หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 79.1 มัจจุราชทั้งสาม (1)
อวี๋เซ่าชิงถูกป้าสะใภ้ใหญ่สั่งสอนเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาเศร้าสร้อย ท่าทางน่าสงสาร
ป้าสะใภ้ใหญ่ตามใจเด็กเหล่านี้เหลือเกิน ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเป็นลูกของอวี๋หวั่นก็ยังชอบพวกเขา บัดนี้รู้แล้ว หากทำได้นางก็คงจับพวกเขาแขวนขึ้นเอวไปไหนมาไหนด้วยแล้ว
เด็กทั้งสามก็ทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่มีความสุข นางไปล้างผัก พวกเขาก็ไปช่วยตักน้ำ นางไปกวาดลานบ้าน พวกเขาก็ส่งไม้กวาดให้ นางปลูกผักในสวน พวกเขาก็ไปช่วยถอนหญ้า หญ้าต้นใหญ่ๆ
ป้าสะใภ้ใหญ่ “…”
เด็กๆ นั่นมันต้นอ่อนของผัก
ตกเย็น ลุงใหญ่เข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง ขาของเขาดีขึ้นมาก บางครั้งก็สามารถเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าได้เล็กน้อย แม้จะเดินได้ไม่ไกล แต่ก็นับว่าแข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก เขาเชือดไก่ตัวหนึ่งซึ่งซื้อมาจากป้าหลัว แล้วนำมาต้มเป็นน้ำแกงไก่สีเหลืองทองน่ากินหม้อหนึ่ง ทั้งยังมีปลาหลี่ที่บุตรชายตกมาจากลำธาร ปลาหลี่ตัวอวบอ้วน เนื้อแน่น เขาแบ่งเนื้อส่วนท้องปลา และยังทำไข่ตุ๋นซึ่งเป็นของโปรดของเด็กๆ หอยตลับและกุ้งไม่มีแล้ว ลุงใหญ่จึงใส่หมูสับแทน เมื่อยกขึ้นจากหม้อก็โรยด้วยต้นหอมและใส่น้ำมันงาไปหนึ่งช้อน เพียงเท่านี้ก็ทำให้เด็กๆ น้ำลายสอได้แล้ว
ทุกวันนี้เถี่ยตั้นน้อยกินอาหารเยอะ เขากินจนตัวอวบอ้วน อวี๋หวั่นบีบพุงของเขาแล้วพูดว่า “เจ้ากินน้อยๆ หน่อย กางเกงคับหมดแล้ว”
เถี่ยตั้นน้อย ‘หึ!’
ปริมาณอาหารที่เด็กเล็กทั้งสามกินรวมกันยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่เถี่ยตั้นน้อยกิน อวี๋หวั่นลองตักไข่ตุ๋นให้พวกเขาเพิ่มอีกสองช้อน ทั้งสามคนก็กินอย่างว่าง่าย ไม่เหลือทิ้งเลยแม้แต่นิดเดียว
ลุงใหญ่มองไปยังเด็กทั้งสาม มองอย่างไรก็ยังชอบพวกเขา เด็กที่ลุงใหญ่รู้สึกว่าน่ารักที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก็คือน้องสาม ตอนที่น้องสามยังเป็นเด็กนั้นน่ารักเหลือเกิน เด็กในหมู่บ้านไม่มีใครน่ารักกว่าเขา หลังจากนั้นเขาก็แต่งงานและมีอาหวั่น อาหวั่นเป็นเด็กที่มีชีวิตชีวา แต่ว่าอาหวั่นตัวอ้วนจ้ำม่ำ เนื้อมากจนตาแทบปิด หลังจากนั้นก็มีเถี่ยตั้น เถี่ยตั้นมีเครื่องหน้างดงาม แต่เขาผอมโซและตัวเหลือง หลายเดือนที่ผ่านมาก็เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง เมื่อคิดดูแล้ว เด็กที่น่ารักที่สุดก็ยังคงเป็นเด็กน้อยทั้งสามคนนี้
เพียงแต่ว่าพวกเขาตัวผอมแห้งไปสักหน่อย
ลุงใหญ่อดรนทนไม่ได้ ถึงกับต้องตักน้ำแกงไก่ให้พวกเขาอีกคนละครึ่งถ้วย
“พวกเขาจะกินลงไหมนะ?” อวี๋หวั่นลูบพุงเล็กๆ ของเด็กน้อย
ทั้งสามพยักหน้า ก้มหน้าก้มตาซดน้ำแกงไก่ต่อไป
ตอนนี้ไม่ต้องป้อนพวกเขาแล้ว อวี๋หวั่นและป้าสะใภ้ใหญ่เก็บชาม เด็กน้อยทั้งสามเล่นอยู่ในโถงกลางบ้าน อวี๋เซ่าชิงเดินหน้าดำคร่ำเครียดมา เขาอยากจะจัดการเด็กพวกนี้มานานแล้ว ทว่าพวกเขากลับไปฟ้องความเท็จกับป้าสะใภ้ใหญ่ ถ้าไม่ทำให้พวกเขาหลาบจำสักหน่อย พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าบ้านนี้ใครใหญ่!
อวี๋เซ่าชิงถกแขนเสื้อขึ้น สายตาจับจ้องไปยังเด็กทั้งสาม ทั้งสามหน้าตาประหนึ่งถอดแบบกันออกมา เอ๋…ว่าแต่คนไหนคือพี่ใหญ่ คนไหนคือคนกลาง คนไหนคือน้องเล็กกันนะ…
อวี๋เซ่าชิงสุ่มคว้ามาหนึ่งคน
เบาจริงๆ!
เบาเหมือนไม่ได้จับอะไร!
คนที่ถูกอวี๋เซ่าชิงอุ้มขึ้นมาก็คือเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าเป่าน้ำลายเป็นฟอง มองไปยังอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงหรี่ตาอย่างเย็นชา “ฟังข้าให้ดีนะเจ้าเด็กน้อย ถ้าเจ้าฟ้องเรื่องเท็จอีกละก็ ข้าจะ…”
ยังไม่ทันพูดจบ อวี๋เซ่าชิงก็รู้สึกอุ่นๆ ที่หน้าอก
สะ…เสี่ยวเป่าฉี่รดเขา
“แง้” เสี่ยวเป่าเบะปากร้องไห้
เจ้าฉี่รดข้า แถมยังร้องไห้อีกเนี่ยนะ?!
“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านดู!” อวี๋เซ่าชิงชี้ไปยังเสื้อของตน และตัดสินใจฟ้องนาง!
สุดท้ายแล้วอวี๋เซ่าชิงก็ถูกป้าสะใภ้ใหญ่สั่งสอนไปอีกหนึ่งยก ด้วยเหตุผลที่ว่าทำให้เด็กๆ ตกใจกลัว
“เจ้าบอกเองนี่ว่าเข้ากับเด็กๆ ไม่ได้! เช้าครั้งหนึ่งแล้ว นี่เย็นก็อีกครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเขาตกใจกลัวอยู่เรื่อย!”
อวี๋เซ่าชิงผู้ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไรก็พ่ายแพ้ “…”
……
ย่างเข้ายามราตรี อวี๋หวั่นพาเด็กๆ กลับบ้านของตน เด็กน้อยทั้งสามนอนอยู่ข้างกายอวี๋หวั่น เถี่ยตั้นน้อยจึงต้องย้ายไปนอนกับท่านพ่อท่านแม่
เถี่ยตั้นน้อยกอดหมอน พูดอิดออดว่า “ข้าอยากนอนกับน้อง”
อวี๋หวั่นทัดทาน “ไม่ใช่น้อง ต้องเรียกว่าหลาน”
ถ้าลูกข้าเป็นน้องเจ้า แล้วข้าเป็นอะไร?
“อ้อ” เถี่ยตั้นน้อยลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขา “น้องเล็กราตรีสวัสดิ์”
อวี๋หวั่นหมดคำจะพูด “…”
อวี๋หวั่นอาบน้ำให้เด็กทั้งสาม ให้พวกเขาเปลี่ยนไปสวมชุดนอน เด็กน้อยหลับมาตลอดทางกลับมายังหมู่บ้าน จึงยังนอนไม่หลับ ได้แต่นอนตาแป๋วอยู่บนเตียง อวี๋หวั่นไม่ได้กล่อมให้พวกเขานอน เธอนั่งอ่านตำราแพทย์ที่ท่านปู่เป้าทิ้งเอาไว้ให้
ชาวบ้านต่างก็นอนหลับพักผ่อน หมู่บ้านเงียบงัน เด็กน้อยทั้งสามพูดไม่ได้ ในห้องจึงมีเพียงเสียงพลิกหน้าหนังสือของอวี๋หวั่น
ในที่สุด ต้าเป่าก็ทนไม่ไหว แอบตีลังกาอยู่บนเตียง
ตึง!
เป็นการตีลังกาที่เสียงดังมาก!
ต้าเป่าหดคอ มองอวี๋หวั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ อวี๋หวั่นไม่ได้ว่าเขา เขาจึงหันไป แล้วตีลังกาต่ออีกสองตลบ
เช่นนี้ก็ไม่ถูกว่าแล้ว เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าทนไม่ไหวแล้ว พวกเขาก็ตีลังกาบนเตียงเช่นกัน ตีลังกาไปตีลังกามา ตีลังกาจนเหงื่อออก
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก
แม้ว่าไม่ได้มองพวกเขา แต่ทุกครั้งที่พวกเขาจะตกลงเตียง อวี๋หวั่นก็รับไว้ได้ตลอด
ทั้งสามคนเล่นจนหมดแรง ตีลังกาไปมาก็หลับเสียแล้ว
อวี๋หวั่นจึงวางตำราแพทย์ จับเด็กน้อยซึ่งนอนหันไปคนละทิศคนละทาง ใช้ผ้าฝ้ายเช็ดเหงื่อและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พวกเขา จากนั้นก็ดับไฟตะเกียง แล้วเข้านอนพร้อมพวกเขา
……
คืนเดือนมืด ลมโหมพัดกระหน่ำ
หลังจากที่สวี่ส้าวพบกับอวี๋หวั่น เขาก็ไปยังหอเทียนเซียงและจัดการธุระอยู่ตลอดทั้งช่วงบ่าย หลังจากกินอาหารเย็นก็นั่งรถม้าออกมา เขาเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ในใจ ปล่อยให้รถม้าเคลื่อนวนรอบเมืองหลวง ตกดึกแล้วจึงกลับคฤหาสน์สกุลสวี่
หน้าคฤหาสน์ มีรถเทียมม้าสองตัวจอดอยู่ ตราลัญจกรของราชวงศ์บนตัวรถนั้นช่างคุ้นตา อีกทั้งจะมีเชื้อพระวงศ์คนใดมาที่บ้านเขา นอกเสียจากองค์ชายรองหลานชายของเขา
สวี่ส้าวลงจากรถม้า แล้วเดินไปด้านหน้ารถม้า เขายกมือคำนับตามธรรมเนียม “องค์ชายรอง”
ม่านบนรถม้าเปิดออก เยี่ยนไหวจิ่งก้าวลงมา
เขาไม่ได้กล่าวทักทายว่า ‘ท่านลุง’ ดังที่เคยเป็น เขาเพียงเหลือบมอง หันหลังแล้วเปิดม่านออก
สวี่ส้าวตื่นตะลึง ยังมีคนอื่นอีกหรือ? แต่ผู้ใดกันที่องค์ชายรองเปิดม่านให้?
ร่างหนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำเดินลงมา หมวกของผ้าคลุมบดบังใบหน้าของคนผู้นั้น กว่าสวี่ส้าวจะรู้ว่าเป็นใคร ก็เมื่อคนผู้นั้นเดินตรงเข้ามาที่เบื้องหน้าของเขา สวี่ส้าวหน้าถอดสีทันที “พระสนม?”
สวี่เสียนเฟยมองไปรอบๆ
สวี่ส้าวตระหนักได้ทันที จึงรีบบอกกับสารถีและบ่าวซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปว่า “ถอยออกไปให้หมด!”
ทุกคนล้วนหลบออกไปอย่างรู้งาน
สวี่ส้าวพาสวี่เสียนเฟยไปยังโถงบุปผา ที่นั่นไม่มีคนใช้อยู่ สวี่เสียนเฟยจึงถอดผ้าคลุมออก
สวี่เสียนเฟยนั่งลงที่ตำแหน่งเจ้าบ้าน เยี่ยนไหวจิ่งนั่งข้างนาง ส่วนสวี่ส้าวยืนอยู่ตรงกลางของห้องโถง ราวกับว่ากำลังถูกอีกอีกฝ่ายไต่สวน
แต่ที่จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น
สวี่ส้าวเอ่ยถามเบาๆ ว่า “พระสนม…เหตุใดจึงออกมาจากวังยามวิกาลเช่นนี้? หากฝ่าบาททรงรู้เข้า เกรงว่าจะทรงสงสัยพระสนมได้”
สวี่เสียนเฟยแค่นเสียงขึ้นจมูก “หากข้าไม่ออกมา ข้าจะรู้หรือไม่เล่าว่าเจ้าทำเรื่องเอาไว้มากมายเหลือเกิน สวี่ส้าว ข้าเรียกเจ้าว่าท่านพี่ มิได้หมายความว่าเจ้าจะทำอะไรไม่เห็นหัวข้าได้!”
“พระสนม” สวี่ส้าวคำนับด้วยความขลาดกลัว ค้อมกายให้ต่ำยิ่งกว่าเดิม
สวี่เสียนเฟยกล่าวอย่างเย็นชา “ไม่มีสิ่งใดจะพูดแล้วใช่หรือไม่? เจ้าปิดบังข้าเสียสนิท! หากไม่ใช่เพราะองค์ชายรองไปพบกับเหยียนหรูอวี้ ก็คงไม่รู้ว่าเจ้าร่วมมือกับนางทำความผิด ทั้งยังปิดบังเรื่องนี้กับข้า!”
เยี่ยนไหวจิ่งมิได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองหลังจากที่พบเหยียนหรูอวี้บนเรือ หากแต่เขารู้ว่าทั้งสอง ‘มีความสัมพันธ์กัน’ จากสวี่เฉิงเซวียน จึงติดตามเรือของเหยียนหรูอวี้ไป แต่ว่าเรื่องนี้ เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้เล่าให้พระสนมฟัง
……………………………………………………………………..