หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 13.2 เทพสงครามตัวน้อย! (2)
ลุงวั่นยิ้ม แล้วบอกว่า “ห้องหนึ่งของเจิ้งอี้ถังขอรับ! เป็นชั้นเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปีหนึ่ง!”
“พี่รองเก่งจริงๆ!” อวี๋หวั่นพูดด้วยความตื่นเต้นและดีใจ
ลุงวั่นชื่นชมว่า “ใช่แล้วขอรับ คนในจวนล้วนแต่พูดกันว่าคุณชายรองเป็นหน้าเป็นตาให้ฮูหยินน้อยแล้ว!”
“เป็นหน้าเป็นตาให้ข้าคนเดียวซะที่ไหน? เขาเป็นหน้าเป็นตาให้หมู่บ้านเหลียนฮวาทั้งหมู่บ้านต่างหาก! ลุงใหญ่กับคนอื่นๆ ต้องดีใจมากแน่ๆ!” แม้แต่เธอยังดีใจถึงขนาดนี้ คนที่เป็นพ่อแม่ของพี่รองอย่างลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่จะดีใจขนาดไหน
ด้วยฐานะของอวี๋หวั่นในตอนนี้ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้พี่ชายมาเป็นหน้าเป็นตาให้ แต่อวี๋หวั่นก็อดดีใจแทนอวี๋ซงไม่ได้ เมื่อคิดถึงอวี๋ซง ก็คิดถึงพี่ใหญ่ในหมู่บ้านเหลียนฮวา “ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ แล้วก็เถี่ยตั้นน้อยเป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดีขอรับ” แม้ลุงวั่นจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่จะเขียนจดหมายมายังจวนคุณชายทุกเดือน ทั้งยังส่งคนไปยังสำนักบัณฑิตและบ้านสกุลอวี๋ในหมู่บ้านเหลียนฮวา หลังจากกลับมายังเมืองหลวงก็ยังทำเช่นนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง
“ข้าอยากเจอพวกเขาเหลือเกิน” โดยเฉพาะเถี่ยตั้นน้อย พ่อ แม่ และพี่สาวไม่อยู่ด้วย เขาคงน้อยใจมากสิท่า
ลุงวั่นยิ้ม แล้วตอบว่า “คุณชายสั่งไว้แล้ว ว่าให้ข้าเตรียมของขวัญ พรุ่งนี้จะกลับหมู่บ้านเหลียนฮวาพร้อมฮูหยินน้อย”
เดิมทีคิดว่าจะไปวันนี้ แต่น่าเสียดายที่อากาศขมุกขมัว เป็นไปได้มากว่าฝนจะตกหนัก เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยากให้อวี๋หวั่นตากฝน
อวี๋หวั่นไม่รู้มาก่อนว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจัดการเรื่องพาเธอกลับหมู่บ้าน หมอนี่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็จัดการเรื่องของเธอเสียเสร็จสรรพ เธอไม่ต้องกังวล และไม่ต้องให้เธอเตือน
“แต่ว่า พวกเราควรจะไปจวนสกุลเซียวสักครั้งก่อนไหม?” ซั่งกวนเยี่ยนมีลูกแล้ว หากว่ากันตามธรรมเนียม เมื่ออยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ย่อมต้องไปเยี่ยมเยือนก่อน แต่นั่นก็นำมาซึ่งอีกปัญหาหนึ่งให้ขบคิด ซึ่งก็คือความรู้สึกของเยี่ยนอ๋อง
หากไปเยี่ยมซั่งกวนเยี่ยนเพียงอย่างเดียวยังพอเข้าใจได้ ทว่าประเด็นอยู่ที่ซั่งกวนเยี่ยนมีลูกซึ่งถือกำเนิดจากนางและเซียวเจิ้นถิง…
ความรู้สึกที่เยี่ยนอ๋องมีต่อซั่งกวนเยี่ยนยังคงแจ่มชัดไม่จางหาย เขาจะรังเกียจที่พวกเขาไปเยี่ยมน้องชายร่วมมารดาของเยี่ยนจิ่วเฉาไหม?
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังใคร่ครวญอย่างหนัก ก็ได้ยินเสียงคนจากนอกประตูรายงานว่า “แม่ทัพใหญ่เซียวมา!”
เซียวเจิ้นถิง?
อวี๋หวั่นถึงกับตะลึงงัน
ลุงวั่นก็ชะงักไปเช่นกัน แม้ลุงวั่นจะมีความเข้าใจต่อเรื่องราวในเมืองหลวงมากกว่าอวี๋หวั่น แต่อย่างไรเสียเรื่องราวส่วนใหญ่ก็รับรู้ผ่านจดหมาย บางเรื่องหากไม่เห็นด้วยตาตาเอง เขาก็ยากที่จะเชื่อ
“หรือว่า…” ลุงวั่นพึมพำ
“มีอะไรหรือ” อวี๋หวั่นถาม หรือว่าอะไร? หรือว่าเซียวเจิ้นถิงมาถึงที่นี่เพื่อสู้กับเยี่ยนอ๋อง? สุดท้ายแล้วบุรุษอกสามศอกสองคนก็ทนไม่ไหว ต้องเอาชนะกันด้วยพละกำลัง?!
ลุงวั่นตอบ “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกฮูหยินน้อยไป พระชายาไปแก้บนที่วัดแล้ว”
“นางขอลูกหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
ลุงวั่นส่ายหน้า “นางบนให้คุณชายขอรับ ก่อนหน้านี้พระชายาไปหนานจ้าวมาครั้งหนึ่ง นางรู้ว่าคุณชายไปตามหาตัวยามาถอนพิษ นางกังวลว่าคุณชายจะไม่กลับมา จึงไปบนที่วัดไป๋อวิ๋นซึ่งอยู่นอกเมืองหลวง ว่าขอเพียงคุณชายกลับมาอย่างปลอดภัย นางยินดีใช้ทองคำแท้หล่อองค์พระขึ้นมาใหม่ พระชายาเดินทางไปวัดในคืนนั้น ด้วยกลัวว่าหากนางแก้บนช้าเกินไป พระท่านจะคิดว่านางตระบัดสัตย์ แล้วเอาชีวิตคุณชายกลับคืนไป”
“เอ่อ…” แม้อวี๋หวั่นจะไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่เธอก็เข้าใจและเคารพในความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนคลอดลูกราวเดือนเจ็ด หมายความว่านางเพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน ออกเดินทางไปเช่นนั้นคงลำบากน่าดู
“ว่าแต่…เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่แม่ทัพใหญ่เซียวเดินทางมาจวนคุณชายหรือ” เล่าเรื่องนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ แสดงว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกันสินะ? ลุงวั่นไม่ใช่คนที่คิดสิ่งใดก็พูดออกมาพล่อยๆ
ลุงวั่นกระแอมเบาๆ “จากที่คนในจวนพูดกัน ก่อนหน้านี้ในเดือนที่พระชายาต้องพักฟื้น แม่ทัพใหญ่เซียวก็มาที่นี่ครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นพระชายาก็ออกไปข้างนอก”
“ยังอยู่ในระยะพักฟื้น นางออกไปทำไมหรือ” อวี๋หวั่นไม่เข้าใจ
ลุงวั่นถอนหายใจ “ออกไปขอพรให้คุณชายปลอดภัย พระชายาไปวัดทุกเดือนขอรับ”
ลำบากเกินไปแล้ว
อายุไม่น้อยแล้ว หากไม่พักฟื้นอยู่ไฟ ภายหลังอาจทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง
แต่อวี๋หวั่นก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องที่ซั่งกวนเยี่ยนไม่อยู่ในจวน จะเกี่ยวข้องกับที่เซียวเจิ้นถิงเดินทางมาจวนคุณชาย เขาไม่ควรมาพร้อมกับซั่งกวนเยี่ยนหรอกหรือ?
“พระชายาวิตกเรื่องของคุณชายมาก นางจึงคิดว่าลูกจำต้องมีพ่อแม่คอยอยู่เคียงข้าง นางไม่อยู่ เซียวเจิ้นถิงจำเป็นต้องอยู่” ถ้าหากลูกโตแล้ว ลุงวั่นคิดว่าพระชายาคงจะพาลูกไปวัดด้วยเป็นแน่
คนเรามักจะเดาเหตุการณ์ต่างๆ จากประสบการณ์และความรู้ของตน จากประสบการณ์และความรู้ของอวี๋หวั่น เมื่อภรรยาออกไปข้างนอก ไม่มีสามีที่ไหนจะไปหาอดีตสามีของภรรยาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้หรอก
น่าสงสัยจริงๆ!
อวี๋หวั่นยังคงไม่กระจ่างทั้งหมด แต่ในตอนนั้นเองเซียวเจิ้นถิงก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
ท่าทางที่เขาเดินเข้ามา…เอ…แปลกยิ่งกว่าการที่เขามาหาเยี่ยนอ๋องเสียอีก!
บุรุษกำยำล่ำสัน สูงใหญ่ดุจขุนเขา ยื่นแขนออกมากอดตะกร้าใบหนึ่งซึ่งคลุมด้วยผ้าผืนบาง สีหน้าของเขาวิตกกังวลและระแวดระวัง ราวกับกำลัง…เข้าใกล้ศัตรู!
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังคิดว่ามีอะไรอยู่ในตะกร้านั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องดัง “อุแว้”
ให้ตายเถอะ! เป็นเด็กจริงๆ ด้วย!
เซียวเจิ้นถิงตัวสั่นเทิ้ม! เขากระโดดโหยง ราวกับถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น!
“จจจจเจ้า…เจ้ารีบออกมาเร็ว!” เซียวเจิ้นถิงร้องเรียกด้วยความตื่นตระหนก
“เรียกข้าหรือ?” อวี๋หวั่นพึมพำ
เธอจึงเดินออกไป
ทว่า เดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว เซียวจิ้นถิงก็เดินผ่านเธอไปทันที!
อวี๋หวั่นชะงักไป เซียวเจิ้นถิงไม่เห็นเธอ? เป็นเพราะเขากำลังตกใจหรือ?
ทารกร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผากของเซียวเจิ้นถิง เขาเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างชำนาญทาง ก้าวข้ามธรณีประตูห้องหนังสือ แล้ววางตะกร้าลงบนโต๊ะ!
เยี่ยนอ๋องเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีอะไร”
“เขาๆๆๆๆ …เขาร้องไห้แล้ว!” เซียวเจิ้นถิงถลึงตา
“ลูกเจ้าร้องไห้ แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?” เยี่ยนอ๋องถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ไปกระทบกระเทือนจิตใจของทารกเข้าหรืออย่างไร เจ้าตัวเล็กร้องไห้หนักกว่าเดิม จนฟังดูราวกับว่าปอดของเขาจะฉีกขาด!
เซียวเจิ้นถิงปวดใจเหลือเกิน “เจ้าๆๆ…เจ้าปลอบเขาหน่อยสิ”
“ไม่ปลอบ” เยี่ยนอ๋องตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ปลอบหน่อยเร็ว”
“ลูกตัวเอง ก็ปลอบเองสิ”
เซียวเจิ้นถิงยื่นแขนซึ่งใหญ่เท่าต้นขาของคนทั่วไปออกมาอุ้มทารกน้อย
เขามีพละกำลังมาก เพียงออกแรงเบาๆ ก็ทำให้ทารกรู้สึกเจ็บ เขาร้องอุแว้ออกมาเสียงดัง ร้องลั่นจนหลังคาจวนแทบถล่มลงมา
เยี่ยนอ๋องมองดูท่าทางเงอะๆ งะๆ ของเขา มือของเขาขยับ แต่สุดท้ายก็หยุดตนเองไว้
เซียวเจิ้นถิงทำอะไรไม่ถูก “ข้าไม่ไหวแล้วๆๆ!”
แค่ทารกคนหนึ่ง แต่น่ากลัวยิ่งกว่ากองทัพซึ่งมีทหารและอาชาศึกนับพันนับหมื่นเสียอีก เซียวเจิ้นถิงโตมาจนป่านนี้ เขาไม่เคยหวาดกลัวแม้แต่ยามอยู่ท่ามกลางกองซากศพโดยลำพัง แต่การเลี้ยงลูก…แค่วินาทีเดียวเขาก็แทบเข่าอ่อนแล้ว!
สุดท้ายแล้วเยี่ยนอ๋องก็ต้องรับทารกมาอย่างอดไม่ได้
“พวกต้าเป่าหลับอยู่ ข้ากลัวพวกเขาตื่น” เยี่ยนอ๋องพูดอย่างไม่ยี่หระ
“อื้มๆๆ!” เซียวเจิ้นถิงพยักหน้าหงึกๆ ราวกับเป็นสัตว์ร้ายซึ่งถูกเลี้ยงจนเชื่อง
จะว่าไปก็น่าแปลก เด็กที่เมื่อครู่ร้องไห้โยเยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเซียวเจิ้นถิง แต่กลับไม่ร้องเมื่ออยู่กับเยี่ยนอ๋อง
เด็กคนนี้อายุครบเดือนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนที่ตั้งท้อง ซั่งกวนเยี่ยนกังวลมากเกินไปหรือไม่ เมื่อเขาคลอดออกมา มีน้ำหนักเพียงห้าจิน ร่างกายผอมแห้ง ร้องไห้ไร้เรี่ยวแรง เมื่อคนแข็งกร้าวปราศจากความอ่อนโยนอย่างเซียวเจิ้นถิงอุ้มเขา จึงกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป
อันที่จริงซั่งกวนเยี่ยนก็ไม่ค่อยได้เลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เยี่ยนจิ่วเฉามีแม่นมและสาวใช้ แน่นอนว่าจวนสกุลเซียวก็มีเช่นกัน กระนั้นแล้ว คนเราเมื่อถูกงูกัดครั้งหนึ่ง ก็จะกลัวเชือกไปสิบปี ซั่งกวนเยี่ยนคิดว่าตนเองไม่ควรประมาท นางเลือกแม่นมครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่ทำได้ด้วยตนเองก็ทำด้วยตนเอง
เยี่ยนอ๋องเป็นคนละเอียดรอบคอบ ตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉาเกิด เขายังอายุไม่มาก ซั่งกวนเยี่ยนไม่กล้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เยี่ยนจิ่วเฉา ทั้งหมดจึงเป็นหน้าที่ของเยี่ยนอ๋อง เขาเป็นบุรุษที่เอาใจใส่ แม้ว่าจะเจอปัญหาในราชสำนักมากเพียงใด เมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะทิ้งความแข็งกร้าว และเปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยน
เจ้าตัวเล็กจับปลายนิ้วของเยี่ยนอ๋อง พ่นน้ำลายเป็นฟอง และไม่ร้องไห้งอแงอีกต่อไป
ดวงตากลมโตราวกับผลองุ่นมองเยี่ยนอ๋องด้วยความงุนงง
“เอาละ เขาไม่เป็นไรแล้ว คราวหลังเจ้าอย่าเอาอะไรไปคลุมเขาสิ เด็กมักไม่ชอบอากาศร้อน” เยี่ยนอ๋องถอดเสื้อให้ทารกน้อย แล้ววางเขากลับไปในตะกร้า
ทารกน้อยมองเขาเงียบๆ ว่าง่ายเป็นที่สุด
เซียวเจิ้นถิงเดินเข้ามามองทารกน้อยในตะกร้า แล้วขู่ด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าเป็นพ่อของเจ้า! ถ้าร้องไห้อีก! ข้าจับเจ้าตีแน่!”
ทารกน้อยมองเขา ทันในนั้นก็เบะปากร้องไห้ออกมา!
เซียวเจิ้นถิง “…”
……………………………