หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 10.2 ครอบครัวพร้อมหน้า (2)
เธอสงสัยเหลือเกินว่าหมอนี่อาจทำไปเพื่อเติมเต็มความเสียดายที่วันแต่งงานไม่ได้กินอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นจึงทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า น่าเสียดายที่เธอไม่มีหลักฐาน! น่าโมโหจริงๆ!
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ในอดีตอันแสนอดสู คุณชายบางคนก็หมดความอดทน เดินหน้าดำคร่ำเครียดออกไป
……
ตกกลางคืน คนในครอบครัวต่างกินอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากมื้ออาหาร เด็กทั้งสามก็เริ่มซุกซนดังเคย หน้าที่พ่อบ้านอันแสนหฤโหดของลุงวั่นก็เริ่มต้นขึ้น ส่วนอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาก็ตามเยี่ยนอ๋องไปยังห้องหนังสือ
เยี่ยนอ๋องถามถึงเรื่องการเดินทาง เขาไม่คิดว่าเพราะอวี๋หวั่นเป็นสตรี จึงไม่ควรเข้ามายุ่มย่ามกับบทสนทนาของบุรุษ ลูกสะใภ้ของเขามีความกล้าหาญและความรู้มากกว่าบุรุษจำนวนมากที่เขารู้จัก
แต่ว่า วันนี้อวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไรมาก เป็นเยี่ยนจิ่วเฉาพูดเสียส่วนใหญ่
เมื่อเทียบกับครั้นอยู่ในหนานจ้าว ซึ่งสองพ่อลูกพลัดพรากจากกันไปนาน และไม่รู้ว่าควรเข้าหากันอย่างไร พวกเขาในตอนนี้เป็นธรรมชาติกว่าเดิมมาก เยี่ยนจิ่วเฉาไม่พูดมาก กระนั้นทุกสิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นประเด็นสำคัญ และใช้ภาษาได้คล่องแคล่วสละสลวยในการอธิบายเรื่องที่ซับซ้อน
แน่นอนว่า เรื่องที่เกี่ยวกับตนเองซึ่งสูญเสียความทรงจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแต่งงานกับอวี๋หวั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมไปถึงเรื่องที่คิดว่าตนเองเป็นพ่อของอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉากัดฟันข้ามมันไป
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวจนจบ เยี่ยนอ๋องก็ตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่เห็นท้องของอวี๋หวั่นเสียอีก ที่แท้เผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นเมืองหลวงเก่าสำหรับใช้ขังนักโทษ และที่แท้อวี๋หวั่นก็มีชาติกำเนิดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าองค์หญิงแห่งหนานจ้าวและคุณหนูแห่งจวนเทพสงคราม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเผ่าศักดิ์สิทธิ์และเผ่าพ่อมด…สองเผ่าในตำนานล้วนเป็นเรื่องจริง อีกทั้งฉงเอ๋อร์และอาหวั่นก็ตามหาจนพบ
เยี่ยนอ๋องรู้สึกปวดใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจ
ผู้คนล้วนพูดว่าฉงเอ๋อร์ลูกของเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบห้า บัดนี้เขาอยากให้คนเหล่านั้นได้เห็นว่าฉงเอ๋อร์ของเขาเอาชนะคำทำนายของคนเหล่านั้น และมีอายุยืนได้อย่างไร!
เยี่ยนอ๋องพยายามกดความรู้สึกตื่นเต้นในใจ “ตัวยาสมุนไพรที่ต้องการ ข้ารวบรวมไว้หมดแล้ว บางชนิดข้าปลูกไว้ในเรือนเพาะชำของจวน ในเมื่อได้ตัวยามาครบแล้ว ก็สามารถเชิญท่านหมอชุยมาทำยาถอนพิษได้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นบอก “สือซัน เจ้าอยู่ข้างนอกไหม?”
อิ่งสือซันเดินเข้ามา “ฮูหยินน้อย มีอะไรรับสั่งหรือขอรับ”
อวี๋หวั่นถาม “ชุยเฒ่าอยู่ไหม? ไปเชิญเขาเข้ามา พวกเราจะเริ่มปรุงยากัน”
อิ่งสือซันมองเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงบอกว่า “ชุยเฒ่ากลับหมู่บ้านไปแล้ว”
ชุยเฒ่าซึ่งกำลังถือกระเป๋าสัมภาระออกจากประตูไป “…”
เยี่ยนอ๋องมองไปยังชุยเฒ่าซึ่งอยู่หน้าประตู ชุยเฒ่าก็เห็นเยี่ยนอ๋องซึ่งอยู่ในห้อง
เยี่ยนอ๋องอ้าปากค้าง
“ท่านพ่อมองอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นหันไปมองตามสายตาของเยี่ยนอ๋อง อิ่งสือซันเข้าไปขวางในทันใด
“ไม่มีอะไร อะแฮ่ม!” เยี่ยนอ๋องพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามองพวกต้าเป่าน่ะ”
“เขากลับไปได้อย่างไรกัน เจ้าไปตามเขากลับมา” อวี๋หวั่นบอก
อิ่งสือซันเหลือบมองคุณชายบ้านตน แล้วตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการ!”
อวี๋หวั่นนั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็เริ่มง่วงแล้ว หลังจากที่เธอลุกเดินกลับห้องไป เยี่ยนอ๋องก็มองไปยังลูกชายของตนด้วยความประหลาดใจ “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “นางคิดว่าตนเองเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เลือดของนางคือเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์”
อันที่จริงไม่ใช่อวี๋หวั่น ในท้องของเธอต่างหากที่มีราชาศักดิ์สิทธิ์อยู่ เพื่อที่จะไม่ทำลายจินตนาการว่าตนเองเป็น ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์’ ของภรรยา คุณชายเยี่ยนจึงต้องตามน้ำไปก่อน
เยี่ยนอ๋องเข้าใจแล้ว พวกเขาได้ตัวยามาเพียงสามชนิด อีกชนิดหนึ่งยังอยู่ในท้องของอวี๋หวั่น ต้องรอให้เด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัยเสียก่อน จึงจะได้เลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงมา
เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา รอมาได้ตั้งหลายปี รออีกเพียงไม่กี่วันคงไม่เป็นไร นอกจากนั้นอวี๋หวั่นก็ใกล้คลอดแล้ว
“ใช่สิ เมื่อครู่ข้าสนใจแต่เรื่องของเจ้า จนลืมบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าไป เสด็จลุงของเจ้าไม่สบาย”
“ข้าได้ยินมาบ้างแล้ว”
ความรู้สึกที่เยี่ยนอ๋องมีต่อฮ่องเต้นั้นออกจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกส่งไปอยู่ในตำหนักเย็น สองพี่น้องเกื้อกูลกัน จนผ่านพ้นวันคืนอันลำบากยากเข็ญมาด้วยกัน ก่อนที่เสด็จแม่จะจากไป นางให้ฮ่องเต้สาบานว่าจะดีต่อเขา ฮ่องเต้ทำได้แล้ว เพียงแต่ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว เขารับผิดแทนฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ทำปิตุฆาตเพื่อช่วยชีวิตเขา ทว่าเดิมทีเสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องตาย และไม่จำเป็นต้องมาแก้แค้นเขา
เมื่อมองจากมุมนี้ เขาจึงรู้สึกลำบากใจที่จะให้อภัยฮ่องเต้
กระนั้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หากสลับกัน ถ้าเสด็จพ่อคิดสังหารพี่ชายคนนี้ เขาก็คงนั่งนิ่งไม่ดูดำดูดีไม่ได้เช่นกัน
เสด็จพ่อและเสด็จแม่ล่วงลับไปแล้ว หากจะมาโต้เถียงกันว่าใครผิดใครถูกก็คงไร้ประโยชน์ หลายปีมานี้ฮ่องเต้ดีกับฉงเอ๋อร์มาก ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับตน อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อชดใช้แก่สิ่งที่เขาสูญเสียไป
“ข้าไม่ได้ไปหาเขา แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรไปสักครั้ง
เขาอาจเคยทำผิดต่อข้า แต่เขาไม่เคยทำผิดต่อเจ้า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในจวนเยี่ยนอ๋อง เขาไม่ได้เป็นคนก่อ เรื่องของหนานกงเยี่ยนไม่เกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ข้ารับผิดแทนเขา ผลที่เลวร้ายที่สุดก็คือเสด็จพ่อเกลียดข้า ทว่าข้าไม่เคยคิดอยากได้บัลลังก์ เพราะฉะนั้นจะเกลียดข้าหรือไม่ ข้าย่อมไม่สนใจ”
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต่อให้ตอนนั้นเขาไม่รับผิดแทนฮ่องเต้ เขาก็ไม่ยินดีที่จะขึ้นครองบัลลังก์ บัลลังก์ฮ่องเต้เป็นของท่านพี่ เขากับท่านพี่ต่างฝ่ายต่างรู้ไส้รู้พุงกันดี
สุดท้ายแล้วเขาก็ได้เป็นเยี่ยนอ๋อง ทั้งยังเป็นที่ถูกตาต้องใจของหนานกงเยี่ยน เพราะฉะนั้นเรื่องของหนานกงเยี่ยนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับท่านพี่แม้แต่น้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “ขอรับ ข้าจะไปดูเขา”
……
ข่าวที่เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าวังมาดูอาการประชวรของฮ่องเต้นั้นแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังหลวง ทั้งยังไปถึงจวนของจิ้งอ๋องในคืนนั้น
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ใครเข้าวัง” เยี่ยนไหวจิ่งวางสาส์นในมือซึ่งอ่านไปได้เพียงครึ่งเดียวลง แล้วมองหน้าองครักษ์
องครักษ์ยกมือขึ้นประสาน “ทูลองค์ชาย เยี่ยนจิ่วเฉาพ่ะย่ะค่ะ! เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท!”
เยี่ยนไหวจิ่งนัยน์ตากระตุกวูบ “พวกเขากลับมาถึงเร็วเพียงนี้ได้อย่างไรกัน? เหตุใดข้าถึงไม่ได้ข่าว ไม่ได้ให้พวกเจ้าส่งสายสับไปเฝ้าที่ประตูเมืองทิศใต้หรอกหรือ?”
องครักษ์ตอบด้วยความลำบากใจว่า “องค์ชาย พวกข้าส่งคนไปเฝ้าที่ประตูเมืองทิศใต้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่…แต่ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เข้ามาทางประตูทิศใต้…เขามาทางเรือพ่ะย่ะค่ะ!”
“เขากลับเมืองหลวงมาตั้งแต่เมื่อไร” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
“วันนี้พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ตอบ
เยี่ยนไหวจิ่งใช้ความคิด แล้วจึงบอกว่า “กลับเมืองหลวงมาวันนี้ แล้วก็เข้าวังวันนี้เลยหรือ?”
ที่ปรึกษาซึ่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชาย เกรงว่าที่เยี่ยนจิ่วเฉาเข้าวังไม่ใช่เพียงเพื่อเข้ามาดูอาการประชวรของฮ่องเต้ หากแต่ตัวตนของสายลับถูกเปิดเผยแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง คงจะเดาได้ว่าเป็นฝีมือขององค์ชาย”
“ฉลาดปราดเปรื่อง?” เยี่ยนไหวจิ่งหัวเราะแดกดัน
“ฉลาดนิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษาพูด
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว “เช่นนั้น ก็หมายความว่าเขาตั้งใจมาบอกเสด็จพ่อเรื่องนี้หรือ? ให้คนไปหยุดเขาไว้! อย่าให้เขาได้พบกับเสด็จพ่อ!”
องครักษ์กระแอม “เกรงว่า…จะไม่ทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเป็นใครกัน แม้แต่ในตำหนักจินหลวนยังกล้าลงไม้ลงมือ ใครจะไปกล้าหยุดเขา?
หากจะต้องชักอาวุธมาฟาดฟันกันก็เห็นจะไม่เหมาะ ใครใช้ให้ฮ่องเต้เอ็นดูเยี่ยนจิ่วเฉาถึงเพียงนั้นเล่า? จะให้ชักกระบี่มาจ่อคอเขาเพื่อขู่ไม่ให้เขาเข้าวัง นั่นไม่เท่ากับคิดเป็นปฏิปักษ์กับฝ่าบาทหรอกหรือ?
เยี่ยนไหวจิ่งได้สติกลับมา เขาถามองครักษ์ว่า “เขาเข้าวังมาแล้วหรืออย่างไร?”
องครักษ์ตอบว่า “ยังขอรับ เขาอยู่ระหว่างทางมายังวังหลวง”
สายตาของเยี่ยนไหวจิ่งเป็นประกาย เขามองไปยังบุรุษสวมผ้าคลุมและหมวกสานซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถามว่า “ไต้ซือ ยาอายุวัฒนะที่เจ้าเตรียมให้เสด็จพ่อเสร็จแล้วหรือยัง?”
บุรุษคนนั้นตอบด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนไหวจิ่งถามว่า “ไต้ซือ ยานี้สามารถรักษาอาการประชวรของเสด็จพ่อข้าได้จริงหรือ?”
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นถูกเงาของหมวกบดบัง เสียงที่เปล่งออกมานั้นทั้งฟังดูทุ้มต่ำและลึกลับ “ไม่เพียงสามารถรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้ต้าโจวได้ แต่ยังทำให้อายุยืนยาว อยู่ครองบัลลังก์ได้อีกนานพ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยนไหวจิ่งมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี “ไต้ซือพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจ ท่านพ่อได้ยาอายุวัฒนะต้องทรงดีใจมากเป็นแน่! ข้าจะนำยานี้เข้าวัง!”
เขาต้องรีบเข้าวังก่อนที่เยี่ยนจิ่วเฉาจะได้เข้าเฝ้าท่านพ่อ!
บุรุษสวมผ้าคลุมตอบว่า “ความดีความชอบครั้งใหญ่ของจิ้งอ๋อง ฮ่องเต้ต้องพระราชทานรางวัลให้อย่างงามแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
…………………….