หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 87 ปรมาจารย์วิชาพิษแห่งหนานเจียง
คุณชายห้าออกไปจากเมืองหลวงเป็นเวลานาน จึงไม่รู้ว่าเซียวเจิ้นถิงได้ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านเหลียนฮวาแล้ว ทันทีที่เขากลับมาก็รุดไปยังจวนสกุลเซียวด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ พ่อบ้านให้เขาพักผ่อนที่จวนสักครู่ ส่วนตนก็เดินทางไปรายงานเรื่องนี้กับเซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนลืมว่าตนปวดเอวไปชั่วขณะหนึ่ง นางพลิกหน้าดินมาสองวัน ปวดเมื่อยจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น
“หมออยู่ที่ใดหรือ? รีบพาข้าไปหาเขาเร็ว!” นางเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรน
“ข้าจัดให้เขาพักอยู่ที่จวน” พ่อบ้านตอบ “จะให้รับนายท่านน้อยกลับจวนเลยหรือไม่ขอรับ?”
แม้เยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่มองว่าเซียวเจิ้นถิงเป็นพ่อเลี้ยง แต่เซียวเจิ้นถิงมองว่าเขาเป็นลูก ดังนั้นคนในจวนจึงเรียกเขาด้วยความเคารพว่า ‘นายท่านน้อย’
เซียวเจิ้นถิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน ให้ข้าไปพบปรมาจารย์วิชาพิษก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลายปีมานี้ เขาไม่รู้ว่าเขาเสาะแสวงหาหมอมากี่คนเพื่อรักษาอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีจำนวนหนึ่งที่หลอกลวง หากปรมาจารย์ผู้นั้นไม่ได้ความ ไยต้องให้เขามาวุ่นวายกับลูกชายของเขาด้วยเล่า?
เซียวเจิ้นถิงบอกกับซั่งกวนเยี่ยนว่า “เจ้าดูแลลูกอยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา”
เขาไม่ได้ตั้งใจให้นางดูแลเยี่ยนจิ่วเฉาจริงๆ แต่เซียวเจิ้นถิงกังวลว่าปรมาจารย์ผู้นั้นจะกล่าวสิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้ออกมา
“เจ้าไปกับข้า” เซียวเจิ้นถิงบอกกับอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
อวี๋หวั่นพยักหน้า และเดินทางไปกับเซียวเจิ้นถิง
พ่อบ้านไม่รูจักอวี๋หวั่น เขารู้สึกงุนงงว่าแม่นางคนนี้คือใคร เหตุใจจึงมายืนข้างๆ แม่ทัพใหญ่บ้านเขาได้? ทว่าจากท่าทางของฮูหยินแล้ว คล้ายกับจะมิได้ต่อต้านอันใด
พ่อบ้านกล้าสงสัยแต่ไม่กล้าถาม แล้วขึ้นไปนั่งนอกรถกับสารถี
หมู่บ้านค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ รถม้าเคลื่อนมาถึงตำบลเหลียนฮวา ย่างเข้ายามดึก ตำบลเหลียนฮวานั้นเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงฝีเท้าของม้าและเสียงของตัวรถ
อวี๋หวั่นนั่งเงียบอยู่ในรถ ด้านข้างของเธอคือบุรุษร่างสูงใหญ่
เซียวเจิ้นถิงนับว่ามีองคาพยพบนใบหน้าสมดุล ถึงขั้นงดงามก็ว่า แต่เขามีพลังอันน่าเกรงขามของแม่ทัพใหญ่ผู้คุมกองทัพกำจายออกมา
นั่งบนรถม้าร่วมกับแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ พ่อบ้านส่ายหน้า นางคงกลัวจนเป็นลมไปแล้วกระมัง?
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าคุณชายห้าตามหาปรมาจารย์วิชาพิษพบได้อย่างไร?”
เสียงของอวี๋หวั่นดังก้อง พ่อบ้านพลันตัวสั่น อีกนิดเดียวคงจะตกลงไปนอกรถแล้ว!
แม่นางผู้นี้ไม่ได้หายใจหอบ ไม่ได้ตัวสั่น ไม่มีท่าทางกลัวนายท่านบ้านตนแม้แต่น้อย แปลกเหลือเกิน!
“นางถามเจ้า” เซียวเจิ้นถิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ดูสิ ท่านแม่ทัพน่ากลัวเสียเพียงนี้ พ่อบ้านตบหน้าอกเบาๆ แล้วเล่าข้อมูลที่ถามจากคุณชายห้ามาอย่างไม่มีตกหล่น
ที่แท้คุณชายห้าก็ไปหนานเจียงมานี่เอง
ความสัมพันธ์ของหนานเจียงและต้าโจวไม่นับว่าย่ำแย่ เพียงแต่ว่า คุณชายห้าเป็นข้าราชการ ไม่สามารถออกจากต้าโจวได้โดยพลการ เรื่องนี้หากให้คนอื่นทำก็ไม่อาจวางใจ จึงทำได้เพียงก้มหน้ารับความเสี่ยงโทษประหารและเดินทางออกไป
ปรมาจารย์วิชาพิษผู้นี้เป็นคนหนานเจียง เขานับว่ามีชื่อในพื้นที่ คุณชายห้าจ่ายเงินไปมหาศาลกว่าจะเชิญเขามาจากหนานเจียงได้ นี่เป็นเพียงค่าออกตรวจ แต่หากจะให้รักษาอาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา ย่อมต้องจ่ายเงินอีกก้อนหนึ่ง
ค่ารักษาไม่ใช่เรื่องใหญ่ สกุลเซียวมิได้ขาดแคลนเงินทอง
เพียงแต่ปรมาจารย์วิชาพิษท่านนี้เย่อหยิ่งทระนงตน คบหาด้วยยาก คุณชายห้าจึงให้พวกเขาปรนนิบัติเขาด้วยความระมัดระวัง
ย่างเข้ากลางดึก รถม้าก็เคลื่อนมาถึงจวนสกุลเซียว
พ่อบ้านรูู้แล้วว่าอวี๋หวั่นแซ่อวี๋ จึงเรียก “แม่นางอวี๋ เชิญ”
อวี๋หวั่นเดินตามนายบ่าวเข้าไปด้านใน
จวนสกุลเซียวท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ดูประหนึ่งอสูรกายที่กำลังหลับใหล
เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้เข้ามาในจวนสกุลเซียว ความรู้สึกแรกของเธอก็คือที่นี่ใหญ่กว่าจวนคุณชาย จากนั้นก็ได้ฟังจากพ่อบ้านว่าครึ่งหนึ่งเป็นส่วนที่ขยายออกไปหลังจากที่ซั่งกวนเยี่ยนเข้ามาอยู่ ซั่งกวนเยี่ยนชอบความโอ่อ่า จึงไม่เป็นปัญหา
“ปรมาจารย์และลูกศิษย์อีกสองท่านพักอยู่ในทิงเทาเก๋อขอรับ” พ่อบ้านถือโคมนำทางพวกเขาไป
ขณะที่เดินผ่านระเบียงทางเดินข้างสวนดอกไม้ ก็มีเจ้านายและบ่าวโผล่มาเบื้องหน้า บ่าวสวมเสื้อปี่เจี่ยสีเขียวถือโคมไฟ ด้านหลังของนางมีดรุณีอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่ง นางสวมอาภรณ์สีชมพู ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบห้าสิบหก ทั้งสองมีสีหน้ารีบร้อน ชนเข้ากับอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ
พ่อบ้านตกใจและรีบทำความเคารพ “คุณหนูรอง?”
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณหนูรองไม่คาดคิดว่าจะมาเจอพ่อบ้านและเซียวเจิ้นถิง นางตื่นตะลึงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง “ทะ…ท่านอารอง?”
นางเรียกเซียวเจิ้นถิงว่าท่านอารอง แสดงว่านางเป็นบุตรสาวของลูกคนโต
อวี๋หวั่นรู้มาตลอดว่าเซียวเจิ้นถิงมีพี่ชายหนึ่งคน ก็คือพ่อของเซียวเหยี่ยน แม่นางท่านนี้ น่าจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซียวเหยี่ยน
“ดึกป่านนี้ เจ้าจะไปไหนหรือ?” เซียวเจิ้นถิงถาม
ดรุณีน้อยตอบเสียงเบาด้วยความกลัว “ท่านแม่ปวดหัวอีกแล้ว ข้าจะไปดูนาง”
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “ไปเถอะ”
ดรุณีน้อยเดินไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ขณะที่เดินสวนกับอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไม อวี๋หวั่นแอบรู้สึกว่าแม่นางคนนี้คุ้นตาเหลือเกิน คล้ายกับเคยเจอกันมาก่อน แต่เมื่อมาคิดดีๆ อีกฝ่ายเป็นคุณหนูจากจวนสกุลเซียว เธอจะไปเคยเจอได้อย่างไรกัน?
เธอเดินตามพ่อบ้านและเซียวเจิ้นถิงออกจากระเบียงทางเดิน
อีกด้านหนึ่ง ดรุณีน้อยหันหลังกลับไปมองอวี๋หวั่น
สาวใช้ถามว่า “คุณหนูรอง มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
นางตอบว่า “ไม่มีอะไร”
……
ทิงเทาเก๋อสร้างอยู่บนทะเลสาบจำลอง เป็นเรือนที่บรรยากาศดีที่สุดในจวน เมื่อพวกเขาเดินข้ามสะพานไม้มาถึงทิงเทาเก๋อ ก็ได้ยินปรมาจารย์วิชาพิษกำลังระเบิดโทสะใส่บ่าวในจวน
“รสชาติแย่กระไรเพียงนี้! ไว้เลี้ยงหมูรึ?”
“นายท่านของพวกเจ้าเดินทางไกลนับหมื่นหลี่ ก็เพื่อให้ข้ามากินอาหารหมูเนี่ยรึ?!”
ที่จริงเป็นเพราะอาหารไม่ถูกปากเขา เรื่องนี้จะโทษพ่อครัวของจวนก็ไม่ได้ พวกเขาเกิดและเติบโตในเมืองหลวง ไม่เคยไปหนานเจียง ไม่รู้รสชาติอาหารหนานเจียง ทว่าก็ได้ไต่ถามถึงสิ่งที่เขาไม่กิน แต่เขาไม่ได้บอก เพียงแต่ให้พ่อครัวไปทำมา ผลก็คือเขาไม่พอใจกับอาหารที่พ่อครัวทำมา
พ่อบ้านปาดเหงื่อเย็นเฉียบ คุณชายห้ากล่าวเอาไว้มิผิดเพี้ยน ปรมาจารย์วิชาพิษผู้นี้ เอาใจยากจริงๆ!
เซียวเจิ้นถิงเดินเข้าไปในลานบ้าน
บ่าวรีบคำนับ “นายท่าน!”
เซียวเจิ้นถิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
“ขอรับ” บ่าวถอยออกไปด้วยความโล่งอก
“เจ้าก็ออกไปด้วย” ปรมาจารย์บอกพ่อบ้าน
“ขอรับ” พ่อบ้านตอบ
เซียวเจิ้นถิงพาอวี๋หวั่นไปยังห้องของปรมาจารย์วิชาพิษ เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนที่จัดว่าผอม โหนกแก้มสูง นัยน์ตาเย็นเยียบ ดูไม่เป็นมิตรเท่าไร ด้านหลังของเขามีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและดรุณีน้อยหน้าตาสะสวยยืนอยู่ พวกเขาเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ท่านนี้ อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่มีผู้หญิงด้วย
“ปรมาจารย์” เซียวเจิ้นถิงทักทายอย่างมีมารยาท
ปรมาจารย์วิชาพิษมองไปยังเซียวเจิ้นถิง ความตกใจปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เขาไม่ได้คาดคิดว่าเซียวเจิ้นถิงจะเป็นบุรุษสูงใหญ่กำยำเช่นนี้ แต่ในเมื่อเขาเป็นปรมาจารย์วิชาพิษผู้รอบรู้โลกกว้าง ภายในชั่วลัดนิ้วมือเดียวเขาก็เปลี่ยนสีหน้าได้ทันที แค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วกล่าวว่า “เจ้าคือเซียวเจิ้นถิงรึ? เป็นเจ้าที่เชิญข้ามารักษาลูกใช่หรือไม่?”
“ใช่” เซียวเจิ้นถิงนั่งลง “เจ้าก็นั่งสิ”
ประโยคหลังเขาพูดกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นนั่งลงด้านข้างของเขา
ปรมาจารย์มองประเมินอวี๋หวั่น แต่ไม่ได้ถามว่าอวี๋หวั่นคือใคร อาจเป็นเพราะสำหรับเขาแล้ว อวี๋หวั่นเป็นใครไม่สำคัญ เซียวเจิ้นถิงนี่สิที่เป็นคนเจรจาธุรกิจกับเขา กระนั้นลูกศิษย์ทั้งสองก็อดจับจ้องอวี๋หวั่นไม่ได้
“อาการป่วยของลูกเจ้า ข้าได้ยินจากคุณชายห้ามาแล้ว” ปรมาจารย์วิชาพิษกล่าว
“ท่านรักษาได้หรือไม่?” เซียวเจิ้นถิงถาม
ปรมาจารย์หัวเราะเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ถ้ารักษาไม่ได้แล้วข้าจะมาทำไม? หลอกกินหรือ? อาหารจวนเจ้ารสชาติย่ำแย่ขนาดนี้เนี่ยนะ!”
เขาเคียดแค้นกับอาหารเสียจริง
หลายวันมานี้อวี๋หวั่นอ่านตำราแพทย์มาไม่น้อย แต่ก็ยังหาวิธีถอนคำสาปไม่พบ ถ้าหากปรมาจารย์วิชาพิษคนนี้มีฝีมือ เธอก็อยากดูเหลือเกิน
ปรมาจารย์ดื่มชาไปหนึ่งคำ แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกก่อนนะ ว่าข้าไม่รักษาให้โดยไม่มีค่าตอบแทน”
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “แน่นอน ค่าตอบแทนท่านเรียกมาได้”
ปรมาจารย์กระแอม ปัดแขนเสื้อ “แม่ทัพใหญ่ที่เกรียงไกรอย่างเจ้า คงไม่กลัวข้าโลภมากหรอกกระมัง?”
เซียวเจิ้นถิงขมวดคิ้ว
ปรมาจารย์วิชาพิษโบกมือ “วางใจเถิด ข้าแค่ขู่เจ้าเท่านั้นแหละ แต่ว่าคำสาปของลูกชายเจ้าไม่ใช่คำสาปทั่วไป ค่าถอนสาปก็ย่อมมากเป็นธรรมดา ข้าคิดเจ้าน้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว หนึ่งแสนตำลึง ห้ามขาด”
อวี๋หวั่นถึงกับหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง!
หนึ่งแสนตำลึง โลภมากเกินไปแล้ว!
“ทองคำ” ปรมาจารย์กล่าว
อวี๋หวั่นตกใจแทบตาถลน ผู้ชายคนนี้รู้ไหมนั่นว่าเขาพูดอะไรออกมา? ทองคำหนึ่งแสนตำลึง? เขาคิดจะปล้นท้องพระคลังหรือ?
ปรมาจารย์วิชาพิษหัวเราะ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ชีวิตของเยี่ยนจิ่วเฉา คงไม่ได้ไม่คุ้มกับราคาหรอกใช่ไหม?”
……………………………..