หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 92 พี่จิ่วมาแล้ว
“เจ้าไม่รู้หรือ? เจ้าไม่ได้…เจ้าไม่ได้เอาไปหรือ?!” อวี้จื่อกุยนัยน์ตาหดเกร็ง ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าตนไม่เคยบอกอวี๋หวั่นว่ามีสิ่งใดอยู่ในไข่มุกเหล็ก เมื่อเป็นเช่นนี้ นางย่อมไม่รู้ว่าข้างในมีหนอนพิษ ในตอนที่ขโมยของ นางย่อมไม่ทันได้ป้องกันตัว และหากถูกมันกัดเข้า นางจะมายืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ได้หรือ?
“เป็นข้าที่สับสน…เป็นข้าที่สับสนเอง…” อวี้จื่อกุยทรุดฮวบลงกับพื้น หลังที่เจ็บปวดของเขาพิงกับกำแพงเย็นเฉียบ เขาโยนกระบี่ซึ่งเปื้อนเลือดในมือทิ้ง แล้วหัวเราะเย้ยหยันตนเอง
ทว่าครั้งนี้ อวี๋หวั่นไม่ได้กล่าวคำพูดจำพวก ‘ข้าบอกท่านไปตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าไม่ได้เอาไป ท่านก็ไม่เชื่อ’ เธอจับจ้องไปที่เขาด้วยนัยน์ตาล้ำลึก “ร้อยหนอนพิษหรือ?”
“เจ้ารู้จักร้อยหนอนพิษด้วยหรือ?” อวี้จื่อกุยมองเธอด้วยความหวาดระแวง
ผู้ชายคนนี้น่าสงสัย…สายตาของอวี๋หวั่นมิได้มีพิรุษ “ข้าเป็นหมอ ข้าจะไม่รู้จักร้อยหนอนพิษได้อย่างไร?”
ที่จริงแล้วในหนังสือที่ชุยเฒ่าขายให้อวี๋หวั่นนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับวิชาพิษแห่งหนานเจียง เพียงแต่เนื้อหาในนั้นมีไม่มาก กล่าวถึงเพียงหนอนพิษที่มักนำมาใช้ในการรักษา ร้อยหนอนพิษเป็นสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยินจากปรมาจารย์วิชาพิษคนนั้น บ้างก็เรียกว่า ‘ราชันร้อยสัตว์พิษ’
เมื่อก่อนอวี๋หวั่นพูดความจริง อวี้จื่อกุยก็ไม่เชื่อเธอ ตอนนี้เธอโกหกออกมาเต็มปาก แต่เขากลับไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย
อวี้จื่อกุยแค่นเสียง กล่าวว่า “ของพรรค์นั้นจะไปเทียบกับราชันสัตว์พิษในถุงผ้าไหมได้อย่างไร? น่ากลัวจะตาย”
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นสั่นไหวเล็กน้อย เธอพูดด้วยสีหน้านิ่ง “งั้นมันก็ชอบเลือดพลังหยินเข้มข้นหรือ?”
อวี้จื่อกุยมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาประหลาด “เจ้ารู้จักเลือดพลังหยินเข้มข้นด้วยรึ?”
“ข้าบอกแล้วไงว่าข้าเป็นหมอ” อวี๋หวั่นตอบ
“แน่นอนว่าชอบ แต่ว่าสตรีที่มีเลือดพลังหยินเข้มข้นสูงนั้นมีไม่มาก พบได้แต่จับมาไม่ได้”
“นั่นคือ…” สายตาของอวี๋หวั่นไปหยุดอยู่ที่หน้าอกเสื้อของอวี้จื่อกุย มีถุงมือสีเงินโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง
อวี้จื่อกุยหยิบถุงมือออกมา “ใช้จับหนอนพิษ”
มิน่าเล่า คืนนั้นอวี้จื่อกุยถึงสวมถุงมือตาข่ายเงินตอนที่จับลูกแก้วเหล็ก ปรมาจารย์วิชาพิษก็สวมถุงมือนี้ในตอนที่ควบคุมหนอนพิษเช่นกัน สตรีพิษไม่ได้สวมถุงมือเพราะนางมีหนอนพิษที่เก่งกาจอยู่ในร่าง หนอนพิษตัวอื่นไม่กล้ากินเลือดนาง มิเช่นนั้นจะถูกพิษจนตาย
“เป็นลูกแก้วที่ใหญ่จริงๆ”
“ฟู่ว”
“มีอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไร รอยแผลเล็กน้อย”
ในสมองของเธอปรากฏภาพของถุงที่เธอเปิดกับไป๋ถัง
อวี๋หวั่นยกมือขึ้น มองปลายนิ้วของตน อาจจะ…ไม่ใช่รอยแผลเล็กน้อย
“อาหวั่น! อาหวั่น!”
ด้านนอกตรอกมีเสียงของอวี๋เฟิงดังขึ้น ฟังดูราวกับกำลังกระวนกระวายใจ
อวี๋หวั่นมองไปยังอวี้จื่อกุย แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “วันนี้เป็นโชคของท่าน ข้าจะไม่เอาชีวิตท่าน แต่ทางที่ดีท่านควรจำเอาไว้ว่าอย่ามายุ่มย่ามกับข้า คราวหน้าถ้าข้าเจอท่านอีก ข้าฆ่าท่านแน่!”
“แค่กๆ…” อวี้จื่อกุยพยายามจะพูด แต่กลับกระอักเลือดสดออกมา “ไม่ต้องให้เจ้า…ลงมือ…ข้าก็คงจะ…”
ยังพูดไม่ทันจบ เมื่ออวี้จื่อกุยหันหน้าไป ก็เห็นอวี๋หวั่นหันหลังเดินออกไปนอกตรอกเสียแล้ว
อวี๋หวั่นปล่อยอวี้จื่อกุยไป ก็เพราะเธอ ‘นำ’ ของของอวี้จื่อกุยไปจริงๆ แต่เธอก็ไม่คิดจะคืนให้เขา และไม่คิดจะบอกเขาเช่นกัน เพียงแต่ว่า ถ้าหากเดินออกมาทั้งอย่างนั้น อวี้จื่อกุยก็อาจเคลือบแคลงได้ อวี๋เฟิงมาได้จังหวะพอดี อวี้จื่อกุยจึงคิดว่าเธอออกมาเพราะพี่ชายกำลังตามหาอยู่
ในส่วนลึกของตรอก อวี้จื่อกุยพยายามกดเลือดเอาไว้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับอวี๋หวั่น ผู้ชายคนนั้นร้ายเธอจนเกือบตายมาหลายครั้ง ครั้งนี้เธอหลอกเขาบ้าง นับว่าเสมอภาคกัน
จากนี้ก็ต่างคนต่างไป
“อาหวั่นเจ้าไปไหนมา?” อวี๋เฟิงถามอย่างร้อนรน เขารออยู่ที่ร้านยาอยู่นาน เมื่อไม่เห็นว่าน้องสาวกลับมา จึงไปตามที่ร้านหนังสือ คนในร้านบอกว่าแม่นางคนนั้นออกไปนานแล้ว อวี๋เฟิงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอวี๋หวั่น จึงรีบมาตามหา
“ข้าอยากไปซื้อขนมกุ้ยฮวา” อวี๋หวั่นพูด
อวี๋เฟิงจึงบอกว่า “ข้าไปเอง เจ้ากลับไปรอที่ร้านยาเถอะ”
อวี๋หวั่นดึงเขาเอาไว้ “ไม่ต้องแล้วพี่ใหญ่ อยู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องไปปรึกษากับนายท่านฉิน ข้าไปก่อนนะ”
“เอ๋? เจ้าจะไปไหน? หอจุ้ยเซียนไกลนะ เจ้านั่งรถม้าไปสิ!” อวี๋เฟิงร้องเรียก หลังของอวี๋หวั่นก็ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในฝูงชน
อวี๋หวั่นเช่ารถม้าที่เร็วที่สุดกลับไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา
เมื่อรถม้าจอดสนิท อวี๋หวั่นก็เลิกม่าน แล้วหยิบเงินก้อนให้สารถี สารถีตกใจ “แม่นาง มากไปแล้วขอรับ!”
“ไม่ต้องทอน!” อวี๋หวั่นกระโดดลงจากรถม้า แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ป้าจางและป้าไป๋นั่งยองๆ ล้างผักอยู่ข้างบ่อน้ำหน้าหมู่บ้าน เมื่อเห็นอวี๋หวั่น ป้าจางก็ร้องเรียก “อาหวั่น อาหวั่นน…”
อวี๋หวั่นไม่ได้ยิน และเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ป้าจางชะเง้อคอมอง “เกิดอะไรขึ้น ระ…รีบกระไรเพียงนี้…” ไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น!
ป้าจางมองไปยังป้าไป๋ ป้าไป๋ยักไหล่ “อย่าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้”
“อาหวั่น!” บิดาของซวนจื่อเห็นอวี๋หวั่น และถูกอวี๋หวั่นเมินเช่นกัน เขาเกาศีรษะแกร็กๆ ด้วยสีหน้างุนงง
อวี๋หวั่นตรงไปยังบ้านใหม่สกุลติงด้วยความเร็วสุดชีวิต เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนกระบวนการถอนคำสาปของเยี่ยนจิ่วเฉาและสตรีพิษ ซั่งกวนเยี่ยนเก็บบ้านเสียเกลี้ยง แม้แต่ตัวซั่งกวนเยี่ยนเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
ทั้งประตูหน้าและประตูหลังถูกลงกลอน
อวี๋หวั่นปลดแม่กุญแจออก แล้วสาวเท้าเข้าไป
ในตอนที่เธอไปเมืองหลวง สตรีพิษก็อาบน้ำเสร็จแล้ว แต่เพิ่งจะผ่านไปสองชั่วยาม ไม่รู้ว่านางจับเยี่ยนจิ่วเฉากินไปแล้วหรือยัง
อวี๋หวั่นพลันรู้สึกเสียดายที่ตนไปเมืองหลวง เธอควรจะอยู่ที่นี่ คอยขัดขวางไม่ให้สตรีพิษทำได้สำเร็จ แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ถ้าเธอไม่ไปเมืองหลวง ไม่เจอกับอวี้จื่อกุย เธอก็จะไม่รู้ว่าตัวเองสามารถถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาได้
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในโถงกลางบ้าน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ลอยมาแตะจมูก อวี๋หวั่นกำมือแน่น เดินตรงไปยังห้องของเยี่ยนจิ่วเฉา
ประตูหน้องปิดสนิท
อวี๋หวั่นยกเท้าขึ้นถีบประตู!
ม่านหน้าต่างปิดสนิท แสงไฟมืดสลัว สิ่งที่เธอสัมผัสได้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าภาพที่เธอมองเห็นก็คือกลิ่น เป็นกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคย อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้อง กลิ่นหอมยิ่งรุนแรงขึ้น เธอแทบจะกดความรู้สึกที่ถาโถมอยู่ในใจเอาไว้ไม่อยู่
คงไม่ใช่…กลิ่นกายหรอกใช่ไหม?
ปรมาจารย์วิชาพิษบอกว่าเขามีวิธีทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาที่หมดสติ ‘ตั้ง’ คงจะให้ยาเยี่ยนจิ่วเฉาอีกแล้วสินะ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าเธอมาช้าไปจริงๆ
อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึก พยายามกดโทสะซึ่งกำลังเดือดพล่าน แต่เธอก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่กำจายมากลบกลิ่นหอมนั้น
อวี๋หวั่นชะงัก เธอหยิบหั่วเจ๋อจื่อขึ้นมาจุดตะเกียงน้ำมัน ด้วยแสงตะเกียงสลัว อวี๋หวั่นมองเห็นภาพตรงหน้า สตรีพิษนอนเปลือยอยู่บนพื้นซึ่งมีสิ่งของกระจัดกระจาย นางหัวแตกและมีรอยเลือด เลือดสดไหลลงบนพื้น นางไม่ได้สติ ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉานอนคว่ำอยู่บนเตียง ลำตัวครึ่งท่อนของเขาโผล่ออกมานอกเตียง แขนของเขาห้อยต่องแต่ง และถือเชิงเทียนอยู่ในมือ
เชิงเทียนมีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่
อวี๋หวั่นมองไปยังเชิงเทียน จากนั้นก็มองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ยังสวมผ้าผ่อนครบถ้วน แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังจากถอนหายใจ ก็ได้ยินเสียงเยี่ยนจิ่วเฉาแดกดันว่า “ทำไม? คิดว่าข้าจะทำอะไรกับสตรีอื่นหรือ?”
เสียงนี้!
จู่ๆ อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่าขาไร้เรี่ยวแรงและเกือบล้มลง!
“ทะ…ท่านฟื้นแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นหันไป ไม่รู้ว่าดีใจหรือตกใจที่เห็นเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาคลายมือซึ่งเกร็งแน่นจากการถือเชิงเทียนเป็นเวลานาน เชิงเทียนร่วงลงบนพื้นเสียงดัง
“เรื่องพรรค์นี้ถ้าไม่ฟื้นแล้วข้าจะทำได้อย่างไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดเบาๆ
อวี๋หวั่นฟังเสียงก็รู้ได้ว่าเขาอ่อนแรง เดิมทีถูกยากระตุ้นให้ฟื้น แต่ผลข้างเคียงออกจะรุนแรงไปสักหน่อย จนไปทำร้ายสตรีพิษเข้า เกรงว่าบัดนี้พลังในร่างกายของเขาคงจะถูกใช้จนหมดแล้ว
อวี๋หวั่นเดินไปข้างเตียง คว้าผ้าผืนหนึ่งมาคลุมให้สตรีพิษ จากนั้นจึงเดินมาข้างเตียงแล้วจัดแจงยกเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นไปนอนบนเตียงตามเดิม
ก่อนหน้านี้เขานอนคว่ำอยู่ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ดูเรียบร้อยดี แต่เมื่อเขานอนหงาย อวี๋หวั่นจึงพบว่ากระดุมเสื้อของเขาถูกปลดออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและกล้ามเนื้อสวยชวนมอง
ซู้ด~
อวี๋หวั่นกลืนน้ำลาย
“ดูพอหรือยัง?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
อวี๋หวั่นเบ้ปาก จัดแจงเสื้อผ้าเขาให้เข้าที่ พร้อมทั้งติดกระดุมให้ เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าหลายวันมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“บางเรื่องก็รู้ บางเรื่องก็ไม่รู้ บางครั้งก็ได้ยิน เพียงแต่ข้าลุกไม่ขึ้น” เยี่ยนจิ่วเฉาพูด คิ้วโก่งสวยของเขาขมวด “มือ!”
อวี๋หวั่นถูกจับได้เสียแล้ว เธอค่อยๆ ดึงมือออกมาจากเข็มขัดกางเกงของเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นชี้ไปยังสตรีพิษราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เช่นนั้นท่านก็คงรู้ใช่ไหมว่านางมาถอนคำสาปให้ท่าน?”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ พูดว่า “แล้วอย่างไร? ข้าควรจะถูกนางทำให้แปดเปื้อนหรือ?”
ปะ…แปดเปื้อน…
อวี๋หวั่นมุมปากกระตุก คนเขายังไม่ได้แต่งงาน ท่านสิเป็นพ่อลูกสามแล้ว พูดเสียอย่างกับว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง
แม้ว่าร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉาจะอิดโรย แต่นัยน์ตายังคงมีพลังดังเคย เขามองอวี๋หวั่น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารีบมาถึงเพียงนี้ เพราะว่ากลัวข้าจะกำลังถอนคำสาปอยู่กับนางใช่ไหมเล่า?”
“ไม่ใช่” อวี๋หวั่นยกมือขึ้นจับมวยผมของตน แล้วค่อยๆ ดึงปิ่นไม้ออก เส้นผมดำขลับสยายลงมา “ข้าสามารถ ถอนคำสาปให้ท่านได้”
…………………………………………