หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 1.1 เรื่องมงคล (1)
วันที่ยี่สิบเดือนเจ็ด พวกเขาก็เดินทางออกจากเผ่าพ่อมด
พวกเขาไม่ได้บอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่าจะถอนพิษให้เขา เพียงแต่บอกว่าต้องกลับบ้าน และเขาก็มิได้ระแคะระคายแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะด้วยร่างกายของอวี๋หวั่นหรืออาการป่วยของเยี่ยนจิ่วเฉา ยิ่งถึงต้าโจวเร็วเท่าไรยิ่งดี ยามที่เดินทางมาพวกเขาไม่รู้เส้นทาง ทว่าตอนนี้อิ่งลิ่ววาดแผนที่ไว้แล้ว จึงทำให้รู้ว่าเส้นทางใดรวดเร็วที่สุด
“หลังจากออกจากประเทศมรกต ก็จะผ่านหมิงตูและเผ่าปีศาจ เส้นทางของสำนักเฟยอวี๋ใกล้ที่สุดแล้วขอรับ” อิ่งลิ่วพูดพลางชี้ไปยังแผนที่
“ผิงเอ๋อร์” อวี๋หวั่นเรียกสาวใช้ซึ่งคอยปรนนิบัติตนเองมาตลอดหลายสัปดาห์ “ครั้งนี้พวกเราจะเดินทางผ่านประเทศมรกต เจ้าอยากไปกับพวกข้า หรือว่าจะกลับบ้าน?”
ผิงเอ๋อร์เคยพูดกับอวี๋หวั่นแล้ว ว่านางต้องการติดตามเธอไปตลอด เหตุที่เธอยังไม่ได้ตอบตกลงในตอนนั้น ก็เพราะครอบครัวของผิงเอ๋อร์ล้วนอยู่ที่ประเทศมรกต ติดตามเธอสักครึ่งปีย่อมมิใช่ปัญหา แต่หากนานกว่านี้ นางอาจคิดถึงบ้านได้
ทว่าหลังจากอยู่กับผิงเอ๋อร์มาระยะหนึ่ง อวี๋หวั่นก็พบว่าผิงเอ๋อร์มิได้มีท่าทีว่าจะคิดถึงบ้านแต่อย่างใด อวี๋หวั่นจึงเดาว่าความสัมพันธ์ของผิงเอ๋อร์และคนที่บ้านของนางอาจไม่ดีอย่างที่เธอคิด
ผิงเอ๋อร์คุกเข่าลง “ฮูหยินน้อย ได้โปรดพาข้าไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ! พ่อแม่ของข้าเสียไปนานแล้ว ข้าโตมาในครอบครัวของลุง พวกเขา…พวกเขาไม่เคยเห็นข้าเป็นคนในครอบครัว! พวกเขาขายข้าเป็นบ่าวในเรือสินค้า คงไม่คิดอยากให้ข้ากลับไปหรอกเจ้าค่ะ! หากไม่ได้พบกับฮูหยินน้อย ข้าอาจถูกเจ้ากะลาสีเรือพวกนั้นจับไปเอาอกเอาใจบุรุษที่ไหนก็ไม่รู้!”
ชีวิตของเด็กคนนี้น่าสงสารเหลือเกิน
อวี๋หวั่นประคองผิงเอ๋อร์ขึ้นมา “หากเจ้าต้องการไปกับข้า ข้าย่อมยินดีให้เจ้าไปด้วย ข้าท้องแก่ ข้างกายไร้คนปรนนิบัติ แต่ข้าก็ต้องเตือนเจ้าก่อนว่าบ้านของสามีข้าอยู่ที่ต้าโจว ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ที่นั่นอยู่ห่างจากประเทศมรกตไปทางตะวันออก ไกลกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้แน่นอน หากไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้เจ้าอาจไม่ได้กลับประเทศมรกตอีก เช่นนี้เจ้าจะยังอยากตามข้าไปอยู่ใช่ไหม หากโชคดี เจ้าอาจได้แต่งงานใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่ต้าโจว หากโชคไม่ดี เจ้าก็อาจไม่พบผู้ใด และไม่มีตระกูลเดิมให้พึ่งพา พี่น้องก็ไม่มี เรื่องนี้เจ้าควรไปคิดให้รอบคอบ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ผิงเอ๋อร์ชะงักไป
อวี๋หวั่นไม่ได้บังคับนาง แม้ว่าเธอจะบังคับให้นางไปด้วยจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เธอซื้อผิงเอ๋อร์มาแล้ว ผิงเอ๋อร์ย่อมเป็นคนของเธอ เธอจะจัดการผิงเอ๋อร์อย่างไรก็ได้ เธอเพียงแต่หวังว่าแม่นางน้อยคนนี้จะมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง
อวี๋หวั่นกลับห้องไปเก็บของ
ผิงเอ๋อร์ถือห่อผ้ามาห่อหนึ่ง แล้วโขกศีรษะต่อหน้าอวี๋หวั่น “ฮูหยินน้อยได้โปรดพาบ่าวไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ผิงเอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวคิดดีแล้ว เดิมทีบ่าวอยู่ที่บ้าน ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษสวะที่ไม่มีใครสนใจ ท่านลุงกับท่านอาคิดจะขายบ่าวทิ้งไปเมื่อใดก็ได้ ครั้งนี้ต่อให้บ่าวกลับไปอีกก็คงมิวายถูกขายอีก บ่าวยินดีที่จะติดตามฮูหยินน้อยไปเจ้าค่ะ!”
ติดตามฮูหยินน้อย อย่างน้อยข้าก็ได้เป็นคน! ไม่ใช่สิ่งของ!
แน่นอนว่าก่อนที่จะพบฮูหยินน้อย ไม่ว่านางจะรับใช้เจ้านายมากี่คน ล้วนแต่ถูกปฏิบัติจนรู้สึกราวกับตนเองเป็นสิ่งของ ทว่าหลังจากได้มาอยู่กับฮูหยินน้อยสักพัก นางจึงได้เข้าใจว่าที่แท้สตรีก็สามารถมีชีวิตเช่นนี้ได้!
นางมิได้ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าคนนายคนอย่างฮูหยินน้อย แต่นางเพียงอยากมีชีวิตที่รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าในฐานะคนคนหนึ่ง
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ เห็นว่าเธอให้ผิงเอ๋อร์ตัดสินใจเองเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วเธอคุ้นเคยกับผิงเอ๋อร์แล้ว ถ้าหากซื้อสาวใช้มาใหม่ก็คงไม่รู้ใจเธออย่างผิงเอ๋อร์
อวี๋หวั่นยิ้ม “เอาละ เจ้าไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ไปเตรียมของให้เรียบร้อย ประเดี๋ยวเราจะออกเดินทาง”
ผิงเอ๋อร์รู้ว่าอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเป็นคนจากตระกูลใหญ่ มีบ่าวซึ่งได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี แต่ตนเองเป็นชาวบ้านยากจน ใช้นางเพียงระยะเวลาสั้นๆ ยังเข้าใจได้ แต่เมื่อกลับจวนไปแล้ว เกรงว่านางคงจะไม่มีคุณสมบัติมากพอ นางจึงกังวลว่าก่อนหน้านี้อวี๋หวั่นพูดเสียสวยหรู แต่ใจจริงกลับไม่ยินดีให้นางตามไปด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นว่าในที่สุดอวี๋หวั่นก็รับปากพานางไปด้วย ความกังวลที่แบกไว้ในใจก็พลันมลายหายไปทันที
ในขณะเดียวกันนางก็ตระหนักได้ว่าอวี๋หวั่นคำนึงถึงนางเช่นกัน ทำให้ในใจของนางยิ่งรู้สึกซาบซึ้ง นางสาบานว่าหลังจากนี้นางจะซื่อสัตย์และรับใช้เจ้านายคนนี้ให้ดีกว่าเดิม
พวกเขาเตรียมรถม้าทั้งหมดห้าคัน สามคันใช้สำหรับบรรทุกของ หนึ่งคันใช้ขนสัมภาระ อีกหนึ่งคันบรรทุกตัวยาสมุนไพรของชุยเฒ่า อีกคันหนึ่งเป็นของขวัญซึ่งพ่อครัวเทพเป้าและโจวจิ่นเตรียมไว้ให้พวกเขา
พ่อครัวเทพเป้ากล่าวว่า “นี่ให้ลุงใหญ่ของเจ้า ขาของเจ้านั่นหายดีแล้วกระมัง? ทำอาหารได้แล้วใช่ไหม?”
“ท่านปู่เป้า…” อวี๋หวั่นมองตำราอาหารในมือ เธอตกใจจนพูดไม่ออก เธอคิดว่าที่ท่านปู่เป้าลุกขึ้นมาจับพู่กันเขียนสูตรอาหาร ก็เพื่อมอบให้ท่านลุงเจียงเสียอีก…
พ่อครัวเทพเป้ารู้ว่าอวี๋หวั่นกำลังคิดอะไร เขายิ้ม พร้อมกับบอกว่า “ข้ายังมีเวลา ประเดี๋ยวค่อยเขียนให้เขา นี่เป็นสูตรอาหารที่ช่วงครึ่งปีนี้ข้าเพิ่งคิดค้นขึ้นมาใหม่”
อวี๋หวั่นลังเล “อันที่จริง…ท่านมอบตำราอาหารให้ท่านลุงใหญ่มาเล่มหนึ่งแล้ว เล่มนี้…”
“เก็บเอาไว้เถอะน่า!” พ่อครัวเทพเป้ายัดตำราอาหารใส่ไปในรถม้าของอวี๋หวั่น แล้วหยิบกล่องไม้ใบเล็กให้เธอ “กล่องนี้ให้เถี่ยตั้นน้อย”
“มีของเถี่ยตั้นน้อยด้วยหรือเจ้าคะ” อวี๋หวั่นยิ้ม เธอจากบ้านมานาน ปล่อยให้เขาอยู่ที่บ้านของลุงใหญ่คนเดียวเสียนาน เถี่ยตั้นน้อยต้องเศร้ามากแน่ๆ ที่จริงแล้วเธอก็คิดถึงเขา อยากกลับไปหาเขาเร็วๆ จังเลย
พ่อครัวเทพเป้าจึงพูดหยอกล้อว่า “ทำไม ปู่ต้องรักเจ้าคนเดียว? ห้ามรักเขาหรือ?”
“ท่านปู่เป้า!” อวี๋หวั่นร้อง
พ่อครัวเทพเป้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
พวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถม้า เยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น และผิงเอ๋อร์อยู่คันเดียวกัน ชุยเฒ่าและอาม่าอยู่คันเดียวกัน ยังเหลือรถม้าสำหรับขนของอีกสามคัน อวี๋หวั่นปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสามครอบครองรถม้าคนละหนึ่งคัน! เธอมั่นใจว่าไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเด็กทั้งสามก็ต้องรู้สึกเหงา และกลับมายังรถม้าของพวกเขาแต่โดยดี
ไม่ว่าอย่างไร รถม้าก็มีห้าคัน อิ่งลิ่ว อิ่งสือซัน และต๋าหว่าเป็นสารถีรถม้าคนละคัน ยังเหลือรถม้าอีกสองคัน ขณะที่พวกเขากำลังคิดว่าจะจ้างสารถีรถม้ามาดีหรือไม่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าควบเข้ามา
นั่นคือเจียงจวิน พาหนะคู่กายของราชาพ่อมด!
เจียงจวินวิ่งมาหยุดข้างกายของราชาพ่อมด ถูศีรษะของมันกับแขนของเขา
ราชาพ่อมดยิ้ม เขามองไม่เห็น แต่หันไปยังทิศทางที่อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ “มันอยากไปจงหยวนกับพวกเจ้า”
“อา…” อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ
ราชาพ่อมดยิ้ม “มีมันอยู่ พวกเจ้าจะไม่ต้องใช้สารถี”
ม้าของพวกเขาจะเชื่อฟังมัน
อวี๋หวั่นชะงักไป “แต่มันเป็นพาหนะของท่านไม่ใช่หรือ?”
ราชาพ่อมดลูบแผงคอของเจียงจวินด้วยความเอ็นดู “มันอยู่กับข้ามาตั้งแต่ยังเป็นลูกม้า ไม่ทันไรก็โตแล้ว…เด็กเมื่อเติบโตแล้ว ก็ควรปล่อยให้ไปท่องโลกกว้างบ้างไม่ใช่หรือ?”
ไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเจียงจวินในตอนนี้ หรือพูดถึงโจวจิ่นในอนาคต เขามีลางสังหรณ์ว่าวันหนึ่ง โจวจิ่นก็จะไปจากเขา ไปอยู่ในที่ซึ่งเป็นของเขา
“มันอยากเป็นม้าศึก” ราชาพ่อมดบอก “ดูแลมันให้ดี”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เจียงจวินตัวเดียวมีกำลังเทียบเท่าม้าสองตัว มันเพียงตัวเดียวสามารถลากรถม้าของอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา อิ่งสือซัน อิ่งลิ่ว และต๋าหว่าแบ่งกันบังคับรถม้าของเด็กทั้งสาม แม้จะเรียกว่าบังคับรถม้า แต่แท้จริงแล้วก็แค่นั่งบนรถม้า คอยดูแลความปลอดภัยของเด็กๆ ก็เท่านั้น ม้าทุกตัวรวมไปถึงม้าซึ่งอยู่บนรถม้าคันสุดท้ายล้วนวิ่งตามเจียงจวิน ประหยัดแรงของพวกเขาไปได้มาก
ลุงเจียงและป้าสะใภ้เจียงพยุงพ่อครัวเทพเป้ามาส่งพวกเขา
อวี๋หวั่นไม่ได้พูดคำพูดเช่น ‘ท่านรักษาสุขภาพ หากข้ามีเวลาจะมาเยี่ยมท่าน’ เธอจะไม่พูดสิ่งที่ทำไม่ได้ ส่วนสิ่งที่ทำได้ก็แสดงให้เห็น ไม่จำเป็นต้องพูด
“ท่านพ่อ จิ่วเฉากับอาหวั่นไปแล้ว พวกเราเข้าไปในห้องกันเถอะเจ้าค่ะ ข้างนอกลมแรง” ป้าสะใภ้เจียงบอกด้วยความเอาใจใส่ “หยางเอ๋อร์ มาประคองท่านปู่ไปเร็ว!”
“ขอรับ!” เจียงเสี่ยวหยางเดินเข้ามาอย่างรู้ความ มาประคองแขนของพ่อครัวเทพเป้า “ท่านปู่! ข้าพาท่านเข้าไปเองขอรับ!”
“ดีๆๆ…” พ่อครัวเทพเป้าหัวเราะร่า เดินกะโผลกกะเผลกกลับเข้าห้องไปโดยมีหลานชายและลูกสะใภ้คอยพยุง
“พวกเรากลับวังหลวงกันเถิด” ราชาพ่อมดบอกกับโจวจิ่น
โจวจิ่นมองตามจนเงาของรถม้าเลือนหายไป จากนั้นจึงเดินขึ้นรถม้าของราชาพ่อมดไปเงียบๆ
…………