หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 12 พี่จิ่ว SLAY
ต้อง…คิดไปเองแน่ๆ!
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ยอมรับว่าเจ้าคนใกล้ตายอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาจะดูเปล่งประกายกว่าเขาได้!
เยี่ยนไหวจิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่ได้พบกันนานเชียวนะ น้องชาย ได้ยินว่าเจ้ากลับเมืองหลวงมา ข้าจึงคิดจะไปเยี่ยมเยียนเจ้าที่จวนสักหน่อย”
ดูๆๆๆ วินาทีก่อนยังคิดจะจัดการเขาอยู่เลย ตอนนี้กลับชวนคุยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างไม่ยี่หระว่า “เจ้ารู้ไหมว่าคนกับหมูต่างกันอย่างไร?”
เยี่ยนไหวจิ่งนิ่งไป ไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว แค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูกแล้วตอบว่า “ต่างกันตรงที่หมูก็ยังเป็นหมูวันยังค่ำ ส่วนคนบางครั้งก็ไม่ใช่คน”
เยี่ยนไหวจิ่ง “…”
หลอกด่าว่าเขาเทียบไม่ได้แม้แต่หมูตัวหนึ่งรึ?
เยี่ยนไหวจิ่งมีสีหน้าถมึงทึงในทันใด!
……
เยี่ยนไหวจิ่งคิดว่าเรื่องที่ตนส่งเซียงเหลียนไปปล่อยหนอนพิษใส่เยี่ยนจิ่วเฉานั้นถูกเปิดโปงเป็นที่เรียบร้อย เป็นไปได้มากที่เยี่ยนจิ่วเฉาจะเคียดแค้นเขาเพราะเรื่องนี้ แต่มาบอกว่าเขาไม่อาจเทียบกับหมูน่ะหรือ? ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง!
หากถามว่าหมูเป็นสัญลักษณ์ของอะไรน่ะหรือ? ความโง่เง่าอย่างไรเล่า เขาอาจลงไม้ลงมือรุนแรงกับเยี่ยนจิ่วเฉาไปสักหน่อย แต่เขาไม่ใช่คนโง่เง่าอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นหากพูดเพียงว่าคนโง่ก็คือคนโง่ ย่อมไม่เหมาะที่จะใช้เป็นคำบริภาษทั่วไป
เยี่ยนไหวจิ่งรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็มิได้ถึงกับทนไม่ไหว อย่างไรเสียอาการประชวรของเสด็จพ่อก็ดีขึ้นมากแล้ว ทั้งยัง
สัญญากับเขาแล้วว่าจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กับเขาอย่างงาม
เสด็จพ่อทรงบอกว่าอย่างงาม แสดงว่าต้องไม่ธรรมดา
เขาได้เป็นอ๋องของดินแดนหนึ่งแล้ว หากยกสถานะขึ้นอีกขั้นแล้วจะเป็นอะไรน่ะหรือ? ย่อมต้องเป็นรัชทายาท!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ไฟโทสะซึ่งถูกเยี่ยนจิ่วเฉาจุดขึ้นก็พลันมอดลงจนกลายเป็นเพียงควันจาง รอให้เขาได้เป็นรัชทายาทก่อนเถอะ บัลลังก์ของฮ่องเต้ก็จะตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว
วันรุ่งขึ้น เยี่ยนไหวจิ่งเข้าวังหลวงไปพร้อมกับความหวังอันเปี่ยมล้น และฮ่องเต้ก็มิได้ทำให้เขาผิดหวัง ขันทีวังนำราชโองการซึ่งฮ่องเต้ทรงลงตราประทับด้วยตนเอง และประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนาง แต่งตั้งให้เยี่ยนไหวจิ่งเป็นองค์รัชทายาทแห่งต้าโจว
เยี่ยนไหวจิ่งดีใจเหนือคำพรรณนา หลังจากที่บากบั่นอยู่หลายปี ในที่สุดฟ้าก็เบิกให้เข้าเห็นแสงจันทร์ เขาได้นั่งตำแหน่งรัชทายาทแล้ว!
“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท! ขอฝ่าบาททรงมีพระชนมายุยืนยาวหมื่น หมื่นปี หมื่นๆ ปี ขอองค์รัชทายาททรงมีพระชนมายุยืนยาว พันปี พันปี พันๆ ปี!”
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างคุกเข่าลง ทั้งก้มคำนับเยี่ยนไหวจิ่ง เปล่งเสียงแซ่ซ้อง ดังกึกก้องจนหลังคาของตำหนักจินหลวนราวกับกำลังจะลอยออกไป
นี่คือช่วงเวลาอันโชติช่วงของเยี่ยนไหวจิ่ง เยี่ยนไหวจิ่งรู้สึกตนเองกำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ ผู้คนยกย่องเชิดชู ชื่อเสียงก้องไกล
ขณะที่เยี่ยนไหวจิ่งกำลังดื่มด่ำอยู่กับฐานะใหม่นั้นเอง ขันทีวังก็กระแอมออกมาดังๆ “อะแฮ่ม! ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการอีกฉบับหนึ่ง”
เยี่ยนไหวจิ่งยิ้มอย่างขวยเขิน เสด็จพ่อนี่จริงๆ เลย ต้องซาบซึ้งใจถึงเพียงนี้เลยหรือ? พระราชทานตำแหน่งรัชทายาทก็มากพอแล้ว ไม่ต้องมอบอะไรให้เขาแล้ว จะว่าไป เสด็จพ่อจะให้อะไรเขานะ? จวนหลังนั้นไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาทของเขาแล้ว เพราะฉะนั้นเขาคงจะได้จวนหลังใหม่กระมัง?
ฝูงชนต่างก็คิดว่าเยี่ยนไหวจิ่งกำลังจะได้รับรางวัลที่เหมาะสมกับสถานะของเขา จึงหันไปมองเขาด้วยสายตายินดีหรือไม่ก็ริษยา ผู้ที่ยินดีกับเขาย่อมเป็นผู้ที่อยู่ฝั่งเดียวกับเขา ตัวอย่างเช่นอัครมหาเสนาบดี ผู้ที่ริษยาเขาไม่มีค่าให้เอ่ยถึง มีองค์ชายก็ย่อมต้องมีเหล่าขุนนางที่ไม่ทำงานให้เขา
ในที่สุด ขันทีวังก็อ่านราชโองการฉบับที่สอง
เยี่ยนไหวจิ่งมิได้สนใจถ้อยคำสละสลวยด้านหน้า ทว่ายิ่งฟังเขายิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เมื่อถึงตอนจบ สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดในทันใด เมื่อขันทีวังอ่านถึงคำว่า ‘อนุมัติตามนี้’ ทั้งร่างของเขาก็นิ่งไป ในสมองของเขามีเพียงสองประโยค นั่นคือ ‘มอบตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการและจวนผู้สำเร็จราชการให้แก่เยี่ยนจิ่วเฉา เพื่อช่วยเหลือองค์รัชทายาท ดูแลกิจการแผ่นดิน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!’
ช้าก่อน ขันทีวังพูดว่าอย่างไรนะ? เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นผู้สำเร็จราชการ? เยี่ยนจิ่วเฉาดูแลกิจการแผ่นดิน?
เขาจะทำอย่างไรดีเล่า?!
มองผิวเผินอาจดูเหมือนตำแหน่งของเขาเลื่อนขึ้น แต่แท้จริงแล้วนี่มันตกต่ำลงชัดๆ!
เขาเป็นรัชทายาทเพียงในนาม แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับเป็นผู้สำเร็จราชการกุมอำนาจอย่างนั้นหรือ? ทั้ง…ทั้งยังได้จวนผู้สำเร็จราชการอีกหลังหนึ่งด้วย? เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เร่ร่อนไร้ที่อยู่สักหน่อย จวนคุณชายของเขาก็ไม่ได้เล็กไปกว่าจวนจิ้งอ๋องเลยไม่ใช่หรือ?
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์พร้อมกัน แต่เหตุใดเยี่ยนจิ่วเฉาถึงได้จวน แต่เขาไม่ได้เล่า?!
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? นี่มันหลอกกันชัดๆ!!!
เมื่อครู่ยังปลื้มปีติยินดี บัดนี้กลับรู้สึกผิดหวัง เยี่ยนไหวจิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะฉลองสถานะใหม่ของตนเองแล้ว อันที่จริงผู้ที่เป็นรัชทายาท แต่ไม่ได้ดูแลกิจการบ้านเมืองก็มิใช่เรื่องน่าตกใจแต่อย่างใด ในประวัติศาตร์มีอยู่ถมเถไป ผู้ที่ดูแลงานแผ่นดินกลับมีน้อย ไม่นับว่าน่าอดสูสักนิด!
แต่การที่แต่งตั้งเจ้าลูกเต่าเยี่ยนจิ่วเฉาในวันเดียวกัน และให้เขาสามารถใช้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมากดหัวตน ช่วงชิงอำนาจซึ่งเดิมทีควรเป็นของตนเช่นนี้ มันช่างน่าอับอาย น่าอับอายจริงๆ!
เยี่ยนไหวจิ่งคิดอยากเดินเข้าไปในตำหนักฉางเซิงเพื่อถามท่านพ่อให้รู้แล้วรู้รอด ว่าสรุปแล้วเหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ ข้าทำสิ่งใดผิดพลาดไป ท่านถึงต้องทรมานข้าเช่นนี้?
เยี่ยนไหวจิ่งกล่าวโทษฮ่องเต้ ที่พระองค์เอ็นดูเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนไหวจิ่งเป็นลูกในไส้ มีที่ไหนกัน ทำให้ลูกอับอายตั้งแต่แรกเริ่ม?
หากจะโทษ ก็คงต้องโทษที่เยี่ยนไหวจิ่งรีบร้อนเกินไป ทั้งยังทะเยอทะยานมากเกินไป มาถึงก็ถวายโอสถให้ฮ่องเต้ ยานั้นเห็นผลดีชะงัด ฮ่องเต้ทรงตื่นเต้น และพระราชทานตำแหน่งรัชทายาทให้เขา
สิ่งที่เยี่ยนไหวจิ่งไม่รู้ก็คือ เยี่ยนจิ่วเฉาเองก็ถวายโอสถให้ฮ่องเต้เช่นกัน มิหนำซ้ำผลของยายังดีกว่าของเยี่ยนไหวจิ่งอีกด้วย!
ฮ่องเต้ทรงรักตัวกลัวตายเป็นที่สุด ทันทีที่พระองค์หายป่วย ก็ถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่าต้องการสิ่งใด
เยี่ยนจิ่วเฉาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบฮ่องเต้ไปว่า “ท่านให้สิ่งใดกับเยี่ยนไหวจิ่ง สิ่งที่ข้าได้ก็ต้องไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยนไหวจิ่ง!”
นี่เป็นสิ่งแรกที่เยี่ยนจิ่วเฉารับจากฮ่องเต้ เมื่อก่อนพระองค์ให้สิ่งใด เขาล้วนแต่ปฏิเสธ แม้แต่ตำแหน่งซื่อจื่อยังรับเพราะเห็นแก่เด็กคนนั้น ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นฮ่องเต้ก็จำเป็นต้องมอบให้ มิเช่นนั้นหากเขาเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีก ฮ่องเต้คงต้องกลัดกลุ้มอีก
นอกจากนั้น เขายังต้องการแข่งขันกับเยี่ยนไหวจิ่ง หรือว่า…หลายวันมานี้ตนดีกับจิ้งอ๋องมากเกินไป จนทำให้เจ้าเด็กคนนี้อิจฉา?
เรื่องนี้…ทำให้ฮ่องเต้มีความสุขเหลือเกิน!
แต่ว่า…
ฮ่องเต้มอบตำแหน่งรัชทายาทให้กับเยี่ยนไหวจิ่ง ตำแหน่งที่ไม่ด้อยไปกว่ารัชทายาท…ก็คงต้องเป็นตำแหน่งฮ่องเต้แล้วกระมัง? ตำแหน่งนี้เขาคงยกให้ไม่ได้ ฮ่องเต้ตรึกตรองอยู่หลายครั้ง คงเหลือเพียงตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการ
ทว่าตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนก็มีหน้าที่ดังชื่อของมัน นั่นก็คือสั่งการในราชสำนัก ถ้าหากไม่มีอำนาจ แล้วจะเป็นผู้สำเร็จราชการได้อย่างไรกัน?
“หึ หากท่านไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ” เยี่ยนจิ่วเฉาทำสีหน้าบึ้งบูด
ฉงเอ๋อร์…กำลังอ้อนเขาอยู่หรือ?
ฮ่องเต้เกือบคิดว่าตนตาฝาดไป ในตอนนั้น ความตื่นเต้นของฮ่องเต้มิได้น้อยไปกว่าเยี่ยนไหวจิ่งซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย!
ทันใดนั้นเอง ฮ่องเต้ก็ได้ความคิด ให้คุณชายบางคนได้เป็นผู้สำเร็จราชการ
ส่วนเรื่องจวนนั้น เขามิได้จงใจทำให้เยี่ยนไหวจิ่งน้อยใจ
เยี่ยนอ๋องกลับเมืองหลวงมาแล้ว เขาพำนักอยู่ในจวนคุณชาย หนึ่งจวนมีอ๋องถึงสองคน ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะนัก เรือนทองหลังหนึ่งไม่อาจมีอ๋องสองคน ทว่าหากมอบจวนให้เยี่ยนอ๋องอีกหลัง ก็ไม่นับว่าผิดกฎ แต่เยี่ยนอ๋องไม่มีทางรับไว้ ในตอนนี้จึงทำได้เพียงให้มอบเรือนของอ๋องผู้สำเร็จราชการให้แก่เยี่ยนจิ่วเฉา
การที่ฮ่องเต้พระราชทานจวนผู้สำเร็จราชการให้เยี่ยนจิ่วเฉานั้นนับว่าเหนือความคาดหมาย หนึ่งในเหตุผลก็เพราะความรักความเอ็นดูที่มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉา อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อชดให้ให้แก่เยี่ยนอ๋อง เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ
สรุปแล้ว ในยกแรก เยี่ยนไหวจิ่งพ่ายแพ้ไป!
เรื่องนี้ยังไม่นับว่าน่าอับอาย ที่น่าอับอายก็คือ เขาได้รับตำแหน่งเป็นรัชทายาท ทั้งยังปรากฏตัวในราชสำนักให้ผู้คนได้อวยพรและคำนับ ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาได้รับทั้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการและจวนหลังใหม่ แต่เจ้าตัวกลับไม่โผล่หัวมาด้วยซ้ำ!!! เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรืออย่างไร?!
เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งจึงรู้สึกว่าสถานะใหม่ของเขามิได้ดีเลิศเลอแต่อย่างใด หากแต่เหมือนกับเป็นบัณฑิตผู้อ่อนต่อโลกที่เพิ่งร่ำรวยภายในชั่วข้ามคืนเสียมากกว่า!
เยี่ยนไหวจิ่งไม่รู้ว่าตนเองออกมาจากตำหนักจินหลวนได้อย่างไร เขารู้สึกเพียงว่าทุกคนเห็นใจเขา นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยืนอยู่ใกล้กับบัลลังก์ ภายภาคหน้าเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ เขาย่อมต้องก้มหน้าให้กับขุนนางเหล่านั้นอย่างว่าง่าย เงยหน้าขึ้นมาก็เจอผู้สำเร็จราชการ
เยี่ยนไหวจิ่งขึ้นรถม้ากลับจวนมา
เขาคงเป็นรัชทายาทคนแรกที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งแล้วไม่รู้สึกดีใจ ตำแหน่งรัชทายาทนี้ ไม่ต้องให้เสียยังดีกว่า!
ขณะที่เยี่ยนไหวจิ่งคิดว่าตนเองโชคร้ายยิ่งกว่าสิ่งใด ก็บังเอิญพบกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เร็วกว่านี้ไม่มา ช้ากว่านี้ก็ไม่มา ดันมาตอนที่เขาลงมาจากราชสำนัก?
ไม่สิ เขามารออยู่ที่นี่ มาขวางเขาไว้ที่นี่ เพื่อหัวเราะเยาะตน! เหมือนกับที่ตนรอเขาอยู่วังหลวงเมื่อคืนเพื่อประกาศก้องเรื่องความดีความชอบของตน เยี่ยนจิ่วเฉาได้โอกาสเอาคืนบ้างแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเอนหลังพิงรถม้าด้วยสีหน้าเกียจคร้าน ท่าทางของเขาแลดูไม่ยี่หระ “ไม่ได้พบกันเสียนานนะ พี่ชาย ได้ยินว่าเจ้าได้ขึ้นเป็นรัชทายาท จึงคิดจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าที่จวนสักหน่อย”
หน็อยแน่ะ! แม้แต่คำพูดยังล้อเลียนสิ่งที่เขาพูดเมื่อวาน! เพียงแต่เปลี่ยนคำสำคัญ!
เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น
อันที่จริงเขามิได้นับว่ารู้สึกเดือดดาล แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉามักจะมีวิธีทำให้เขาโทสะพลุ่งพล่านได้เสมอ!
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วเหลือบมองเขา แล้วหัวเราะค่อนแคะ “พี่ชายตื่นเต้นจนพูดไม่ออกเลยกระมัง?”
“เยี่ยน จิ่ว เฉา!” เยี่ยนไหวจิ่งกัดฟันกรอด
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบคาง ทำท่าทางไร้เดียงสา “ข้าเพิ่งจะแสดงความยินดีกับท่านพี่ไป ท่านพี่ก็ควรจะแสดงความยินดีกับข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ? อย่างไรเสียข้าได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ได้ยินว่าระดับสูงกว่าท่านพี่ระดับหนึ่งไม่ใช่หรือ รีบแสดงความยินดีกับข้าเร็วท่านพี่!”
เคยเห็นคนที่กวนโมโหได้ถึงเพียงนี้หรือไม่เล่า? เยี่ยนไหวจิ่งสาบานว่าต่อให้เอาคนกวนประสาททั้งต้าโจวมารวมกัน ยังทำให้เขาโมโหได้ไม่เท่าเจ้าบ้านี่!
ทั้งชีวิต เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยเรียกเขาว่าท่านพี่ มีเพียงสองครั้งก่อนหน้านี้ แต่เยี่ยนไหวจิ่งไม่อยากให้เขาเรียก อย่างไรเสียเขาลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์สายตรง กลับสู้น้องชายที่วิปลาสไม่ได้ หากแพร่งพรายออกไปจะเป็นที่หัวร่อได้!
ไม่รู้จริงๆ ว่าเสด็จพ่อคิดอะไร เจ้าคนบ้านี่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นสิ้นปี ทั้งยังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากมอบหมายราชสำนักให้เขาดูแล ต้าโจวจะไม่วอดวายกันหมดหรือ?
แต่ไหนแต่ไรมา เจ้านี่เคยมีความสามารถในการปกครองด้วยหรือ?!
ถ้าหากกล่าวว่าเจ็ดในสิบส่วนของความไม่พอใจที่เยี่ยนไหวจิ่งมีนั้นเกิดจากความลำเอียงของฮ่องเต้ อีกสามส่วนย่อมมาจากความห่วงใยราษฎรของเขา เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนดื้อรั้น แต่เด็กจนโต เขาเปลี่ยนอาจารย์ไปนับคนไม่ถ้วน ไม่มีผู้ใดสอนเขาได้ ปล่อยให้เศษสวะอย่างเขากินนอนรอความตายก็นับว่าดีมากแล้ว ผู้สำเร็จราชการหรือ? เหอะ น่ากลัวว่าจะทำได้ไม่ถึงครึ่งปี ราชสำนักคงย่อยยับไม่เป็นท่า!
ก็ดี ครานี้เขาจะคอยดูว่าใครกันที่จะถูกเย้ยหยัน!
เมื่อท่านพ่อตระหนักได้ว่าตนคิดผิดที่ยกภารกิจอันใหญ่หลวงให้อยู่ในมือของเจ้าเศษเดนนั่น ย่อมต้องเพิกถอนราชโองการ!
เยี่ยนไหวจิ่งเดินเฉียดไหล่ของเยี่ยนจิ่วเฉาไปอย่างเย็นชา
“นี่! ของเจ้าแตกน่ะ!” เยี่ยนจิ่วเฉาเรียก
เยี่ยนไหวจิ่งชะงักไป เขาหันหลังมามองเยี่ยนจิ่วเฉา จากนั้นก็มองไปยังพื้นซึ่งว่างเปล่า เขาขมวดคิ้วแล้วถามว่า “อะไรแตก”
เยี่ยนจิ่วเฉาสาวเท้าเข้าไป หยุดอยู่เบื้องหน้าของเยี่ยนไหวจิ่ง ค้อมตัวลงไป สองมือทำท่าทางเก็บของอย่างจริงจัง แล้วยื่นไปตรงหน้าของเยี่ยนไหวจิ่ง พร้อมกับตอบว่า “หน้า”
เยี่ยนไหวจิ่ง “…”
เยี่ยนไหวจิ่ง “!!!”
อ๊ากกกกกกก!
ไอ้เจ้าตัวซวย ทำไมไม่ตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนะ!!!!!!
เยี่ยนไหวจิ่งถูกจวินฉางอันกอดไว้แน่น และลากขึ้นไปบนรถม้า
จิ้งอ๋องผู้เจิดจรัสดังแสงจันทร์เพ็ญ จิ้งอ๋องผู้อ่อนโยนดุจหยกงาม จิ้งอ๋องผู้ได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี บัดนี้ถูกเยี่ยนจิ่วเฉายั่วโมโหจนเสียสติไปแล้ว!
“ข้า…ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“ข้าจะฆ่ามารดามันให้ตายยยย”
เยี่ยนไหวจิ่งตะโกนจนเสียงแหบแห้ง ผมเผ้ายุงเหยิง เหล่าขุนนางที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง นี่ๆๆ…นี่คือจิ้งอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จริงหรือ? พวกเขาจำได้ว่าเหล่าสตรีปากจัดในตรอกกลุ่มนั้นก็เป็นเช่นนี้ ตะโกนด่าทอกันไปพลาง ถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมพุ่งเข้าหากัน…
เป็นรัชทายาทวันแรก ก็ทำเรื่องงามหน้าเสียแล้ว!
ทำให้จิ้งอ๋อง…ไม่สิ บัดนี้เป็นรัชทายาทแล้ว ทำให้รัชทายาทที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งกลายเป็นเช่นนี้ เจ้านี่ต้องมีความสามารถขนาดไหนกัน?
ขุนนางบริเวณนั้นต่างพร้อมใจกันมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนไหวจิ่งถูกจวินฉางอันลากขึ้นรถม้าไปแล้ว เหล่าขุนนางก็ยังยืนตะลึงงันอยู่กับที่
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะแล้วมองไปยังบรรดาขุนนาง “ทำไม? หน้าของพวกเจ้าก็แตกเหมือนกันหรือ? ต้องให้ข้าช่วยเก็บเศษหน้าขึ้นมาด้วยไหม?”
“ไม่ต้องๆๆ!”
ผู้คนต่างส่ายหน้ารัว พวกเขารู้แล้วว่าเจ้าคนนี้ทำอะไร จนองค์รัชทายาทโมโห พวกเขาหัวใจไม่ค่อยแข็งแรง ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเยี่ยนจิ่วเฉา
“เฮ้อ ข้าอยากจะทักทายสักหน่อยแต่ก็ไม่มีโอกาส เอาเถอะ ประเดี๋ยวจะให้ของขวัญแรกพบกับพวกเจ้าก็แล้วกัน หลังจากนี้ทุกคนต่างต้องทำงานในราชสำนักเดียวกัน เป็นมิตรต่อกันย่อมดีกว่า”
อย่างนี้สิ จึงจะน่าฟังสักหน่อย
เหล่าขุนนางต่างชะเง้อมองไปยังด้านหลังรถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉา ก็เห็นว่าอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วถือตะกร้าใบใหญ่คลุมด้วยผ้าสีแดง เดินมาหาพวกเขา
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเมืองเยี่ยนนั้นมั่งคั่งร่ำรวยเพียงใด เยี่ยนอ๋องครอบครองทรัพย์ศฤงคารมหาศาล พวกเขาจึงไม่เพียงคาดหวังสูงว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนวันแรก เขาจะนำของอะไรมากแจก
หายหน้าหายตาไปหนึ่งปี เหล่าขุนนางต่างก็แทบลืมไปแล้วว่าคุณชายคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร
และแล้ว เมื่ออิ่งลิ่วและอิ่งสือซันเปิดผ้าคลุม พวกเขาก็ล้วนแต่ตื่นตะลึง
มารดามันเถอะ!
ไข่ไก่สีแดง!!!
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้…ไม่ได้เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วหรอกหรือ? ยังมีอีกครั้ง?!
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกอย่างใจกว้างว่า “คนละสองลูก อย่าให้มีตกหล่น”
ให้แค่สองลูกเองรึ?!
ขุนนางมองไปยังไข่ในมือ ทันใดนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดองค์รัชทายาทจึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ พวกเขาก็กำลังจะโมโหเหมือนกัน!
เจ้าบอกว่าเจ้าให้ไข่ไก่สีแดงยังไม่พอ ยังให้แค่สองลูก ให้แค่สองลูกยังไม่พอ ยังบอกว่าอย่าให้มีตกหล่น พูดอย่างกับว่าแจกจ่ายเสียมากโข
หา? มากหรือ?!
เยี่ยนจิ่วเฉาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยความจริงใจว่า “แม้ว่าจะเป็นของขวัญที่ข้าให้ แต่ของขวัญที่พวกเจ้าส่งตอบแทนมาไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ก็ได้”
ไข่สีแดงเพียงสองลูก…ยังต้องส่งของขวัญตอบแทนอีกรึ?!
เหล่าขุนนางอยากจะกระอักเลือด…
……………………