หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 13.1 เทพสงครามตัวน้อย! (1)
ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ข่าวจากวังหลวงก็ส่งมาถึงจวนคุณชาย เยี่ยนจิ่วเฉาได้เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ อวี๋หวั่นจึงกลายเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการ
ครั้นขันทีวังนำชุดของพระชายาในผู้สำเร็จราชการมาถึงจวนคุณชายนั้นเอง ปฏิกิริยาของอวี๋หวั่นมิได้ต่างไปจากเยี่ยนไหวจิ่งและขุนนางเหล่านั้นเลย พวกเขาคิดว่าตนเองหูฝาดไป
“ท่านบอกว่าข้าเป็นอะไรนะ?” อวี๋หวั่นถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
ขันทีวังยิ้ม ตอบว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปท่านจะเป็นพระชายาในอ๋องผู้สำเร็จราชการ”
อวี๋หวั่นเข่าอ่อน แทบทรุดลงกับพื้น
พระชายาในอ๋องผู้สำเร็จราชการ…ฟังดูยิ่งใหญ่จริงๆ!
สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมเธอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นพระชายาในอ๋องผู้สำเร็จราชการไปได้ละ?
เมื่อคืนเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาดึก เธอไม่อาจต้านทานความง่วงได้ จึงนอนไปก่อน ตกกลางคืนตื่นมาอีกหลายครั้ง แต่ตื่นขึ้นมาเต็มตาจริงๆ ก็เช้าแล้ว ในตอนนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาก็ออกไปแล้ว
ดังนั้นเธอจึงสงสัยว่าหมอนั่นไปทำอะไรมา ทำไมอยู่ๆ ฮ่องเต้ถึงอวยยศให้เขาเป็นถึงผู้สำเร็จราชการ
ขันทีวังเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้อวี๋หวั่นฟังโดยสรุป ทั้งยังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังด้วย อวี๋หวั่นจึงได้รู้ว่าในวันแรกที่สามีของเธอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาก็ slay คนอื่นจนตายเรียบ
ขันทีวังยิ้ม “ฝ่าบาททรงรักท่านอ๋องมาก”
บัดนี้ในจวนมีอ๋องถึงสองคน ท่านอ๋องที่ขันทีวังกล่าวถึงคือเยี่ยนอ๋องหรือเยี่ยนจิ่วเฉานั้นเดาได้ไม่ยาก
กล่าวตามตรง จากมุมมองของเยี่ยนไหวจิ่งและเหล่าขุนนาง วิธีของฮ่องเต้นั้นประมาทเกินไป อย่างไรเสียเยี่ยนจิ่วเฉาก็มีประวัติไม่ดี เคยล่วงเกินคนมาไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่สามารถแบกรับงานใหญ่ได้ มีเพียงอวี๋หวั่นที่เข้าใจ เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนมีความสามารถมาก ทั้งยังมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่
หากไม่นับพลังของเขาเอง เขามีทั้งกองทัพเรือของเมืองเยี่ยน มีทั้งพ่อเลี้ยงเป็นเทพสงครามแห่งต้าโจว มีพ่อตาเป็นผู้สืบทอดสกุลเห้อเหลียน มีแม่ยายเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งหนานจ้าว หากสถานะเช่นนี้ของเขาแพร่งพรายออกไป มีหรือที่ใครหน้าไหนจะกล้ามีเรื่องกับเขา?
นี่คือขุมกำลังที่เขามี ยังไม่นับความสามารถในการปกครอง
อันที่จริง เยี่ยนจิ่วเฉาจะมีความสามารถหรือไม่นั้น ฮ่องเต้มิได้สนใจ เพราะมีเยี่ยนอ๋องก็เพียงพอแล้ว!
ในช่วงเวลาหลายปีที่เป็นราชบุตรเขยในหนานจ้าว เยี่ยนอ๋องจัดการขุนนางที่ต่อต้านหนานกงเยี่ยนอย่างไร จนแม้แต่ราชครูแห่งหนานจ้าวก็ยังต้องยำเกรงเยี่ยนอ๋อง! นอกจากนั้น วิธีของเยี่ยนอ๋องไม่เพียงสยบความขัดแย้งในราชสำนัก หากแต่ยังมีการปฏิวัติ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ของหนานจ้าว
เพียงแต่ว่า หากจะให้เยี่ยนอ๋องไปบริหารราชกิจโดยตรง เยี่ยนอ๋องไม่มีทางยอม แต่เมื่อเป็นปัญหาของเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนอ๋องย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย
เพราะฉะนั้น แม้ฮ่องเต้จะดูคล้ายกับเลอะเลือน แต่ใครจะกล้าพูดเล่าว่าพระองค์ตัดสินใจโดยปราศจากการไตร่ตรอง
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าสถานะของตนนั้นสูงมากแล้ว เป็นถึงคุณหนูแห่งจวนเทพสงคราม เป็นองค์หญิงแห่งหนานจ้าว และอาจได้เป็นตี้จีแห่งหนานจ้าวเสียด้วยซ้ำ แต่สถานะเหล่านี้ ก็ไม่อาจเทียบเท่าพระชายาแห่งผู้สำเร็จราชการ
“ก็เหมือนฮองเฮาที่ไร้มงกุฎสินะ!”
ระหว่างฮองเฮากับพระชายาของผู้สำเร็จราชการ อย่างหลังฟังดูเท่กว่าตั้งเยอะ!
อวี๋หวั่นมอบซองแดงซึ่งมีเงินอยู่ไม่น้อยให้แก่ขันทีวัง หลังจากที่ขันทีวังกลับไป อวี๋หวั่นก็เดินกอดชุดใหม่เข้าไปชื่นชมในห้อง
เยี่ยนจิ่วเฉายังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าเขาไปเล่นอะไรแผลงๆ ที่ไหนอีก ข่าวว่าคุณชายเยี่ยนกลับเมืองหลวง ต้องโหมกระพือไปทั่วแล้วเป็นแน่!
อวี๋หวั่นคาดเดาได้อย่างแม่นยำ เยี่ยนจิ่วเฉาหายไปนานเช่นนี้ก็เพราะเขาเพิ่งจะกวนประสาทเยี่ยนไหวจิ่งและเหล่าขุนนางเสร็จ จึงไปกวนประสาทตระกูลใหญ่อื่นๆ ในเมืองหลวงต่อ
ทุกคนแทบจะเป็นลม สวรรค์! นรก! เจ้าปีศาจนี่ยังไม่ไปแล้วไปลับอีกรึ? กลับมาทำไมกัน รีบพาเขากลับไปเดี๋ยวนี้!!!
ขณะที่คนพ่อไปสร้างเรื่องนอกจวน ลูกๆ ก็กำลังแผลงฤทธิ์อยู่ในจวน องครักษ์จวนคุณชายล้วนแต่รู้สึกว่าพวกเขาแทบจะหัวใจวายตายอยู่แล้ว พวกเขาเคยเห็นเด็กปีนต้นไม้ แต่ไม่เคยเห็นเด็กเวรที่ปีนขึ้นไปถึงยอดต้นไม้อย่างนี้ ปีนขึ้นไปได้อย่างไรกัน ทั้งยังกางแขนออกอีก เหล่าองครักษ์หัวใจแทบหยุดเต้น?!
“นั่นคืออะไรหรือ” เสี่ยวเป่าชี้ไปยังยอดต้นพุทรา
องครักษ์ตอบว่า “เรียนคุณชายน้อย พุทราขอรับ”
เด็กทั้งสามกลืนน้ำลาย
องครักษ์จึงถามว่า “คุณชายน้อยอยากกินหรือขอรับ?”
เด็กทั้งสามพยักหน้า
องครักษ์รีบกระโดดขึ้นไปเก็บให้ วิชาตัวเบาของเขานับว่าใช้ได้ และคิดว่าจะขึ้นไปบนยอดไม้ ไหนเลยจะรู้ว่า ทันใดนั้นก็เห็นเด็กหัวโล้นๆ ชนเข้ากับต้นไม้เสียแล้ว…
องครักษ์ “…”
อยากกินพุทรา ประเดี๋ยวข้าไปเก็บให้ก็ได้ ไม่ถึงกับต้องปีนขึ้นไปเก็บเอง! แล้วใครให้พวกเจ้าใช้หัวชนอย่างนั้นเล่า? ไปร่ำไปเรียนจากใครมา?!
เด็กทั้งสามศีรษะปูดเป็นก้อนกลม มองไปยังพุทราด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย โดยที่ยังไม่ลงมาบนพื้น
เสี่ยวเป่าร้องไห้ “ทำไมน้องเสี่ยวเจาถึงทำได้ละ”
ท่าทางงอแงเช่นนี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ฝันร้ายที่แท้จริงของเหล่าองครักษ์ก็คือพลังทำลายล้างของเด็กทั้งสามต่างหาก
ถึงจะบอกว่าเด็กสามขวบเพิ่งมีวิจารณญาณเป็นของตนเอง ไม่ให้พวกเขาแตะต้องก็เถอะ แต่จะทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก พวกเขาต้องเข้าไปยุ่ง!
“ล้าๆๆ ลาๆๆ…” เสี่ยวเป่าเข้าไปในเรือนเพาะชำดอกไม้มาครั้งหนึ่ง จากนั้นดอกโบตั๋นของลุงวั่นก็เละเทะไม่เหลือชิ้นดี
“ปลาสวยจังเลย!” เอ้อร์เป่าไปบ่อปลามาครั้งหนึ่ง ปลาจิ่นหลี่ของเยี่ยนอ๋องก็หายไปเช่นกัน
ต้าเป่าเรียบร้อยกว่า มือไม้ของเขาไม่ซุกซน และไม่ชอบทำร้ายสัตว์ เขาชอบเขียนหนังสือ เขาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ
เมื่ออวี๋หวั่นกลับห้องมา หลังจากที่ออกไปเดินเล่นข้างนอก ก็พบว่าลูกชายคนโตกำลังจับพู่กันอย่างขะมักเขม้น เขียนตัวอักษรขยุกขยุยลงบนสาส์นแต่งตั้งเธอเป็นพระชายา…
อวี๋หวั่น “…”
อ๊ากกกก อยากจะตีเจ้าเด็กนี่จริงๆ
หลังอาหารกลางวัน เด็กทั้งสามเล่นจนเหนื่อย จึงนอนเล่นอยู่บนเตียง จวนคุณชายที่เคยวายป่วง บัดนี้กลับมาเงียบสงบเป็นการชั่วคราว ทุกคนในจวนล้วนแต่รู้สึกเหนื่อยราวกับถูกถลกหนังออกมาอย่างไรอย่างนั้น!
กล่าวตามตรง สู้กับข้าศึกหลายร้อยคนยังเหนื่อยไม่เท่าดูแลเด็กเวรสามคนนี้เลย!
อวี๋หวั่นโมโห แต่เมื่อเห็นเด็กทั้งสามกำลังหลับสบาย ความรักที่เธอมีต่อพวกเขาก็ล้นเอ่อขึ้นในใจ พวกเขาเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลก เธอรักเขามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทำอย่างไรดี?
แม้ว่าราชโองการมอบจวนใหม่ให้พวกเขาลงมาแล้ว แต่ความจริงแล้วการย้ายไปอยู่ที่นั่น ไม่อาจทำได้รวดเร็ว พวกเขาต้องหาคนมาจัดการเสียก่อน และตรวจสอบดูว่ามีที่ใดต้องปรับปรุงหรือซ่อมแซมหรือไม่ งานเหล่านี้ให้ช่างในจวนทำ อวี๋หวั่นไม่จำเป็นต้องกังวล
อาจเป็นเพราะได้เป็นถึงพระชายาของผู้สำเร็จราชการ จึงทำให้ลึกๆ ในใจของอวี๋หวั่นรู้สึกตื่นเต้น และไม่ง่วงนอนเฉกเช่นวันก่อนๆ ลุงวั่นเห็นว่าเธอยังตื่นอยู่ จึงเอ่ยเรียก “ฮูหยินน้อย”
อวี๋หวั่นเป็นคนบอกพวกเขาเองว่ายามที่อยู่ในจวนก็ให้เรียกเหมือนเดิม
เยี่ยนอ๋องอยู่ที่นี่ หากเรียกเยี่ยนจิ่วเฉาว่าท่านอ๋อง และเรียกอวี๋หวั่นว่าพระชายา คงจะไม่เหมาะนัก
“ลุงวั่นหรอกหรือ เข้ามาสิ ข้ากำลังหาท่านอยู่พอดี” อวี๋หวั่นยิ้ม
ลุงวั่นเดินเข้ามา มองไปยังเด็กทั้งสามซึ่งนอนอยู่บนเตียง แล้วค่อยๆ เบาฝีเท้าลง “ฮูหยินน้อยหาข้า มีเรื่องอะไรจะถามข้าหรือขอรับ?”
“ข้าจะถามท่านว่า พี่รองอยู่ที่สำนักบัณฑิตเป็นอย่างไรบ้าง” ตอนนี้เธอเดินเหินไม่สะดวก เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ให้เธอไปไหนมาไหนคนเดียว นึกอยากไปเยี่ยมอวี๋ซงที่สำนักบัณฑิตยังทำไม่ได้
ลุงวั่นยิ้ม แล้วตอบว่า “ข้าก็กำลังจะมาบอกฮูหยินน้อยพอดีเลยขอรับ คุณชายรองได้เลื่อนระดับชั้น ทั้งยังสอบได้เป็นซิ่วไฉแล้ว!”
“จริงหรือ?” อวี๋หวั่นดีใจเหลือเกิน
ลุงวั่นพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน คุณชายรองมีพรสวรรค์ด้านการเรียน แม้ว่าจะเริ่มช้าไปสักหน่อย แต่กลับมิได้ด้อยไปกว่าเด็กจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งคุณชายรองเป็นคนขยัน หลังจากได้อันดับที่หนึ่งในสามชั้นแรก ต้นฤดูใบไม้ผลิก็ได้ขึ้นจากก่วงเหวินถังขึ้นมาถึงเจิ้งอี้ถังแล้ว”
“เจิ้งอี้ถัง…คืออะไรหรือ” อวี๋หวั่นออกจากเมืองหลวงไปนาน จนลืมเรื่องของสำนักบัณฑิตไปแล้ว
“เจิ้งอี้ถัง ฉงเยี่ยถัง และก่วงเยี่ยถังล้วนเป็นชั้นเรียนในปีที่หนึ่ง เจิ้งอี้ถังนั้นระดับสูงที่สุด ส่วนก่วงเยี่ยถังระดับต่ำที่สุด แต่ละชั้นเรียนจะแบ่งย่อยเป็นห้องที่หนึ่งและห้องที่สอง ในตอนที่คุณชายรองเข้าไป เขาไปอยู่ในห้องสองของก่วงเยี่ยถัง ซึ่งเป็นชั้นเรียนที่ต่ำที่สุดในสำนักบัณฑิต” ลุงวั่นอธิบายอย่างใจเย็น
“เช่นนั้นเจิ้งอี้ถังในตอนนี้…” อวี๋หวั่นมองไปยังลุงวั่นด้วยท่าทางวิตกกังวล