิดาผู้แสนดีที่รักบุตรสาวยิ่ง
“ท่านพ่อว่าดีหรือไม่?” อวี๋หวั่นถามด้วยรอยยิ้ม
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “…ดี ดีมาก”
อย่างไรก็ไม่ใช่ที่ดินของครอบครัวเรา ถึงตอนนั้นแบ่งสันปันส่วนกับคู่แต่งงานทั้งหลาย ก็คงจะเหลือไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น ในสถานการณ์ที่ไร้ทุ่งนา การมีเนินเขาแห้งแล้งให้เพาะปลูกก็นับว่ายังมีประโยชน์กว่า
อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยหมายจะรีบคว้าโอกาส “ในเมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ เราก็ไปซื้อยอดเขานั่นกันเถิด!”
อวี๋เซ่าชิงแทบสำลัก
บุตรสาวว่าอย่างไรนะ?
ซื้อยอดเขา? ยอดเขาพังๆ นั่นน่ะรึ?
อวี๋เซ่าชิงกระแอมในลำคอและเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ปรึกษากับลุงใหญ่ก่อนดีหรือไม่?”
อวี๋หวั่นกล่าว “ข้าถามลุงใหญ่มาแล้ว ลุงใหญ่บอกว่าเขาฟังท่านพ่อ!”
พี่ใหญ่เป็นชาวนามาครึ่งชีวิต จะดูไม่ออกหรือว่ายอดเขานั้นต้องปรับปรุงอย่างน้อยสามถึงห้าปีกว่าจะเพาะปลูกได้? โยนเรื่องใหญ่มาให้เขาเช่นนี้ หมายจะให้เขาทำตัวเป็นคนร้ายต่อหน้าอาหวั่นกระมัง…
พี่ใหญ่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!
อวี๋เซ่าชิงกำหมัดแน่น “อาหวั่น ที่ดินตรงนั้น…”
“อื้ม ท่านพ่อว่ามาได้”
“… ซื้อเลย!” อวี๋เซ่าชิงยิ้ม
“หือ? เจ้าต้องการซื้อภูเขาหรือ?” ที่บ้านของหลี่เจิ้ง หลังจากได้ยินคำพูดของอวี๋หวั่น หลี่เจิ้งก็ตกใจแทบอ้าปากค้าง
อวี๋หวั่นพยักหน้าอย่างจริงจัง “อื้ม ท่านได้ยินไม่ผิด ข้าต้องการซื้อภูเขา”
“หมายถึง…ภูเขาที่เราบุกเบิกรึ?” หลี่เจิ้งเหลือบมองอวี๋เซ่าชิงและลุงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังอวี๋หวั่นในตอนนี้ “ครอบครัวของเจ้าก็เห็นด้วย?”
สีหน้าของคนทั้งสองซับซ้อนยากอธิบาย
อวี๋หวั่นยิ้มไปถึงคิ้ว “ท่านลุงใหญ่กับท่านพ่อของข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!”
ทั้งคู่ยกมือปิดตา
หลี่เจิ้งถอนสายตาด้วยความตกใจ และมองอวี๋หวั่นที่อยู่ตรงหน้าอย่างลำบากใจ เอ่ยในใจว่าหลงบุตรสาวเช่นไรก็ไม่ใช่แบบนี้ ดินบนภูเขานั้นเลวร้ายเพียงนั้น พวกเจ้าตาบอดแล้วหรือ?
หมู่บ้านเหลียนฮวารายล้อมด้วยเนินเขามากมาย ทว่าเนินเขาที่ตรงตามเงื่อนไขในการบุกเบิกก็มีเพียงเนินเขาลูกนี้ และในสถานการณ์ที่พื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้านพวกเขาถูกทำลายไป จะมีภูเขาใดให้พวกเขาบุกเบิกได้อีก?
แน่นอน ตอนนี้พวกเขาบุกเบิกพื้นที่เพียงด้านที่ใกล้กับหมู่บ้านเท่านั้น ส่วนพื้นที่อีกด้านยังไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่รู้ว่าสภาพดินที่นั่นจะดีกว่าหรือไม่
“หากเจ้าซื้อภูเขาไป แล้วชาวบ้านจะไปเพาะปลูกที่ใด?” หลี่เจิ้งถาม
“ก็เพาะปลูกบนภูเขาอย่างไรเล่า” อวี๋หวั่นกล่าว
หลี่เจิ้งผงะ “เช่นนั้นจะไม่กลายเป็นชาวนาที่ต้องเช่าที่นาทำกินหรอกรึ?”
ชาวบ้านในหมู่บ้านเหลียนฮวาเป็นเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกของตนเอง แม้พวกเขาจะต้องแบกรับภาระต่างๆ อย่างภาษีที่สูงลิบลิ่วและการบังคับรับราชการทหาร ทว่าที่ดินก็ยังเป็นของตนเอง ไม่เหมือนกับชาวนาที่เช่าที่ดินเพาะปลูก เป็นแรงงานที่ทำงานให้ผู้อื่น
อวี๋หวั่นเท้าแก้ม “แต่ศาลาว่าการก็ไม่ได้บอกว่าจะเอาที่ดินบนภูเขาไปให้ชาวบ้านนี่นา บอกเพียงว่าสูญเสียไปกี่หมู่และได้พื้นที่บนภูเขากี่หมู่ ไม่ขาดไม่เกิน”
มันก็ใช่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในชื่อของพวกเขามีเพียงพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ถูกทำลายจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก พวกเขามีสิทธิ์ใช้ภูเขาที่แห้งแล้ง แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของภูเขาที่แห้งแล้ง
“เช่นนั้นค่าเช่าที่…” หลี่เจิ้งลังเล
อวี๋หวั่นกล่าว “ไม่มีทางสูงไปกว่าที่ศาลาว่าการกำหนด ท่านได้โปรดวางใจเถิด”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ หลี่เจิ้งยังมีสิ่งที่ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าคิดอย่างไรคนที่ได้กำไรก็คือชาวนา คนที่ขาดทุนก็คืออาหวั่น
“เฮ้อ”
ดรุณีผู้ล้างผลาญครอบครัวผู้นี้
หลี่เจิ้งนั่งรถลากวัวไปยังศาลาว่าการเพื่อดำเนินการ ส่วนอวี๋เซ่าชิงและลุงใหญ่ก็กลับไปที่บ้านด้วยความเจ็บปวด
ลุงใหญ่หยิบสูตรอาหาร อวี๋เซ่าชิงก็หยิบจอบ
เถี่ยตั้นน้อยถามด้วยความสงสัย “ท่านลุง ท่านพ่อ พวกท่านจะไปทำอันใด?”
ทั้งสองเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “หาเงิน!”
…
หลี่เจิ้งจัดการด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นเพียงหนึ่งชั่วยามก็กลับจากศาลาว่าการ และรีบไปยังบ้านของอวี๋หวั่นโดยมิได้หยุดพักหายใจ “อาหวั่น ข้าได้ยินมาว่ายอดเขานั้น…ขายได้!”
อวี๋หวั่นรินน้ำจับเลี้ยงถ้วยหนึ่งให้เขา “ราคาเท่าใดหรือ?”
หลี่เจิ้งรับถ้วยน้ำจับเลี้ยงด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็ทำมือเชิงสัญลักษณ์
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ห้าสิบตำลึง?”
หลี่เจิ้งที่กำลังจิบน้ำจับเลี้ยงสำลัก “เจ้าเอาสิ่งใดมาคิดว่าทางการจะใจดีถึงเพียงนั้น? ห้าร้อยตำลึง! ไม่น้อยกว่านี้!”
“แพงเกินไปแล้ว!” นี่ไม่ใช่วันแรกที่อวี๋หวั่นมาที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เธอถามราคาที่ดินในหมู่บ้านแถบนี้มาหมดแล้ว เนินเขาแห้งแล้งเช่นนั้นมากที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งร้อยตำลึง
“ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่ต้องซื้อหรอก” หลี่เจิ้งก็ยังคิดว่ามันแพง
“ข้าต้องการซื้อ” อวี๋หวั่นกล่าว
หลี่เจิ้งสงสัย “ไยเจ้าต้องการซื้อภูเขาเล่า?”
“ข้าก็แค่อยากซื้อ” อวี๋หวั่นตอบ
“เจ้า…” หลี่เจิ้งสูดหายใจ “เจ้าต้องผลาญเงินไปมากมาย!”
เขาที่แห้งแล้งก็มีมูลค่าของเขาที่แห้งแล้ง ตามที่อวี๋หวั่นคาดการณ์ไว้ก่อนล่วงหน้า ตราบใดที่ราคาไม่เกินหนึ่งร้อยตำลึง เธอไม่มีทางขาดทุน แต่ตอนนี้ราคาเกินมาสี่ร้อยตำลึง เอ่ยตามตรง ความเสี่ยงกับผลตอบแทนไม่สมดุลกัน ทว่าไม่รู้เหตุใด อวี๋หวั่นจึงยังคงรู้สึกปรารถนาที่จะซื้อมันอยู่ดี
หรือว่าฉันอยากจะเป็นเจ้าของที่ดินหญิงจริงๆ?
อวี๋หวั่นทอดถอนใจและเอ่ยกับหลี่เจิ้ง “เรื่องเงินข้าจะหาวิธีจัดการ ในส่วนของศาลาว่าการ ข้าคงต้องรบกวนท่านช่วยเดินเรื่องให้สักหน่อย”
“เฮ้อ เจ้าเด็กผู้หญิงคนนี้ ไยไม่ฟังกันเลย…” หลี่เจิ้งบ่น
อวี๋หวั่นนำถุงผ้าไปที่หอจุ้ยเซียน
ข่าวที่หอจุ้ยเซียนไปทำอาหารให้คนในวังถูกประโคมข่าวโดยนายท่านฉิน ยามนี้ลูกค้าเต็มร้าน ธุรกิจดำเนินไปด้วยดีอย่างที่ไม่เคยเป็น
นายท่านฉินเพิ่งจะส่งแขกผู้มีเกียรติโต๊ะหนึ่งออกไปด้วยตนเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นอวี๋หวั่นที่กระโดดลงจากรถม้า ดวงตาของเขาเป็นประกายพร้อมกับเดินเข้าไปกล่าวทักทาย “โอ้ ลมอันใดหอบรองผู้ดูแลมาถึงที่นี่ได้?”
อวี๋หวั่นกล่าว “ท่านอย่าเอ่ยวาจาเช่นนี้เลย ฟังแล้วช่างน่าอึดอัด”
นายท่านฉินมุ่ยปาก
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับถุงผ้า ทั้งเสี่ยวเอ้อร์และแขกที่มามีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากครั้งก่อน แสดงให้เห็นว่าธุรกิจรุ่งเรืองยิ่ง
เมื่อนึกขึ้นได้ อวี๋หวั่นจึงเอ่ย “ข้าเพิ่งผ่านหอเทียนเซียงมา ธุรกิจของพวกเขาดูซบเซากว่าเมื่อก่อนยิ่งนัก”
นายท่านฉินตบหน้าอกพลางเอ่ยว่า “จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? แขกมาที่ร้านของเรากันหมด! พอกินอาหารร้านเราแล้ว ก็ไม่สนใจร้านพวกเขาอีกเลย!”
คำกล่าวนี้ถูกเพียงครึ่งหนึ่ง รสชาติอาหารของหอจุ้ยเซียนดี หอเทียนเซียงก็ไม่เลวเช่นกัน เหตุผลที่ทำให้เป็นอย่างเช่นปัจจุบันนี้คือ หนึ่ง หอจุ้ยเซียนได้เปิดตัวอาหารที่ไม่มีในเมืองหลวง และสอง ชื่อเสียงของหอเทียนเซียงเลวร้ายเกินไป
แต่ถึงอย่างนั้น หอเทียนเซียงก็มิได้มีแผนลดความทะเยอทะยานลง ร้านอาหารแห่งที่แปดของพวกเขาที่เพิ่งปิดตัวลงได้เปิดใหม่อีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังคงวางแผนจะเปิดร้านอาหารแห่งที่เก้าทางตอนเหนือของเมืองอีกด้วย
อวี๋หวั่นไม่เข้าใจความคิดของสวี่ส้าวยิ่งนัก
นายท่านฉินพาอวี๋หวั่นขึ้นไปยังชั้นสอง ผลักประตูไม้อันวิจิตรงดงามให้เปิดออก พร้อมกับเอ่ยว่า “นี่เป็นห้องบัญชีที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเจ้า”
“ข้ายังมีห้องบัญชีอีกหรือ?” อวี๋หวั่นประหลาดใจ
นายท่านฉินยิ้ม “มีแน่นอน! เจ้าเป็นเจ้าของหอจุ้ยเซียนของพวกเรา! ห้องบัญชีเพียงห้องเดียวเจ้าจะไม่มีได้เยี่ยงไร!”
ประจบสอพลออีกแล้วละสิ? เห็นได้ชัดว่าพอเข้าวังหลวง ก็ทำให้ได้รู้ถึงคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นในตัวเธอ
………………………………………………………………