หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 1.2 เรื่องมงคล (2)
พวกเขากลับไปยังวังหลวง
หลังจากที่ราชาศักดิ์สิทธิ์จากไป ดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักราชาพ่อมดก็ร่วงโรย มวลบุปฝาซึ่งเคยบานสะพรั่ง
ก็เหี่ยวแห้งราวกับเผชิญความหนาวเหน็บในเหมันตฤดูอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ตายไปตลอดกาล
กระนั้น เมื่อราชาพ่อมดจูงมือโจวจิ่นไปยังแปลงดอกไม้ กลิ่นอายรุนแรงของราชาศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยมาจากเส้นขอบฟ้า ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักราชาพ่อมด แม้แต่ดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาก็ชูช่อขึ้นมาอีกครั้ง มันค่อยๆ มีสีเขียวสด ดอกสีม่วงบานสะพรั่งล้อมรอบโจวจิ่น
‘ไม่มีให้เห็นแล้ว’
เขาเคยพูดไว้เช่นนี้
ได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือ?
โจวจิ่นคุกเข่าลง สองมือค่อยๆ ประคองดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ สายตามองไปยังทิศทางที่พวกอวี๋หวั่นจากไป มุกปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย “ข้าเห็นแล้ว ขอบคุณ”
……
เป็นดังที่อวี๋หวั่นคาด เด็กทั้งสามนั่งในรถม้าได้ไม่เท่าไรก็ทนความโดดเดี่ยวไม่ไหว จำต้องเดินเตาะแตะกลับไปยังรถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น
ยามสนธยา พวกเขาตั้งค่ายอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
ต๋าหว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทุกคนรู้ดีว่าเขากำลังคิดถึงเนี่ยหวั่นโหรว เขาไม่อยากไปจากนาง
“คิดถึงนางก็ไปหานางสิ” อวี๋หวั่นบอกกับต๋าหว่า “ทำไมหรือ? เจ้าเป็นห่วงว่านางจะไม่ฟื้นขึ้นมา?”
“เปล่า นางต้องฟื้นอย่างแน่นอน แต่ต่อให้นางไม่ฟื้น ข้าก็ยินดีดูแลนางไปตลอดชีวิต เพียงแต่ว่า…” ต๋าหว่าก้มหน้า “ข้ากลัวว่าข้าจะไม่คู่ควรกับนาง ข้าไม่ได้มีชาติกำเนิดสูงส่งอย่างเวินซวี่ ไม่มีแม้แต่หน้าตาที่หล่อเหลาอย่างเขา”
ทั้งสถานะและหน้าตาของเขาล้วนเป็นของปลอม เขากลัวว่าเมื่อหวั่นโหรวเห็นตัวจริงของเขาแล้วจะผิดหวัง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหน้าตาหรอก” ถ้าหากเนี่ยหวั่นโหรวสนใจเพียงรูปร่างหน้าตา นางก็คงจะรักเวินซวี่ไปตั้งแต่แรกแล้ว เห็นได้ชัดว่านางให้ความสำคัญกับนิสัยและจิตใจมากที่สุด
อวี๋หวั่นพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น คู่ควรไม่คู่ควรเจ้าเป็นคนตัดสินใจฝ่ายเดียวได้ที่ไหนกัน? เรื่องแบบนี้น่ะนะ ทั้งสองฝ่ายควรเห็นพ้องต้องกัน ตอนที่ข้าแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉา ข้าก็เป็นเพียงเด็กสาวจากชนบทคนหนึ่ง ทั้งยังเคยถูกคนอื่นถอนหมั้นมาแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานของพวกเรา เพียงแต่ข้าโชคดีกว่าเจ้าตรงที่ข้ามีแม่สามีที่ดี ท่านแม่ของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยดูแคลนข้าเพียงเพราะชาติกำเนิด”
ต๋าหว่าสับสน “เจ้าไม่ใช่เป็นลูกขององค์หญิงแห่งหนานจ้าวกับแม่ทัพจวนเทพสงครามหรอกหรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นเด็กสาวจากชนบทไปได้?”
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “เรื่องมันยาว สรุปแล้วตอนนั้นข้าชาติกำเนิดต่ำต้อย คนอื่นก็บอกว่าข้าไม่คู่ควรกับเยี่ยนจิ่วเฉา”
ต๋าหว่าเหลือบมองไปยังคุณชายอสรพิษซึ่งนั่งอยู่ข้างกองไฟด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา แล้วกระซิบว่า “เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้ คนที่มีสิทธิ์ปฏิเสธควรจะเป็นเจ้าเสียมากกว่า…”
หากเป็นคนอื่น ใครจะไปทนไหวกัน?
เจ้านี่เป็นบ้าขึ้นมา ไม่ใช่ทุกคนจะรับมือได้ แต่อาหวั่นมีความสามารถควบคุมเขาได้
“ยังไม่สุกอีกหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองไปยังหัวมันในกองไฟ
“มาแล้ว!” อวี๋หวั่นส่งสายตาให้เยี่ยนจิ่วเฉา เพื่อบอกว่ารอก่อน จากนั้นเธอก็เดินไปหยิบท่อนไม้มาเขี่ยหัวมัน “เจ้าต้องกลับมันด้วย จะย่างเพียงฝั่งเดียวไม่ได้”
“เจ้า?”
“ท่าน ท่าน พอใจหรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉา “เรียกข้าว่าท่านพ่อ”
อวี๋หวั่น “…”
สุดท้ายแล้วต๋าหว่าก็เดินทางกลับไปหาเนี่ยหวั่นโหรวยังเผ่าพ่อมด
“อ๋า เขาไปจริงๆ หรือเจ้าคะ?” ผิงเอ๋อร์กำลังย่างกระต่าย นางเอ่ยถามด้วยความตกใจ
อวี๋หวั่นยิ้ม แล้วตอบว่า “ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง หวั่นโหรวฟื้นแล้ว“
“อะ…อะไรกัน? ฮูหยินเวิน…ไม่ใช่สิ แม่นางเนี่ยฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?” ผิงเอ๋อร์ตกใจจนเกือบทำกระต่ายย่างในมือหล่น
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “อื้ม ฟื้นแล้ว”
ในตอนที่ผู้อาวุโสสามยืนกรานว่าจะพาเนี่ยหวั่นโหรวกลับจวนไปรักษาตัว อวี๋หวั่นเป็นคนเดียวที่เห็น เนี่ยหวั่นโหรวส่งสายตาให้เธอ เพื่อไม่ให้เธอพูดออกไป
อวี๋หวั่นรับปาก
ผิงเอ๋อร์จึงถามว่า “เหตุใดนางไม่บอกให้เร็วกว่านี้ละเจ้าคะ? เห็นอยู่ว่าผู้อาวุโสสามไล่ต๋าหว่าไปไม่ใช่หรือ? ถ้าหากต๋าหว่าไปแล้วไม่กลับมา พวกเขาทั้งคู่จะไม่คลาดกันไปตลอดชีวิตหรือเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ถ้าเพียงความกล้าหาญเพียงเล็กน้อยแค่นี้ต๋าหว่ายังไม่มี ก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายที่นางจะฝากชีวิตไว้ด้วย นางเลือกต๋าหว่า ก็คงไม่ได้ง่ายไปกว่าการอยู่กับเวินซวี่ หวั่นโหรวต้องการให้ต๋าหว่าเชิญหน้ากับอุปสรรคไปพร้อมกับนาง”
ผิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “เช่นนั้น…ผู้อาวุโสสามจะยอมหรือเจ้าคะ?”
“ข้าไม่รู้” อวี๋หวั่นตอบ
สงครามของพวกเขาสิ้นสุดลง ทว่าสงครามของต๋าหว่าเพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่เรื่องพรรค์นี้ ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้มากนัก เขาจำต้องพึ่งพาตนเอง
“ข้าภาวนาให้เขาโชคดี” อวี๋หวั่นพูดอย่างแผ่วเบา “ไอ้หยา ทำไมข้าถึงรู้สึกมีความสุขบนหายนะของผู้อื่นอย่างนี้นะ”
……
พวกเขาเดินทางกันด้วยความเร็วสูงสุด หลังจากเดินทางไกลมาระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงสำนักเฟยอวี๋ในต้นเดือนแปด
“ข้าคิดเสียอีกว่าต้องใช้เวลาสักสองเดือน คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้” อวี๋หวั่นลงจากรถม้า
สำนักเฟยอวี๋ต่างไปจากครั้งก่อนที่พวกเขามาถึง
“น่าจะซ่อมแซมใหม่แล้ว” อิ่งลิ่วบอก “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
“ข้าจะเข้าไปถาม” อิ่งสือซันหยิบป้ายคำสั่งสำหรับเข้าไปในสำนักซึ่งเจียงไห่ทิ้งไว้ให้ แล้วตรงไปหาลูกศิษย์ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู
เมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าสำนักน้อย ลูกศิษย์จึงถามชื่อแซ่ของพวกเขา จากนั้นก็พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “เป็นเพื่อนกับคุณชายหรอกหรือขอรับ! เชิญเข้ามาเถิด! คุณชายเคยสั่งไว้ว่าถ้าหากเพื่อนของเขามา ให้พวกข้าต้อนรับเป็นอย่างดี! หลายวันมานี้คุณชายออกไปข้างนอกกับเจ้าสำนักขอรับ แต่ฮูหยินอยู่ที่นี่! ข้าน้อยจะไปเเจ้งแก่ฮูหยินนะขอรับ!”
พวกเขายังพอเดาออกว่าคุณชายที่เขาพูดถึงคือหวั่นเฟิง แต่…ฮูหยินนี่ใครกัน?
ไม่นานพวกเขาก็ได้คำตอบ
ลูกศิษย์พาพวกเขาไปยังโถงบุปฝา ผู้ที่มาต้อนรับพวกเขาก็คืออดีตคู่หมายของเจียงไห่ คุณหนูเว่ยหรูเยียนแห่งสกุลเว่ย
“แม่นางหรูเยียน!” อวี๋หวั่นนัยน์ตาเป็นประกาย
อวี๋หวั่นประทับใจในตัวเว่ยหรูเยียนตั้งแต่แรก นางเปลี่ยนทัศนคติของอวี๋หวั่นที่มีต่อคุณหนูจากตระกูลใหญ่ แม้ว่านางจะรู้สึกดีต่อเจียงไห่ แต่หลังจากที่นางตระหนักได้ว่าเรื่องของนางและเจียงไห่นั้นเป็นไปไม่ได้ นางก็ตัดใจในทันและเปลี่ยนไปเลือกบุรุษที่เหมาะสมกับนาง ทั้งยังสามารถรักษาผลประโยชน์ของตระกูลนางไว้ได้
อวี๋หวั่นชื่นชมในความฉลาดเฉลียวและเด็ดขาดของนาง
เว่ยหรูเยียนสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน นางยังเหมือนกับครั้งแรกที่อวี๋หวั่นพบนาง งดงามและไม่เย่อหยิ่ง ประหนึ่งดอกกล้วยไม้ที่ค่อยๆ เบ่งบานเมื่อไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เพียงแต่ว่า ทรงผมของนางเปลี่ยนไปแล้ว ท่าทางของนางยังแลดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย
“ข้าควรจะแสดงความยินดีกับแม่นางหรูเยียนก่อนกระมัง?” อวี๋หวั่นยิ้ม
เว่ยหรูเยียนเข้ามากอดแขนของอวี๋หวั่นด้วยความสนิทสนม “ข้าแต่งงานเมื่อเดือนที่แล้ว เดิมทีคิดว่าจะรอท่าน แต่ว่า…ข้าติดต่อท่านไม่ได้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง หาตัวยาพบแล้วหรือยัง?”
อวี๋หวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งเงยหน้ามองดวงจันทร์อยู่ในลานบ้าน เธอพยักหน้าพร้อมกับพูดเสียงค่อยว่า “หาเจอแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางกลับต้าโจวเพื่อทำยาถอนพิษโดยเร็วที่สุด”
เว่ยหรูเยียนพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “เช่นนั้นพวกท่านก็ต้องรีบเดินทางใช่ไหม? หากหวั่นเฟิงรู้ เขาต้องเสียใจมากเป็นแน่ เขาอยากพบท่านมาก ยังมีเจ้าสำนักน้อย เขาเป็นห่วงท่านมาก เพียงแต่ว่าท่านอาจไม่ได้พบเจ้าสำนักน้อยแล้ว”
อวี๋หวั่นชะงักไป “พูดถึงเจียงไห่…ไม่สิ จี้สิงชวน ครั้งก่อนเขาถูกโจมตีที่ป่าของเผ่าปีศาจ หลังจากนั้นก็ไม่เจอเขาอีก เขากลับมาแล้วหรือ?”
เว่ยหรูเยียนพยักหน้า “อื้ม กลับมาแล้ว ลูกศิษย์สำนักเฟยอวี๋ไปพบเขา เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อรักษาตัวจนหายดีก็ออกไปตามหาท่านอีกรอบ แม้แต่พวกข้าก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “ข้าคิดว่าหลังจากที่ลูกศิษย์ในสำนักพบเขาและพาเขากลับสำนักแล้ว เขาจะไม่ออกไปอีก เพราะมีเจ้าสำนักคอยจับตาดูอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่า…”
เว่ยหรูเยียนยิ้ม “ท่านไม่ต้องโทษตัวเองหรอก เขาก็มีนิสัยแบบนี้ สำนักนี้ขังเขาไว้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาก็หายออกไปตั้งนาน เพื่อตามหาพี่สาวไม่ใช่หรือ? วรยุทธ์ของเขาแข็งแกร่ง ทั้งยังไม่เชื่อใจผู้ใดง่ายๆ เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
ก่อนหน้านี้นางตัดใจจากจี้สิงชวน เหตุผลประการแรกเป็นเพราะในใจของจี้สิงชวนมีแต่อวี๋หวั่น อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเว่ยหรูเยียนคิดว่านิสัยของจี้สิงชวนไม่เหมาะกับการมีครอบครัว ไม่อาจเทียบกับหวั่นเฟิง เขาทั้งว่าง่ายและเอาใจใส่ น่ารักที่สุด!
………………………..