หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 79.2 มัจจุราชทั้งสาม (2)
สวี่ส้าวมิได้สนใจว่าเยี่ยนไหวจิ่งสืบความจากเหยียนหรูอวี้ เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ระงับความสงสัยของสวี่เสียนเฟยและองค์ชายรอง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “พระสนม ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
สวี่เสียนเฟยหัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าเข้าใจผิด? ย่อมได้ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าบอกมาว่าข้าเข้าใจสิ่งใดผิดไป? เข้าใจผิดว่าเจ้าร่วมมือกับเหยียนหรูอวี้ลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา? หรือเข้าใจผิดว่าเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อข้า?”
สวี่ส้าวตอบด้วยความจริงใจว่า “ข้าลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉาจริง แต่ข้ามิได้หักหลังพระสนม สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อพระสนมและองค์ชายรอง”
“ทำเป็นพูดดี!” สวี่เสียนเฟยนัยน์ตาเย็นเยียบ
สวี่ส้าวทอดถอนใจ “พระสนม ท่านเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า พวกเราเกิดมาจากท้องมารดาเดียวกัน ท่านแม่มีเพียงพวกเราสองคน หากข้าไม่อยู่ข้างท่าน แล้วข้าจะไปอยู่ข้างผู้ใดได้? เรื่องในตอนนั้น ข้าลงมือทำเองโดยพลการ แต่ว่าข้าก็เพียงอยากกำจัดอุปสรรคแทนพระสนมและองค์ชายรอง”
สวี่เสียนเฟยมีสีหน้าจริงจัง “แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยเป็นอุปสรรคของข้าและองค์ชาย!”
สวี่ส้าวส่ายหน้า “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? ฝ่าบาทปฏิบัตต่อเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไร พระสนมไม่เห็นหรอกหรือ? เหตุใดท่านจึงหลอกตนเองว่าที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานเขามากก็เพราะเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน?”
สวี่เสียนเฟยเชิดหน้า “เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานจริงๆ”
สวี่ส้าวพูดต่อ “แต่ถ้าหากฝ่าบาททรงยืนกรานว่าจะทรงมอบบัลลังก์ให้กับเขาเล่า?”
ความประหลาดใจปรากฏในสายตาของสวี่เสียนเฟย “จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท!”
สวี่ส้าวตอบอย่างจนปัญญา “หากข้าไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไยต้องเสี่ยงชีวิตไปลอบโจมตีเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยเล่า?”
สีหน้าของสวี่เสียนเฟยผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าเอาข้อมูลมาจากที่ใด?”
“พระสนม ข้าลงทุนเปิดภัตตาคารใหญ่อย่างหอเทียนเซียง ไม่เพียงแค่เพื่อให้สกุลสวี่ยิ่งใหญ่ในวงการการค้าเท่านั้น”
“เจ้ากำลังรวบรวมข้อมูลรึ?” สวี่เสียนเฟยเอ่ยถาม
สวี่ส้าวแค่นหัวเราะ “ที่จริงก็ไม่ง่าย ข้อมูลที่ได้มามักจะเป็นข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ แต่หากหนึ่งในหมื่นเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ เช่นนั้นก็จะพิสูจน์แล้วว่าหอเทียนเซียงของข้าไม่ได้เปิดเสียเปล่า”
สวี่เสียนเฟยนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็พึมพำว่า “ฝ่าบาทตั้งใจจะยกตำแหน่งให้เยี่ยนจิ่วเฉาจริงหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น
สวี่ส้าว “คนจากราชสำนักอาจพูดพล่อยออกมาตอนเมา แต่ข้าก็ไม่กล้าเสี่ยง”
“เหตุใดตอนนั้นเจ้าไม่บอกข้า?” สวี่เสียนเฟยมองเขา ราวกับกำลังไตร่ตรองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือเท็จ
สวี่ส้าวกล่าวอย่างผึ่งผายว่า “หากพระสนมลงมือ ก็จะเป็นที่สะดุดตาไปสักหน่อย ข้าสามารถปกปิดได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป โทษจะมาตกอยู่ที่ข้าคนเดียว พระสนมและองค์ชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ต้องรับโทษ…เพียงแต่ข้ามิได้คาดคิดว่าพระสนมและองค์ชายรองจะสืบรู้เรื่องนี้ด้วยตนเอง ดูแล้วข้าน่าจะปกปิดเรื่องนี้ได้ไม่แนบเนียนพอ ทำให้พระสนมและองค์ชายต้องมาเกี่ยวข้องด้วย”
สวี่เสียนเฟยมองเขาหัวจรดเท้า “เจ้าทำให้ข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะได้รับโทษเพียงคนเดียว แล้วพวกข้าสองแม่ลูกจะรอด? ความคิดของฝ่าบาทยากจะหยั่งรู้ได้ ความจริงมิได้สำคัญเท่าไร เจ้าดูสกุลเซียว แล้วดูสกุลเหยียน สกุลเหยียนทรยศประเทศจริงหรือ? สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรเล่า? พระองค์ทรงดูไม่ออกจริงหรือว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบเหยียนหรูอวี้? แต่พระองค์ก็ยังอวยยศให้สกุลเหยียน เป็นเพราะอะไรเล่า? ราชสำนักเป็นของฝ่าบาท พระองค์ให้ใครอยู่ ผู้นั้นก็ต้องอยู่ พระองค์ให้ใครตาย คนผู้นั้นก็ต้องตาย พระองค์ต้องการของคืน ไม่มีผู้ใดเก็บเอาไว้ได้ และหากพระองค์มอบความรักความเอ็นดูให้ ก็ย่อมไม่มีผู้ใดปฏิเสธ นั่นคือฝ่าบาท”
สวี่ส้าวก้มหน้า “ข้าผิดไปแล้ว พระสนม”
“เจ้าเพียงคนเดียวทำเรื่องนี้ได้อย่างไร?” สวี่เสียนเฟยสงสัย
สวี่ส้าวตอบตามตรง “ข้าไม่ได้ทำเพียงคนเดียว ยังมีคนอื่นอีก”
“เหยียนหรูอวี้?” สวี่เสียนเฟยขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม
“มิใช่นาง” สวี่ส้าวตอบ “แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เปิดเผยหน้าตา แต่ข้าสัมผัสได้ว่าเขาไม่ธรรมดา โชคดีที่เขาต้องการจัดการเยี่ยนจิ่วเฉา นับว่าลงเรือลำเดียวกับพวกเรา”
สวี่เสียนเฟยกล่าวค่อนแคะว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่าเขาจะไม่หวังคอยฉกฉวยผลประโยชน์ไป?”
สวี่ส้าวมีสีหน้าแน่วแน่ “พระสนม เขามิได้สนใจบัลลังก์แต่อย่างใด คนที่เขาต้องการกำจัดก็คือเยี่ยนจิ่วเฉาเท่านั้น”
เมื่อได้ยินว่าเขามิได้ทำเพื่อบัลลังก์ สวี่เสียนเฟยก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นใคร “หรือว่าจะเป็นคนกลุ่มนั้น?”
“พระสนมรู้จักหรือ?” ครานี้เป็นสวี่ส้าวที่สงสัย
สวี่เสียนเฟยส่ายหน้า “ไม่ ข้าไม่รู้จัก ข้าเพียงแต่ได้ยินเรื่องในปีนั้นมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฮ่องเต้องค์ก่อนถึงทรงส่งฮองเฮาไปอยู่ในตำหนักเย็น?”
สวี่ส้าวส่ายหน้า
สวี่เสียนเฟยมองออกไปยังราตรีอันมืดมิด “เป็นเพราะฮองเฮามีสัมพันธ์กับคนอื่น และให้กำเนิดบุตรที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์”
เยี่ยนไหวจิ่งตะลึงงัน
สวี่ส้าวก็ตกใจเช่นกัน “คนนั้นคือ…”
สวี่เสียนเฟยพยักหน้า ตอบว่า “คือเยี่ยนอ๋อง เพื่อที่จะปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงไม่ได้ป่าวประกาศความผิดของฮองเฮา พระองค์เพียงแต่ใช้เหตุผลว่านางแท้งเพื่อริบตำแหน่งของนางคืน ส่งนางและเยี่ยนอ๋องไปยังตำหนักเย็น และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย ฝ่าบาทก็ถูกส่งไปตำหนักเย็นด้วย แต่ฝ่าบาททรงมิได้ยอมแพ้ แม้จะติดร่างแหไปกับฮองเฮาและน้องชาย แต่พระองค์ก็ทรงใช้ปรีชาชาญเอาชนะใจฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์ก่อนต้องการแต่งตั้งพระองค์เป็นรัชทายาท จึงต้องนำตัวฮองเฮาออกมาจากตำหนักเย็น ไม่เช่นนั้นสถานะของพระองค์จะเป็นที่ครหาและไม่เป็นผลดีต่อราชบัลลังก์ เยี่ยนอ๋องก็ย่อมได้รับการปล่อยตัวออกมาเช่นกัน
ฮ่องเต้องค์ก่อนเกลียดเยี่ยนอ๋อง แต่เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้รัชทายาทแปดเปื้อนมลทิน จึงทรงปกปิดเรื่องของเยี่ยนอ๋องเสียสนิท จวบจนก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์รู้ว่าคงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกไม่นาน ความลับนี้จะถูกเปิดเผยหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์หรือไม่ก็มิอาจรู้ได้ ดังนั้นพระองค์จึงต้องการสังหารเยี่ยนอ๋อง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าฝ่าบาททรงล่วงรู้เข้า เพื่อที่จะช่วยน้องชาย พระองค์ทรงวางยาพิษฮ่องเต้องค์ก่อน”
เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนไหวจิ่งได้ฟังความลับนี้ เขาเหงื่อโทรมกาย
ใบหน้าของสวี่ส้าวเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “ปะ…เป็นไปได้อย่างไร…”
สวี่เสียนเฟยกล่าวอย่างเยือกเย็น “ตอนนี้เจ้ารู้แล้ว เพื่อเยี่ยนอ๋อง ฝ่าบาทวางยาเสด็จพ่อของพระองค์ได้ ถ้าฝ่าบาททรงรู้ว่าเจ้าลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา เจ้าเดาสิว่าพระองค์จะทำอย่างไร”
สวี่ส้าวรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
สวี่เสียนเฟยหัวเราะขึ้นมาทันใด “แต่ว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนก็มิได้จากไปโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ พระองค์ทรงมีหน่วยกล้าตายไว้สำหรับต่อกรกับเยี่ยนอ๋อง…”
หน่วยกล้าตายหรือ? สวี่ส้าวไม่ยักคุ้น
เอ่ยถึงฮ่องเต้องค์ก่อน สวี่เสียนเฟยกล่าวว่า “ที่จริงแล้วถึงไม่มีหน่วยกล้าตาย เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เกินอายุยี่สิบห้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
ไม่ต้องรอให้สวี่ส้าวตอบ สวี่เสียนเฟยกล่าวค่อนแคะว่า “เพราะเขาถูกสาป ถูกสาปตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เพียงแต่ไม่อาจมีชีวิตอยู่เกินอายุยี่สิบห้า แต่ลูกหลานของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน ตราบจน…สายเลือดของเยี่ยนอ๋องจะหมดไป”
เยี่ยนไหวจิ่งรู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ เขาไม่อาจจินตนาการเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งอายุเพียงไม่กี่ขวบ ต้องถูกท่านปู่ของตนลากไปในท้องพระโรง กล้ำกลืนฝืนกินคำสาปแช่งที่ท่านปู่ป้อนให้เขากับมือ
นั่นมัน…โหดร้ายเกินไปแล้ว
……
“ท่านปู่!”
ณ จวนสกุลเกา เกาหย่วนนั่งตรวจข้อสอบของบัณฑิตในสำนักบัณฑิตอยู่ใต้ต้นท้อ หนึ่งในนั้นมีบัณฑิตจากตระกูลยากจน เขามีความสามารถ และได้รับการชื่นชมจากเกาหย่วนเป็นอย่างมาก
ฉีหลินกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ถูกเพิกเฉย เขานั่งเท้าคางที่ฝั่งตรงข้าม “ข้าพูดกับท่านอยู่นะขอรับ ท่านปู่! ท่านนั่งอ่านบทความเหล่านี้มาทั้งวันแล้ว! ท่านสนใจข้าบ้างสิขอรับ!”
เกาหย่วนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ให้เจ้าไปเรียนที่สำนักบัณฑิต เจ้าก็ไม่ไป แล้วจะให้ปู่สนใจเจ้ารึ”
ฉีหลินแลบลิ้น “ก็ข้าไม่อยากเรียนหนังสือนี่! ใช่สิ ท่านปู่ ท่านยังเล่าความฝันครั้งที่แล้วของท่านไม่จบเลยนะขอรับ”
“อ่า…เรื่องนั้น เจ้าฟังไม่เบื่ออีกหรือ เล่าถึงไหนแล้ว?” เกาหย่วนวางพู่กันลง
ฉีหลินครุ่นคิด “ถึงตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉาตายเมื่ออายุยี่สิบห้า ลูกของเขากลับมา เมืองหลวงนองเลือด หลังจากนั้นละขอรับ? พวกเข้าต้องการชิงบัลลังก์หรือ?”
เกาหย่วนชะงักไป แล้วพูดว่า “พวกเขาสู้กันเอง”
“หา?” ฉีหลินตกตะลึง
“แต่ว่าสู้กันได้ไม่นาน” เกาหย่วนพูดต่อ
ฉีหลินเลิกคิ้ว “แล้วก็ดีกันหรือขอรับ? อย่างที่ข้าบอก พี่น้องท้องเดียวกัน ไหนเลยจะโกรธกันได้ข้ามคืน?”
เกาหย่วนส่ายหน้า “ไม่ได้ดีกัน แต่พวกเขาตาย”
มัจจุราชทั้งสาม ตายทั้งหมด
………………………………………………
Comments for chapter "บทที่ 79.2 มัจจุราชทั้งสาม (2)"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Mr.Lucifer
หวั่นหวั่นต้องหาทางแก้คำสาปเพื่อสามีกับลูกๆแล้วล่ะ