หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 11.2 พี่จิ่วเฉิดฉาย (2)
จวินฉางอันเหลือบมองนาง แล้วพูดว่า “เหตุใดพระชายาต้องฆ่าตัวตายด้วย”
หายจิ้งซูชะงักไป แล้วรีบส่ายหน้า “ข้าเปล่านะ! ข้าแค่สะดุด!”
จวินฉางอันไม่เชื่อ
หานจิ้งซูก้าวขึ้นไปด้านหน้า สายตาจับจ้องไปยังจวินฉางอัน “จริงๆ นะ ชีวิตข้าดีถึงเพียงนี้ ข้าไม่เคยคิดสั้น”
“เช่นนั้นก็ดี” จวินฉางอันเป็นองครักษ์ของเยี่ยนไหวจิ่ง เขารับผิดชอบเพียงความปลอดภัย ที่ช่วยนางก็เพราะนางเป็นชายาของเยี่ยนไหวจิ่ง เยี่ยนไหวจิ่งต้องการนางและจวนอัครมหาเสนาบดีซึ่งคอยหนุนหลังนาง ส่วนเรื่องที่นางสะดุดจนตกน้ำจริงหรือไม่นั่น ไม่ใช่เรื่องที่จวินฉางอันต้องใส่ใจ
จวินฉางอันหันหลังหมายจะเดินไป
หานจิ้งซูเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะบอกท่านอ๋องใช่ไหม?”
จวินฉางอันไม่ตอบ
หานจิ้งซูขอร้องเขาว่า “เจ้าไม่บอกเขาได้ไหม? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนของเขา แต่…ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ข้าไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด”
จวินฉางอันขมวดคิ้ว “พระชายาคิดว่าท่านอ๋องจะเข้าใจผิดเรื่องอะไรหรือ”
หานจิ้งซูก้มหน้าลง “เข้าใจผิดว่า…ข้าคิดว่าเขายังมีเยื่อใยต่อสตรีคนนั้น ข้ารับไม่ได้ จึงจะคิดสั้น หรืออาจใช้การฆ่าตัวตายมาขู่เขา”
ความฉลาดเฉลียวและตรงไปตรงมาของหานจิ้งซูนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของจวินฉางอัน จวินฉางอันมองนาง “ท่านอ๋องมีภรรยาเพียงคนเดียว ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้”
“ข้ารู้” หานจิ้งซูก้มหน้า
เขาไม่มีหญิงอื่น ดูภายนอกอาจคล้ายกับว่าเขาเสน่หาแต่นางเพียงผู้เดียว ทว่าความจริงแล้วเขามายังห้องของนางเพียงไม่กี่ครั้ง นางไม่มั่นใจว่าความเสน่หาที่เขามีต่อสตรีคนหนึ่งจะมีมากถึงเพียงนั้น หรือว่าความเสน่หาที่เขาสามารถมอบให้นางได้มีมากถึงเพียงนั้นกันแน่
หานจิ้งซูถามด้วยความรู้สึกขมขื่นว่า “ถ้าหากเปลี่ยนเป็นพระชายาของซื่อจื่อ เขาจะทนไม่เข้าห้องนางบ่อยๆ เช่นนี้ได้หรือ?”
พวกเขาเป็นคู่แต่งงานไหม! ไหนเลยจะควบคุมเรื่องพรรค์นี้ได้?
จวินฉางอันมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พระชายาพูดเรื่องนี้กับข้า ออกจะไม่เหมาะเท่าไรกระมัง?”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปฟ้องท่านอ๋องเถอะ!” หานจิ้งซูก็เริ่มมีโทสะแล้ว นางไม่อยากพูดกับเจ้านี่แล้ว!
หานจิ้งซูเดินจากไปด้วยความโมโห มิได้สนใจผ้าเช็ดหน้าซึ่งทำตกไว้
จวินฉางอันสาวเท้าเดินข้ามผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวสะอาดไป
ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นยังคงสะท้อนแสงจันทร์ แลดูประหนึ่งหิมะบริสุทธิ์
จวินฉางอันเดินกลับมา ถอนหายใจยาวๆ แล้วเก็บผ้าเช็ดหน้านั้นขึ้นมา
……
หลังจากที่รถม้าของเยี่ยนไหวจิ่งเคลื่อนออกจากจวนจิ้งอ๋อง ก็ยังไม่เห็นจวินฉางอันตามมา เขาจึงบอกกับสารถีว่า “ไม่ต้องรอ รีบไปเร็ว”
“ขอรับ!” สารถีตวัดแส้ เพื่อให้รถม้าทะยานไปข้างหน้าเร็วขึ้น
ทันใดนั้นเอง เงาสายหนึ่งก็พุ่งมายังรถม้า ค้อมตัวเข้ามาด้านใน
“ท่านอ๋อง” จวินฉางอันนั่งลง
“ทำไมเจ้ามาช้า” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
จวินฉางอันชะงักไป เขาใคร่ครวญอยู่ชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “ไม่มีอะไร มีเรื่องที่ทำให้ล่าช้าเล็กน้อย”
จวินฉางอันเป็นองครักษ์ของเยี่ยนไหวจิ่ง แต่เขาไม่เหมือนกับองครักษ์ในจวนเหล่านั้น เยี่ยนไหวจิ่งและจวินฉางอันทำสัญญาสิบปีโดยบังเอิญ ภายในระยะเวลาสิบปีนี้ จวินฉางอันจะต้องทำงานให้เยี่ยนไหวจิ่ง คุ้มครองเยี่ยนไหวจิ่ง แต่จวินฉางอันไม่ใช่บ่าว เขาสามารถมีชีวิตและความลับของตนเองได้ ขอเพียงความลับนั้นไม่เป็นอันตรายกับเยี่ยนไหวจิ่ง
เพราะฉะนั้นต่อให้เยี่ยนไหวจิ่งมองออกว่าเขากำลังปิดบังตนอยู่ เขาก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่เหลือบมองจวินฉางอัน จากนั้นก็สั่งให้สารถีเร่งม้าให้ถึงวังหลวงโดยเร็ว
จวนคุณชายเดิมทีไม่ได้เรียกว่าจวนคุณชาย แต่ที่นั่นคือจวนองค์ชายของเยี่ยนอ๋อง เมื่อเยี่ยนอ๋องอยู่ในวัยที่ต้องออกจากวังหลวง ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่ไว้วางใจเขา มีหรือที่จะมอบคฤหาสน์ดีๆ ให้เขา? ถ้าหากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งองค์รัชทายาททัดทานไว้ ฮ่องเต้องค์ก่อนคงจะส่งเขาไปอยู่นอกเมืองหลวงแล้ว
แต่อย่างไรเสียเยี่ยนไหวจิ่งก็เป็นโอรสที่ใช้การได้ที่สุดของฮ่องเต้ เขามักจะเข้าไปในราชสำนักและช่วยเหลือราชกิจอยู่บ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รับพระราชทานจวนที่ใกล้กับวังหลวงมากที่สุด
หากพิจารณาจากระยะทางเพียงอย่างเดียว เยี่ยนจิ่วเฉาไม่นับว่าได้เปรียบเขา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาไม่รีบร้อน ค่อยๆ นั่งรถม้าผ่านถนนใหญ่อย่างสบายอารมณ์ เพราะฉะนั้นเยี่ยนไหวจิ่งจึงคิดว่าตนเองต้องถึงวังหลวงก่อนเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างแน่นอน
ตอนนี้ฮ่องเต้พักผ่อนอยู่ในตำหนักฉางเซิง หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งนำยาขึ้นรถม้า ก็ตรงไปยังตำหนักฉางเซิงในทันที
ตำหนักฉางเซิงมีกองกำลังอารักขาอย่างแน่นหนา แน่นอนว่าที่นั่นไม่ได้มีเพียงคนของเขา แต่ยังมีคนของฮองเฮาด้วย
“คำนับจิ้งอ๋อง ดึกเช่นนี้ จิ้งอ๋องมาได้อย่างไรหรือ” ขันทีคนหนึ่งถือแส้ขนหางจามรีออกมาต้อนรับเยี่ยนไหวจิ่ง ขันทีคนนี้แซ่ซู เป็นคนสนิทของฮองเฮา
เยี่ยนไหวจิ่งตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้ามาดูเสด็จพ่อ”
ขันทีซูยิ้ม “ฝ่าบาทเพิ่งบรรทมไปเมื่อครู่ ชิ่งอ๋องคอยดูแลอยู่ข้างใน มิสู้จิ้งอ๋องค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เถิด”
ชิ่งอ๋องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฮองเฮา ในเมื่อฮองเฮามีอำนาจ นางย่อมต้องจัดแจงให้ชิ่งอ๋องมาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้เป็นเนืองนิจ การที่เขามาอยู่ในตำหนักฉางเซิงจึงมิใช่เรื่องแปลก ที่น่าแปลกก็คือขันทีซูบอกให้จิ้งอ๋องมาวันอื่น
มีคนเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกันหลายคนนั้นเป็นเรื่องผิดหรือ?
แน่นอนว่าไม่ผิด
เห็นได้ชัดว่าขันทีซูต้องการขัดขวางเยี่ยนไหวจิ่ง
เยี่ยนไหวจิ่งเป็นเจี้ยนกั๋ว ฮองเฮาฟังราชการอยู่หลังม่าน ทั้งสองฝ่ายต่างคานอำนาจกัน แต่ถ้าหากว่ากันเรื่องระดับในราชสำนัก เยี่ยนไหวจิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับปลาได้น้ำ ขณะที่ฮองเฮานั้นใช้มือเดียวก็ค้ำแผ่นฟ้าได้
เหตุผลที่ทำไมเยี่ยนไหวจิ่งจึงคิดว่าตนเองไม่อาจขัดขวางเยี่ยนจิ่วเฉาได้ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาโอหังและเอาแต่ใจ ทั้งยังเป็นเพราะฮองเฮานั้นคอยหนุนหลังเขาอยู่
แน่นอนว่า มองผิวเผินในตอนนี้ฮองเฮาอาจจัดแจงทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ ขันทีซูไม่มีทางหยุดเยี่ยนไหวจิ่งไว้ได้ ทว่าวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาก้าวเท้าเข้ามาในเมืองหลวง ฮองเฮาก็ได้ข่าวทันที นางยังรู้อีกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเดินทางออกจากจวนคุณชายเพื่อมายังวังหลวง ย่อมรู้ว่าเขาจะมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ส่วนเยี่ยนไหวจิ่งนั้น วันนี้เขามาถวายพระพรฮ่องเต้แล้ว ตามหลักก็ไม่จำเป็นต้องมาอีก ที่เขายังมาที่นี่ เป็นไปได้มากว่าต้องเกี่ยวข้องกับเยี่ยนจิ่วเฉา
ยังไม่ต้องสนใจว่าเขามาทำอะไรที่นี่ ฮองเฮาคิดว่าทางที่ดีไม่ควรให้เขาได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ รอให้นางได้ปรึกษากับเยี่ยนจิ่วเฉาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฮองเฮารอคอยเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่แสนนาน อำนาจของเยี่ยนไหวจิ่งนั้นน่ากลัวเหลือเกิน นางกับชิ่งอ๋องเริ่มท้อแท้ หากเยี่ยนจิ่วเฉายังไม่กลับมา นางคงสู้เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้แล้วจริงๆ
แต่ความจริงเป็นประจักษ์แล้วว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็คือเยี่ยนจิ่วเฉา ฮองเฮาก็คือฮองเฮา เยี่ยนจิ่วเฉาจะกลับมา นางก็สู้เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้อยู่ดี!
เยี่ยนไหวจิ่งแค่นเสียงขึ้นจมูก “โอหัง! ข้ามาหาเสด็จพ่อ แต่เจ้ากลับขัดแข้งขัดขา! ยังไม่ถอยไปอีก จะรอให้ข้าบั่นคอเจ้าหรืออย่างไร?!”
คำว่าบั่นคอ ทำให้ขันทีซูถึงกับชะงักไป
ความได้เปรียบในราชสำนักนั้นส่งผลถึงในวัง ที่เยี่ยนไหวจิ่งทนมาจนถึงตอนนี้ก็เพื่อหลอกให้ฮองเฮาตายใจ เช่นในตอนนี้ ฮองเฮาคงวางใจว่านางยังคงมีอำนาจในวัง จึงได้ปล่อยขันทีให้เฝ้าเพียงคนเดียว ถ้าหากฮองเฮามานั่งอยู่ที่ตำหนักฉางเซิงด้วยตนเอง มีหรือเยี่ยนไหวจิ่งจะบุกเข้าไป?
ครั้นฮองเฮาได้ข่าวและรุดมาถึงตำหนักฉางเซิง ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งมอบยาให้ฮ่องเต้ พระวรกายของฮ่องเต้ดีขึ้น และสีหน้าดีขึ้นแล้ว!
“คำนับเยี่ยนซื่อจื่อ!”
หน้าประตูวังหลวง เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวลงจากรถม้า เหล่าองครักษ์ต่างคำนับเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาเข้าวังหลวงได้โดยไม่ต้องมีรับสั่งจากฮ่องเต้ องครักษ์ต่างเปิดเส้นทางให้เขาด้วยความนอบน้อม
ไหนเลยจะรู้ว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็บังเอิญพบกับเยี่ยนไหวจิ่งซึ่งกำลังจะออกจากวัง
เรียกว่าบังเอิญพบ ทว่าความจริงแล้วเหมือนกับเยี่ยนไหวจิ่งตั้งใจรอเขาเสียมากกว่า
วันแล้ววันเล่า พวกเขาสองพี่น้องไม่พบหน้ากันมานานเกือบหนึ่งปี เยี่ยนไหวจิ่งยังคงเป็นเยี่ยนไหวจิ่ง แต่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาในความทรงจำอีกต่อไป อายุอย่างเขา ร่างกายย่อมไม่เจริญเติบโตไปกว่าเดิมเท่าไรแล้ว กระนั้นไม่รู้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าเจ้านี่โตขึ้น และดูน่าสง่างามกว่าแต่ก่อน
ท่าทางของเขาก็ดูดีขึ้นด้วย
จะว่าไป เขาก็ใกล้อายุครบยี่สิบห้าปี ตามคำทำนาย ปีที่เขาจะต้องตายใกล้เข้ามาแล้ว เขาควรจะแลดูผอมแห้งแรงน้อย ดวงตาขุ่นมัวไร้แววไม่ใช่หรือ? ไฉนจึงแข็งแกร่งจนดูคล้ายกับว่าร่างของเขาเปล่งแสงได้อย่างไรอย่างนั้นเล่า?
………………..