หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 11.1 พี่จิ่วเฉิดฉาย (1)
เวลาไม่เคยรอใคร เยี่ยนไหวจิ่งรีบนำยาเดินทางออกจากจวน ทว่าทันทีที่ก้าวขาออกจากเรือน ก็พบกับหานจิ้งซู
เขากับหานจิ้งซูแต่งงานกันเมื่อหลายเดือนก่อน บัดนี้นางจึงกลายเป็นพระชายาของจิ้งอ๋อง
หานจิ้งซูสวมอาภรณ์สีน้ำเงินสว่าง ทั้งเครื่องประดับและท่วงท่าล้วนแต่ดูสง่างาม ไม่รู้ว่านางกำลังจะเดินออกไปหรือเพิ่งกลับมา
เยี่ยนไหวจิ่งตั้งสติ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ดึกเช่นนี้ พระชายายังไม่นอนอีกหรือ?”
หานจิ้งซูยิ้ม “ข้าบอกท่านอ๋องไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้เรียกข้าว่าซูเอ๋อร์”
“ซูเอ๋อร์” เยี่ยนไหวจิ่งเรียกอย่างขอไปที เขารีบร้อนเข้าวัง ไม่มีเวลามาสนทนากับหานจิ้งซูนานเกินไป
หานจิ้งซูเห็นสีหน้าของเยี่ยนไหวจิ่งแฝงไปด้วยความหมางเมินและร้อนรน จึงถามว่า “ท่านอ๋องจะออกจากจวนหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งชะงักไป แล้วตอบไปตามตรงว่า “อ่า ข้าจะเข้าวัง จะนำยาไปให้เสด็จพ่อ”
“บังเอิญเหลือเกิน” หานจิ้งซูพึมพำ
“มีอะไรหรือ? ซูเอ๋อร์ก็จะเข้าวังเหมือนกันหรือ? หรือว่าเสด็จแม่เรียกจิ้งเอ๋อร์?”
“ไม่ใช่เพคะ เสด็จแม่ไม่ได้เรียกข้าหรอก ที่ข้าบอกว่าบังเอิญ ก็เพราะเพิ่งได้ยินข่าวว่าเยี่ยนซื่อจื่อกลับเมืองหลวงมา กำลังจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
เรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉากลับเมืองหลวงนั้นมิใช่ความลับแต่อย่างใด ทว่าก็ไม่ถึงกับแพร่สะพัดออกไปจนเป็นเรื่องใหญ่โต อันที่จริงเรื่องที่เขาเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้นั้นมีคนรู้ไม่มาก กระนั้นหานจิ้งซูก็ไม่ใช่สตรีทั่วไป นางเป็นถึงชายาของเขา เป็นคุณหนูจากจวนอัครมหาเสนาบดี
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้ถามว่าหานจิ้งซูรู้เรื่องนี้มาจากผู้ใด ตอนนี้เขาจำต้องเข้าวังโดยเร็วที่สุด เขาจึงบอกกับหานจิ้งซูว่า “เขาไปเข้าเฝ้าในส่วนของเขา ข้าไปเข้าเฝ้าในส่วนของข้า ไม่เกี่ยวข้องกัน”
หานจิ้งซูตอบว่า “เยี่ยนซื่อจื่อรีบร้อนเข้าเมืองหลวงถึงเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะได้ยินว่าเสด็จพ่อกำลังประชวรหนักเป็นแน่ เยี่ยนซื่อจื่อนับว่ากตัญญูรู้คุณอยู่เหมือนกัน”
“นี่ก็ค่ำแล้ว ถ้าพระชายาไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปพักผ่อนเถิด” เยี่ยนไหวจิ่งไม่คิดจะสนทนากับนางต่อ ถ้าหากหานจิ้งซูเป็นแขก คำพูดเมื่อครู่ของเยี่ยนไหวจิ่งก็คงนับว่าเป็นการขับไล่
หานจิ้งซูเม้มปาก
นางยังไม่ทันได้ตอบอะไร สาวใช้คนหนึ่งก็ถือกล่องกำมะหยี่หรูใบหนึ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ สาวใช้คำนับทั้งสอง “ถวายบังคมท่านอ๋อง ถวายบังคมพระชายา”
“นำของมาครบแล้วหรือ?” หานจิ้งซูถาม
สาวใช้ตอบว่า “ทูลพระชายา บ่าวนับทั้งหมดสามครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่านำของมาครบทั้งหมดเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
หานจิ้งซูยิ้ม “ฮูหยินเซียวคลอดลูก ตอนครบหนึ่งเดือน ข้าไม่สบายพอดี จึงไม่ได้นำของขวัญไปให้ วันนี้เป็นโอกาสดี จึงคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนฮูหยินเซียวกับคุณชายเซียวสักหน่อย”
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
หานจิ้งซูเห็นสีหน้าของเขา จึงพูดเสียงค่อยว่า “ข้าแค่เพียง…คิดเผื่อท่านอ๋อง หวังว่าศัตรูของท่านจะลดลงสักคน และมีมิตรเพิ่มขึ้นมา ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะช่วยเยี่ยนอ๋อง เซียวเจิ้นถิงนำทัพลงใต้ เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาคับขัน ผู้ที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญที่สุดก็คือเขา”
เยี่ยนไหวจิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “เขาเป็นพ่อเลี้ยงของเยี่ยนจิ่วเฉา! มีเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ เจ้าคิดว่าเขาจะพึ่งพาข้าหรือ?”
น้ำเสียงของเขากระโชก จนหานจิ้งซูตกใจ นางไม่ใช่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วในใจของเยี่ยนไหวจิ่งไม่เคยมีนางอยู่ ทว่าตั้งแต่แต่งงานมา ทั้งสองก็เคารพซึ่งกันและกัน น้ำเสียงใส่อารมณ์เช่นนี้ นางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
หานจิ้งซูอธิบายว่า “ท่านพ่อบอกว่า ถ้าหากเยี่ยนอ๋องไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว โอกาสที่แม่ทัพใหญ่เซียวจะพึ่งพาท่านอ๋องนั้นมีไม่มาก แต่บัดนี้เยี่ยนอ๋องกลับมาแล้ว เขายังคงตัดใจจากฮูหยินเซียวไม่ขาด บุรุษทั้งสองย่อมต้องไม่ลงรอยกัน ขอเพียงท่านอ๋องมีโอกาสที่เหมาะสม แม่ทัพใหญ่เซียวย่อมต้องเลือกข้างท่านเป็นแน่”
หากมองโดยไม่ลำเอียง คำพูดของหานจิ้งซูก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่เยี่ยนไหวจิ่งยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ นางเป็นชายาที่แต่งเข้าจวนจิ้งอ๋อง ทั้งยังพูดอีกว่า ‘ท่านพ่อบอก’ นางสนิทสนมกับจวนอัครมหาเสนาบดีมากเพียงใด? จวนอัครมหาเสนาบดีคิดอยากสอดมือเข้ามายุ่มย่ามเรื่องของจวนนี้มากแค่ไหน?
หานจิ้งซูคุกเข่าลงและพูดว่า “ซูเอ๋อร์กับท่านพ่อเพียงแต่เป็นห่วงท่านอ๋อง ถ้าหากล้ำเส้นเกินไป ท่านอ๋องได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
เยี่ยนไหวจิ่งยื่นมือออกมาประคองนาง “ซูเอ๋อร์พูดอะไรเช่นนั้น เจ้าเป็นภรรยาของข้า อัครมหาเสนาบดีเป็นพ่อตาของข้า พวกเจ้าจริงใจต่อข้า ข้ายินดีเหลือเกิน จะไปกล่าวโทษพวกเจ้าได้อย่างไร? เจ้าไปหาฮูหยินเซียวเถิด แต่ตอนนี้ก็มืดแล้ว ข้ากังวลว่าเจ้าจะเดินทางไม่สะดวก ไม่สู้ไปพรุ่งนี้ดีกว่าหรือ”
ประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกมานั้น เขาได้คิดแทนหานจิ้งซูแล้ว
หานจิ้งซูมีสีหน้าปลื้มปีติ นางมองเยี่ยนไหวจิ่งด้วยสายตาหวานเชื่อม “เข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามที่ท่านอ๋องบอก”
เยี่ยนไหวจิ่งลูบจอนผมของนาง “เช่นนั้นข้าไปก่อน เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
หานจิ้งซูเรียกเขา “ท่านอ๋อง…วันนี้จะมาหรือไม่?”
เยี่ยนไหวจิ่งชะงักไป ในตอนนั้นเอง นางก็ก้มหน้า “ร่างกายของเสด็จพ่อไม่แข็งแรงนัก ข้าจะไปอยู่ที่นั่นก่อน ยังไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร เจ้าไม่ต้องรอ”
มุมปากของหานจิ้งซูยกขึ้นเล็กน้อย “เพคะ”
พูดจบ นางก็คำนับครั้งหนึ่ง “น้อมส่งท่านอ๋อง”
เยี่ยนไหวจิ่งหันหลังเดินไปท่ามกลางความมืด
หานจิ้งซูมองตามแผ่นหลังของเขาเงียบๆ จนเขาหายลับเข้าไปในความมืด
“พระชายา ท่านอ๋องไปแล้ว พวกเรากลับเข้าเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ วันนี้ลมแรง ประเดี๋ยวจะไม่สบายได้” สาวใช้เตือน
หานจิ้งซูถอนหายใจเบาๆ “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย”
“ของเหล่านี้…” สาวใช้ไม่เข้าใจว่าทำไมพระชายาตนนำของมาต่อหน้าท่านอ๋อง
“นำกลับห้องไป” หานจิ้งซูยิ้มอย่างขมขื่น
ทั้งเรื่องที่ไปเยี่ยมซั่งกวนเยี่ยน ทั้งการเรื่องที่ท่านพ่อบอกว่าเยี่ยนอ๋องและเซียวเจิ้นถิงไม่ลงรอยกัน นางล้วนแต่กุขึ้นมา ท่านพ่อของนางเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีในราชสำนัก มีหรือจะมานินทาเซียวเจิ้นถิงและเยี่ยนอ๋องลับหลัง?
นางพูดให้เขาฟัง ก็เพราะอยากรู้ปฏิกิริยาของเขา
เรื่องที่บุรุษสองคนทะเลาะกันไม่เลิกรา เพื่อสตรีคนหนึ่ง เขาฟังแล้วรู้สึกคุ้นหูบ้างไหม? หากในใจของเขาปราศจากแผนการเช่นนี้จริง เขาจะต้องรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดนั้นไร้สาระ แต่ถ้าหากเขารู้สึกว่ามีเหตุผล ก็หมายความว่าในใจของเขาก็มีความคิดเช่นนี้อยู่
อันที่จริง ระหว่างเขาและเยี่ยนจิ่วเฉานั้นมิได้ถึงกับอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ เยี่ยนอ๋องและเยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีทางคิดชิงบัลลังก์จากเขา นางสังเกตเห็นว่าเยี่ยนอ๋องเข้าเมืองหลวงมานาน ยังไม่เคยเข้าเฝ้าฝ่าบาทแม้แต่ครั้งเดียว เขาดูเหมือนผู้ที่คิดช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้หรือ?
ถ้าหากเขามองการณ์ไกล ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องชักจูงเซียวเจิ้นถิง เขาจะไม่คิดตั้งตนเป็นอริกับเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยซ้ำไป
ที่เขาทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อบัลลังก์ แต่เพื่อสตรีคนนั้นกระมัง
“ในใจของเขายังไม่ปล่อยนางไป…” หานจิ้งซูพึมพำ
“พระชายา ท่านพูดอะไรหรือเจ้าคะ” สาวใช้ได้ยินไม่ถนัด
หานจิ้งซูกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “ไม่มีอะไร เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด ข้าจะไปเดินรอบๆ ไม่ต้องตามมา”
สาวใช้แลดูคล้ายกับมีเรื่องจะพูด แต่ก็มิได้พูดออกมา ทว่านางไม่กล้าขัดคำสั่งหานจิ้งซู ทำได้เพียงคำนับหานจิ้งซูครั้งหนึ่ง และกอดของในมือจากไป
หานจิ้งซูเดินอยู่ในจวนจิ้งอ๋อง จวนจิ้งอ๋องเดิมทีเป็นจวนคุณชายรอง หลังจากแต่งงาน ฮ่องเต้ก็พระราชทานคฤหาสน์ให้พวกเขาอีกหลังหนึ่ง นางรื้อกำแพงระหว่างสองจวน แล้วสร้างระเบียงทางเดินระหว่างทางสองจวน
ด้านล่างของระเบียงทางเดินขุดบ่อปลา เพื่อเลี้ยงปลาจิ่นหลี่(ปลาคาร์ฟ)หลากสี
นางหยิบอาหารปลา เดินมายังระเบียงทางเดิน
นางให้อาหารปลาอย่างใจลอย ไม่ทันระวัง และเหยียบชายประโปรงของตน นางล้มคะมำไปด้านหน้า ร่างของนางพุ่งออกไปนอกระเบียงทางเดิน ทันทีที่นางจะหล่นลงไปในน้ำนั้นเอง ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามา สองมือรับนางไว้ แตะปลายเท้าลงบนผิวน้ำ ทะยานขึ้นกลับไปบนระเบียงทางเดิน
คนผู้นั้นวางนางลง ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นประสานกัน “พระชายา”
อาหารปลาในมือของนางกระจายไป เหลือเพียงจานเปล่า หานจิ้งซูหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ นางพูดเสียงสั่นว่า “จวินฉางอัน”