หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 77.2 แม่ลูกกลับหมู่บ้าน (2)
กล่าวตามตรง ตลอดสองวันที่อวี๋หวั่นอยู่กับเด็กน้อยทั้งสาม เธอไม่ได้ยินเรื่องของเหยียนหรูอวี้เลย แต่ดูจากท่าทางของฮูหยินเหยียนแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร ว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย? เหยียนหรูอวี้ไม่ใช่น้องสาว ไม่ใช่เพื่อนของเธอ ตรงกันข้าม นางขโมยลูกของเธอไป ต่อให้เรื่องนี้จะไม่ใช่ความคิดของนางคนเดียว แต่การทารุณกรรมเด็กนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสวี่ส้าว ถ้ามองในมุมนี้ อวี๋หวั่นก็คิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องให้อภัยผู้หญิงคนนี้
อวี๋หวั่นพูดว่า “ฮูหยินเหยียนมาหาข้า ย่อมต้องรู้ความจริงแล้ว เช่นนั้นฮูหยินเหยียนก็ต้องเข้าใจว่าคนที่เกลียดบุตรสาวของท่านมากที่สุด นอกจากคุณชายเยี่ยนแล้ว ก็คือข้า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางให้อภัยเหยียนหรูอวี้!”
ฮูหยินเหยียนวิงวอน “ข้า…ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าให้อภัยนาง…ข้าเพียงแต่ขอให้เจ้าไว้ชีวิตนาง…ลูกก็คืนให้เจ้าแล้ว…”
อวี๋หวั่นสายตาเย็นเยียบ “คืนลูกให้ข้าแล้วก็จบเรื่องหรือ? ความผิดที่นางทำไว้ก็ไม่ต้องชดใช้หรือ? สองปีที่ผ่านมา นางทำอะไรไว้กับลูกข้า ท่านไม่รู้หรือ? หรือว่าท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้กันแน่!”
ฮูหยินเหยียนจะไม่รู้ได้อย่างไร? ตอนที่เหยียนหรูอวี้คลุ้มคลั่งขึ้นมา นางเกือบพลั้งมือเอาชีวิตของมารดาไปเสียแล้ว เด็กทั้งสามอยู่กับเหยียนหรูอวี้ตลอด ไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง…แต่เหยียนหรูอวี้ก็เป็นลูกของนาง นางไม่อาจทนมองลูกสาวของนางถูกทรมานจนตายได้หรอก
“แม่นางอวี๋ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าเป็นแม่ ไม่ได้สั่งสอนลูกให้ดี หากเจ้าจะลงโทษ เจ้าก็ลงโทษข้าเถิด ได้โปรดไว้ชีวิตลูกสาวข้า ข้า…ข้าคุกเข่าให้เจ้าก็ได้!” ฮูหยินเหยียนพูด พร้อมกับคุกเข่าให้อวี๋หวั่นจริงๆ
ลูกค้าในร้านซาลาเปาต่างก็หันมามองเป็นตาเดียว
ภาพเหตุการณ์นี้ช่างประหลาดนัก ฮูหยินสวมอาภรณ์แพรไหม คุกเข่าต่อหน้าดรุณีน้อยสวมเสื้อผ้าธรรมดา
สีหน้าของอวี๋หวั่นมิได้เปลี่ยนแม้แต่น้อย
ฮูหยินเหยียนเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะลงไปคุกเข่าให้อวี๋หวั่นจริงๆ แต่นางก็มิได้ขยับ “แม่นางอวี๋ ไฉนเจ้าใจคอแข็งกระด้างเช่นนี้? เจ้าก็เป็นแม่คน…”
อวี๋หวั่นตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คำพูดนี้ทำไมท่านไม่ไปบอกกับลูกสาวท่านเล่า? นางก็เป็นแม่คน ท่านควรไปถามนางว่าจิตใจของนางดีกว่าข้าหรือไม่มากกว่า”
ฮูหยินเหยียนไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร
อวี๋หวั่นพูดต่อ “คนที่ออกความคิดให้ขโมยลูกข้าคือสวี่ส้าว ‘แม่’ คนนั้นไม่ใช่เหยียนหรูอวี้ แต่เป็นคนอื่น เรื่องนี้ข้าจะไม่โทษนาง แต่ที่เหลือก็เป็นความผิดของนางทั้งหมด!”
ถ้าหากนางจริงใจกับเด็กทั้งสามสักหน่อย ก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และถ้านางดูแลเด็กน้อยทั้งสามเป็นอย่างดีมาตลอดสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา หรือตัวเธอเอง ก็คงไม่ปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ พูดง่ายๆ ก็คือนางไม่ได้ไม่มีทางเลือก แต่นางเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง
อวี๋หวั่นลุกขึ้นยืน แล้วมองไปยังฮูหยินเหยียนซึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น “เป็นแม่เหมือนกัน ท่านรักลูกท่าน ข้าก็รักลูกข้า”
ฮูหยินเหยียนเข้าใจได้ทันที อวี๋หวั่นบอกเธออย่างชัดเจนว่า เจ้าไม่อยากให้ลูกสาวเจ้าตายมากเท่าไร ข้าก็อยากให้นางตายมากเท่านั้น
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจฮูหยินเหยียนอีก ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนในร้าน เธอเดินไปสั่งซาลาเปาสองเข่ง เข่งหนึ่งให้ลูกๆ อีกเข่งหนึ่งให้สารถีรถม้า
สารถีเป็นคนแซ่สวี ทำงานที่จวนคุณชายเยี่ยนมาห้าปีแล้ว ลุงวั่นให้ความสำคัญกับเขามาก
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ถามเขาเกี่ยวกับเหยียนหรูอวี้
สารถีสวีเล่าเรื่องที่ตนเองได้ยินมาจากลุงวั่นทั้งหมดโดยมิได้ปิดบัง ที่จริงแล้วฮูหยินเหยียนมาหาอวี๋หวั่นก็มิใช่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ เหยียนหรูอวี้ทำผิดครั้งใหญ่เช่นนี้ ทำให้อยู่ในสกุลเหยียนไม่ได้อีกต่อไป ฮูหยินเหยียนจึงให้เงินนางไปเพื่อหลบหนี ทว่านางออกจากเมืองหลวงไม่ได้ จากนั้นก็ถูกหัวขโมยขโมยของไป เถ้ากระดูกของลูกนางถูกทำลาย นางโศกเศร้าจนเสียสติ ร้องไห้อยู่บนถนนครึ่งค่อนคืน ก่อนจะถูกทางการจับตัวไป
เหยียนหรูอวี้ไม่ได้ถูกจับไปเข้าคุกของจวนจิงจ้าว หากแต่ถูกจับไปไว้ในห้องขังพิเศษแถบชานเมืองทางทิศตะวัน ออกของเมืองหลวง ที่นั่นมีไว้สำหรับขังนักโทษที่สติวิปลาสโดยเฉพาะ
เป็นนักโทษก็ว่าน่ากลัวแล้ว เป็นนักโทษที่เสียสตินี่…
ฮูหยินเหยียนไปเยี่ยมนางมาครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าถึงกับลมจับ
“คนทำผิดก็ต้องได้รับผลกรรม” อวี๋หวั่นปัดแขนเสื้อ แล้วเดินขึ้นรถม้าไปอย่างไม่รีบร้อน
เดิมทีคิดว่าจะได้เดินทางกลับหมู่บ้านอย่างไร้อุปสรรคเสียที ไหนเลยจะรู้ว่าออกนอกประตูเมืองไปได้เพียงครู่เดียวก็มีคนมาขวางทางอีกแล้ว
วันนี้มันวันอะไรกัน? นัดกันมาหาเธอหรือยังไง? เธอเนื้อหอมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
“แม่นางอวี๋ จะลงจากรถหรือไม่ขอรับ? หรือจะให้ข้าไล่คนไป?” สารถีสวีถาม
อวี๋หวั่นแง้มม่านดู แล้วบอกกับเขาว่า “ท่านไล่ไปไม่ได้หรอก”
เพราะคนที่มาก็คือสวี่ส้าว!
ดูเหมือนว่ารถม้าของสวี่ส้าวจะจอดอยู่นานจนต้นหญ้าบนพื้นรอบๆ รถม้าถูกม้ากินเป็นหลุมเสียแล้ว
เด็กน้อยทั้งสามเพิ่งกินอิ่ม พวกเขาง่วงนอน ทำตาปรืออยู่ในอ้อมกอดของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นให้สารถีสวีดูแลเด็กๆ แทน ส่วนเธอก็ลงจากรถม้าแล้วเดินตรงไปยังสวี่ส้าว
สารถีรถม้าของสวี่ส้าวไม่อยู่ ทั้งยังไม่เห็นองครักษ์ที่ติดตามมา ด้านนอกรถม้ามีเขายืนตระหง่านอยู่เพียงผู้เดียว
แม้จะเห็นว่าอวี๋หวั่นเดินตรงมา แต่เขาก็มิได้เผยสีหน้าตื่นตระหนกแต่อย่างใด ราวกับรู้อยู่แล้วว่าสตรีคนนี้ใจกล้ายิ่งนัก
อวี๋หวั่นเคยพบกับสวี่ส้าวในการประลองที่หอเทียนเซียงมาแล้ว แต่ไม่ได้สนทนากัน ในตอนนั้นสวี่ส้าวเชิญเหยียนหรูอวี้ขึ้นไปชั้นบนอย่างมีมารยาท แสร้งว่าเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบกัน ที่ไหนได้กลับแอบพบกันลับหลังมาตั้งแต่แรก
“ท่านเจ้าของสวี่” อวี๋หวั่นหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับเขา แล้วกล่าวทักทายด้วยสีหน้าไม่ร้อนรน
“แม่นางอวี๋” สวี่ส้าวพยักหน้าตามมารยาท
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเจ้าของสวี่มารอข้านอกเมือง รู้ว่าข้าจะกลับหมู่บ้านวันนี้หรือ?”
สวี่ส้าวยิ้มน้อยๆ “กล่าวโดยไม่ปิดบัง ข้ารอเจ้ามาหลายวันแล้ว”
“ท่านก็มาเพราะเหยียนหรูอวี้หรือ?” อวี๋หวั่นถาม
สวี่ส้าวชะงักเล็กน้อย เขามิได้คาดคิดว่าอวี๋หวั่นจะกล่าววาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ตั้งสติได้ เขาแค่นเสียงเยาะตนเอง “ดูเหมือนว่าเจ้าก็รู้เรื่องแล้ว”
เขาพูดว่าเธอก็รู้แล้ว ไม่ได้ถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่ามีคนรู้เรื่องนี้ และคนที่รู้เรื่องนี้ ความเป็นไปได้แปดในสิบส่วนก็คือเยี่ยนจิ่วเฉา
“ข้าไม่ได้มาหาเจ้าเพราะนาง” สวี่ส้าวตอบ
คำตอบนี้อยู่เหนือความคาดหมายของอวี๋หวั่น แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาจัดการเหยียนหรูอวี้แล้ว ย่อมต้องมาจัดการเขาเป็นรายต่อไป เขาก็เป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ดินเผาที่มิอาจข้ามแม่น้ำได้ ไหนเลยจะมีเวลามาช่วยชีวิตเหยียนหรูอวี้
ราวกับเดาใจอวี๋หวั่นได้ สวี่ส้าวยิ้มน้อยๆ พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…ข้ากับเหยียนหรูอวี้มิได้มีความสัมพันธ์อย่างที่เจ้าคิด สามีของนางไม่ใช่ข้า”
แล้วเป็นใคร?
อวี๋หวั่นคิดในใจว่าเรื่องนี้ต้องหักมุมอย่างแน่นอน
อย่างที่คิด สวี่ส้าวยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่า ที่ข้าไถ่ตัวนางออกมาจากหอคณิกา ก็เพื่อให้นางไปเอาใจคนผู้หนึ่ง ข้า
เพียงแต่รับหน้าที่ดูแลนาง ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับนางแต่อย่างใด”
อวี๋หวั่นไม่ได้ถามว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร แต่กลับพูดว่า “ท่านไม่อยาก? หรือว่าท่านไม่กล้า?”
เหยียนหรูอวี้งดงามถึงเพียงนั้น บุรุษน้อยคนนักที่จะไม่หวั่นไหว
สวี่ส้าวตอบว่า “แม่นางอวี๋ ข้าว่าคำพูดของเจ้าน่าสนใจ”
“ก็แปลว่าไม่กล้าสินะ” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว
สวี่ส้าวหัวเราะอย่างจนปัญญา “ใช่ ข้าไม่กล้า เขาเป็นบุรุษที่รับมือด้วยยาก แต่ว่าเขาทิ้งเหยียนหรูอวี้ไปแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจะจัดการกับเหยียนหรูอวี้อย่างไรก็เชิญ”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ฟังจากคำพูดของท่านแล้ว ดูเหมือนว่าถ้าเขายังสนใจเหยียนหรูอวี้อยู่ พวกเราก็ต้องปล่อยนางไป”
สวี่ส้าวพยักหน้า “มิผิด คนที่เขาจะปกป้อง ไม่มีผู้ใดแตะต้องได้ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ทำไม่ได้ แต่ก็อย่างที่ข้าบอกไป เขาไม่สนใจเหยียนหรูอวี้แล้ว นางก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว”
ในตอนนี้อวี๋หวั่นเริ่มจะเห็นใจเหยียนหรูอวี้แล้ว “ทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องนี้กับข้าด้วย?”
สวี่ส้าวตอบว่า “เจ้าอาจไม่รู้ ในตอนนั้นหลังจากที่ข้ารับเจ้าออกมาจากหอคณิกาในสวี่โจว เจ้าหนีออกไป จวบจนเจ้าท้องแก่ ข้าจึงได้พบเจ้าอีกครั้งที่ก้งเฉิง เจ้าไม่สงสัยหรือว่าระหว่างนั้นเจ้าไปอยู่ที่ใด? และได้พบกับใคร?”
อวี๋หวั่นจ้องเขาเขม็ง “ท่านต้องการจะพูดอะไร?”
สวี่ส้าวหุบยิ้ม ใบหน้าขึงขังขึ้น “ให้เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดตามสืบเรื่องนี้ก่อน แล้วข้าจะบอกเจ้า ว่าสรุปแล้วเจ้าไปอยู่กับผู้ใด”
…………………………………………………………….