หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 16 พ่อลูกอาละวาด
ตกดึก เยี่ยนอ๋องก็กลับมาถึงเรือน
จวนแห่งนี้คึกคักในตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ทำให้หัวใจรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
เขาหยิบภาพวาดซึ่งยังวาดค้างอยู่ออกมา แล้วยกพู่กันขึ้นมาวาดต่อจนเสร็จ
ภาพที่เขาวาดก็คือจื่อจวินและเยี่ยนจิ่วเฉาครั้งยังเป็นทารกในห่อผ้า คนที่เขารักมาตลอดชีวิต แน่นอนว่าในตอนนี้เขามีคนที่เขาสามารถมอบความรักให้มากกว่า แต่สองคนนี้ก็ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในหัวใจของเขา และจะไม่มีผู้ใดมาแทนที่ได้ไปตลอดกาล
เยี่ยนอ๋องใช้เวลาครึ่งชั่วยามไปกับภาพวาด จื่อจวินที่เขาวาดนั้นมีใบหน้าอ่อนโยน ประหนึ่งนางยังคงรักเขาเหมือนเดิม ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาในห่อผ้ากำลังหลับสบาย เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉา และไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์กับการชิงดีชิงเด่นในราชสำนัก ครอบครัวที่มีสามคนของเขานั้นมีความสุขบนความเรียบง่าย
เขาวางพู่กันลง มองดูผลงานของตนเองด้วยความพึงพอใจ ขณะที่กำลังคิดว่าควรไปนอนได้แล้ว เด็กน้อยทั้งสามก็เดินใส่ชุดนอน พร้อมกับกอดหมอนคนละใบมาหาเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“เป็นอะไร จะนอนกับข้าหรือ?” เยี่ยนอ๋องมองเด็กทั้งสามอย่างอ่อนโยน
เด็กทั้งสามน้ำตารื้น แล้วโผเข้าหาเขา
ถูกท่านแม่ตี แง้~
วันต่อมา เรื่องที่เยี่ยนไหวจิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท และเยี่ยนจิ่วเฉาได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกคนที่รู้ข่าวนี้ล้วนแต่รู้สึกงุนงง เกิดอะไรขึ้น เจ้านั่นได้เป็นอ๋อง ทั้งยังได้เป็นผู้สำเร็จราชการอีกหรือ? เจ้าไม่ได้อำข้าเล่นใช่ไหม!!!
เจ้านั่นก็เป็นคนบ้ากับงูพิษดีๆ นี่เอง พวกเขารู้ว่าฮ่องเต้ทรงเอ็นดูเขามาก แต่อย่าเอาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรมาล้อเล่นไม่ได้หรืออย่างไร? ฮ่องเต้ต้องประชวรหนักขนาดไหนถึงได้สติสัมปชัญญะเลอะเลือนจนแต่งตั้งเจ้าบ้านั่นให้เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ?
ชาวบ้านต่างบ่นกันระงม!
เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปซื้อถังหูลู่ให้เด็กทั้งสาม เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณน้อยๆ ของพวกเขาหลังจากถูกแม่ตี ทันทีที่เดินมาถึงร้านขายถังหูลู่ ก็ได้ยินชาวบ้านซึ่งกำลังซื้อของอยู่ที่ร้านอื่นกำลังถกเถียงกัน
“อ๋า เยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?”
“ชู่ว เจ้ากล้าพูดชื่อของเขาโดยตรงเชียวรึ? ไม่กลัวโดนบั่นคอหรืออย่างไร! เจ้านั่นมันเป็นคนบ้า! บ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว! หลังจากนี้ก็คงบ้ากว่าเดิมเสียอีก!”
“น่า…น่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“จะไม่น่ากลัวได้อย่างไร? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ พ่อบ้านของบ้านลุงรองของข้าเห็นกับตา! มีคนพูดจาล่วงเกินเขา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากคนคนนั้นลงมาเลยละ!” ผู้พูดยกมือขึ้นมาทำท่าปาดคอ นั่นหมายความว่าเขาถูกฆ่าตาย
ทุกคนหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ!
มีที่ไหนกัน พูดไม่เข้าหูเพียงเล็กน้อยก็ฆ่าทิ้ง? นี่มันบ้าอำนาจชัดๆ!
“เรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้?” เยี่ยนจิ่วเฉายื่นหน้าเข้าไปร่วมวง
บุรุษฉกรรจ์กำลังเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ จึงไม่ได้สังเกตว่าผู้ที่ถามนั้นเป็นบุรุษหนุ่มแต่งตัวดีต่างจากชาวบ้านทั่วไป เขาจึงทำเสียง ‘จุ๊ๆๆ’ แล้วตอบว่า “เรื่องพรรค์นี้จะไปเล่าให้คนเขารู้ทั่วได้อย่างไรกัน? ขืนพูดออกไปได้ถูกฆ่าล้างตระกูลกันพอดี!”
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘โอ้ ’ จากนั้นจึงถามว่า “แล้วเหตุใดพ่อบ้านของบ้านลุงรองของเจ้ายังไม่ถูกฆ่าล้างตระกูลอีกเล่า?”
บุรุษฉกรรจ์ชะงักไป เจ้านี่มาจากไหนกัน? พูดอะไรของเขา?
ผู้คนต่างหันไปมองบุรุษฉกรรจ์เป็นตาเดียว
บุรุษฉกรรจ์กระแอม เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตนไม่ได้โกหก เขาจึงอธิบายให้ยิ่งละเอียดกว่าเดิม “จริงๆ นะ ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า ที่ตรอกหลิ่วเยี่ย คุณชายคนนั้นเมา แล้วก็ไปด่าเขา คำพูดที่ออกจากปากคนเมา ใครไหนเลยจะไปถือสาใช่ไหมเล่า? แต่เขากลับจับคุณชายคนนั้นไปจัดการ! พวกเจ้าว่าหากให้คนประเภทนี้มาดูแลกิจการบ้านเมือง ชาวบ้านอย่างพวกเราจะมีชีวิตที่ดีได้หรือ?”
พูดถึงตรอกหลิ่วเยี่ย เยี่ยนจิ่วเฉาจึงนึกได้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว เขาไม่ได้จัดการคนนั้นเพียงคนเดียว เขาจัดการพวกเขาทั้งตระกูล พวกเจ้าไม่รู้หรือ? คนผู้นั้นแซ่หู นายท่านจวนสกุลหูเคยเป็นขุนนางในราชสำนัก คุณชายหูเป็นหลานสายตรงของเขาเพียงคนเดียว”
“อ่า น้องชาย ที่แท้เจ้าก็รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้”
อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย!
บุรุษฉกรรจ์เริ่มมองเยี่ยนจิ่วเฉาในแง่ดีมากขึ้น “น้องชาย เจ้ารู้เรื่องอะไรมาอีกหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ารู้ว่า คุณชายหูคนนั้นไม่ได้หลุดปากพูดเพราะเมามาย แต่เขาใช้การเมาสุราเป็นข้ออ้างไปล่วงเกินหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นไปแจ้งต่อทางการ แต่กลับถูกนายท่านหูบีบบังคับให้ปิดปากเงียบ นางไม่อาจฟ้องร้องเขาได้ มิหนำซ้ำยังถูกไล่ออกมาจากจวนสกุลหู คุณชายหูได้ใจ ยังคงทำตัวสำมะเลเทเมาต่อไป และบังเอิญมาพบคุณชายเยี่ยนเข้า”
บุรุษฉกรรจ์ถลึงตาตวาดลั่น “น้องชาย! เจ้าอย่าพูดพล่อยๆ! คุณชายหูกับใต้เท้าหูเป็นคนดี!”
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงถามว่า “เจ้าเคยพบเขาหรือ? ถึงบอกว่าพวกเขาเป็นคนดี”
บุรุษฉกรรจ์พูดด้วยความเดือดดาล “แล้วเจ้าเคยพบหรืออย่างไร? ถึงบอกว่าพวกเขาเป็นคนเลว!”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “คนข้าก็เป็นคนฆ่า ตราประทับทางการของใต้เท้าหู ข้าก็เป็นคนทำลาย เจ้าว่าข้าเคยพบหรือไม่เล่า?”
บุรุษฉกรรจ์ขมวดคิ้ว “เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน”
เยี่ยนจิ่วเฉาโน้มตัวเข้าไปหาบุรุษฉกรรจ์ “นินทาข้าลับหลังอยู่เสียนาน แต่กลับจำข้าไม่ได้?”
บุรุษฉกรรจ์ประมวลคำพูดนั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นเทิ้ม “เยี่ยน…เยี่ยนๆๆๆๆๆ…เยี่ยนจิ่วเฉา?”
เยี่ยนจิ่วเฉายิ้มอย่างชั่วร้าย
บุรษฉกรรจ์ตกตะลึง ดวงตาของเขากลอกไปรอบๆ จากนั้นเขาก็หมดสติไปกับพื้น
ฝูงชนบริเวณนั้นล้วนแต่ใบหน้าซีดเผือด จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
เยี่ยนจิ่วเฉามองตามหลังชาวบ้านซึ่งกำลังหลบหนี จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาโบกด้วยรอยยิ้ม “ด้วยความยินดี”
คนขายถังหูลู่มองเขาด้วยความตกตะลึง ราวกับไม่เข้าใจว่า ‘ด้วยความยินดี’ ของเขานั้นมาจากไหน
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงบอกว่า “ขุนนางที่ดี ทำงานเพื่อราษฎรอย่างข้า ทุกคนย่อมรู้สึกขอบคุณเป็นธรรมดา”
คนขายถังหูลู่ “…”
ผู้คนซึ่งเดิมทีตั้งใจมาซื้อถังหูลู่ กลับตกใจกลัวเยี่ยนจิ่วเฉาจนหนีเตลิดไปจนหมด ที่จริงคนขายถังหูลู่ก็อยากหนีไปเหมือนกัน แต่ถังหูลู่หนักถึงเพียงนี้ เขาจะหนีไปไหนได้?
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังถังหูลู่ซึ่งปักไว้บนแท่งฟางมัด แล้วถามว่า “เจ้ามีอยู่กี่ไม้”
คนขายถังหูลู่ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น! จากนั้นก็รีบนับถังหูลู่ที่มี “หกสิบไม้ขอรับ!”
ข้าต้องการทั้งหมด!
เสียงของผู้ตรวจราชการผู้ใจกว้างดังขึ้นในสมองของคนขายถังหูลู่!
เยี่ยนจิ่วเฉากลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “โอ้ เช่นนั้นหยิบให้ข้าหกไม้”
คนขายถังหูลู่ “…”
……
หากเป็นเมื่อก่อน ทุกครั้งที่เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปข้างนอก จำเป้นต้องมีอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วไปด้วย ภายหลังเขามีวรยุทธ์ อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วสู้เขาไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยแล้ว และเป็นเพราะไม่มีองครักษ์ทั้งสองคอยจับตาดู คุณชายบางคนจึงออกไปทำเรื่องแผลงๆ มากกว่าแต่ก่อน
หลังจากที่อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วกลับมาจากการสืบข่าว ก็เดินทางผ่านถนนซึ่งใกล้กับจวนคุณชาย และพวกเขาก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น ทำไมถนนเงียบขนาดนี้เนี่ย!!!
ครั้นเยี่ยนจิ่วเฉาเดินถือถังหูลู่กลับจวนไป อวี๋หวั่นก็เก็บข้าวของเตรียมกลับหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนอ๋องก็จับเด็กน้อยทั้งสามแต่งตัวและล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าทุกคนคิดไปเองหรือไม่ แต่ท่านอ๋องของพวกเขาแลดูเหนื่อยล้ากว่าเดิมภายในเวลาชั่วข้ามคืน…
เด็กทั้งสามก็เป็นเช่นนี้ แรกเริ่มเดิมทีก็ว่าง่าย อีกสักพักก็ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็เดินเตาะแตะ สุดท้ายก็เล่นซนจนหลังคาของเรือนเยี่ยนอ๋องแทบถล่มลงมา…
เมื่อว่ากันตามนิสัยแล้ว เด็กทั้งสามนั้นถอดแบบมาจากบิดาบังเกิดเกล้าของพวกเขา หรืออาจเรียกได้ว่ารุ่นลูกแสบยิ่งกว่ารุ่นพ่อเสียอีก อย่างไรเสีย คนพ่อทำกับคนที่ตนเกลียด ส่วนลูกๆ ลงมือกับทุกคนโดยไม่บอกกล่าว!
หลังจากกินอาหารเช้า อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาก็พาเด็กทั้งสามขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา
อันที่จริง เยี่ยนอ๋องยังคงไม่ไว้วางใจให้พวกเขาเดินทางไป อีกไม่ถึงครึ่งเดือน อวี๋หวั่นก็ใกล้คลอดแล้ว ช่วงเวลานี้เธอควรอยู่บ้าน ดูแลรักษาร่างกายให้ดี นอกจากนั้นเขายังกลัวว่าอวี๋หวั่นจะคลอดลูกยาก เฉกเช่นที่ซั่งกวนเยี่ยนเคยประสบ
เยี่ยนอ๋องเคยลองถามพวกเขาดูแล้ว ว่าจะให้รับคนสกุลอวี๋มาที่นี่ดีหรือไม่ เรื่องนี้อวี๋หวั่นคิดไว้แต่แรกแล้ว แต่คนสกุลอวี๋เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านเหลียนฮวา หากให้เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเช่นนี้ คงจะไม่เคยชินสักเท่าไร
อวี๋หวั่นยืนยันกับเยี่ยนอ๋องซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอจะไม่เป็นไร เยี่ยนอ๋องจึงปล่อยให้ทั้งสองพาเด็กน้อยสามคนกลับไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวาด้วยสีหน้าลำบากใจ
หมู่บ้านเหลียนฮวาเปลี่ยนไปจากปีที่แล้วมาก เป็นเพราะกิจการเหมืองแร่ ความมั่งคั่งแผ่ขยายไปถึงตัวตำบล ทำให้การค้าต่างๆ ในตำบลเหลียนฮวาพลอยรุ่งเรืองไปด้วย
“เอ๋? ร้านค้าเยอะกว่าเดิมอีก” อวี๋หวั่นมองไปยังร้านรวงสองฟากถนน เธออดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตื่นตกใจจนเกินเหตุ อย่างไรเสียหมู่บ้านของพวกเขาก็มีเหมืองแร่ เส้นทางแถบนี้นับว่าเป็นพื้นที่ค้าแร่ จึงเป็นที่หมายปองของพ่อค้าวาณิชมากมาย หมู่บ้านซึ่งเคยห่างไกลและล้าหลัง บัดนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่แล้ว
กิจการของหอหยกขาวยังคงเฟื่องฟู อวี๋หวั่นรีบกลับหมู่บ้าน จึงไม่ได้แวะไปยังหอหยกขาว เธอคิดว่าขากลับจะแวะไปสักหน่อย
ขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านตลาดนัด อวี๋หวั่นแทบจำไม่ได้ เมื่อก่อนตลาดแห่งนี้เป็นเพียงลานโล่ง มีพ่อค้าแม่ขายมากางแผงขายของ ตอนนี้กลับกลายเป็นเพิงเรียงราย แทบไม่ต่างจากตลาดในตัวตำบล
ที่นี่มีตลาดเล็กทุกสามวัน และมีตลาดใหญ่ทุกสิบห้าวัน โดยทั่วไป ชาวบ้านมักจะนำของมาขายแต่เช้ามืด เมื่อขายหมดก็ทยอยกันเก็บแผง กระนั้นแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงวันแล้ว ทว่าการค้าขายกลับดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้นขึ้น คึกคักเหลือเกิน
อิ่งลิ่วไปสืบข่าวคราวมาแล้ว เมื่อหันไปเห็นสีหน้าประหลาดใจของอวี๋หวั่น เขาจึงยิ้ม พร้อมกับอธิบายว่า “ราชสำนักเข้ามาดูแลที่นี่ด้วยขอรับ ก่อนหน้านี้แรงงานในเหมืองไม่เพียงพอ จำเป็นต้องหาคนงานมาเพิ่ม มีทั้งคนในพื้นที่และคนต่างถิ่น รวมๆ แล้วก็หลายร้อยคนขอรับ ข้างในนี้มีบ้านของคนงานในเหมือง พวกเขาไม่จำเป็นต้องปลูกพืช ช่วงกลางวันก็มาค้าขายและจับจ่ายซื้อของที่นี่ขอรับ”
คนงานหลายร้อยคนแล้วหรือ นี่นับว่าเหนือความคาดหมายของอวี๋หวั่น
คนต่างถิ่นไม่เพาะปลูก คนท้องถิ่นแม้จะมีที่ดิน แต่ก็ไม่ชอบปลูกพืช อย่างไรเสียค่าแรงจากการทำเหมืองก็มากพอแล้ว ต่อให้ไม่เพาะปลูกก็สามารถอยู่ได้ หากพี่น้องในบ้านมีหลายคนก็ช่วยกันปลูกได้ หากพี่น้องไม่มากพอก็ปล่อยเช่าให้คนอื่นปลูก สรุปแล้วชีวิตของผู้คนที่นี่ดีขึ้นมาก
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ราชสำนักเข้ามาดูแล อวี๋หวั่นก็ชะงักไป “ราชสำนักเข้ามาขุดเหมือง…”
สรุปแล้วเหมืองนี้เป็นของสกุลอวี๋หรือเป็นของราชสำนักกันแน่?
แม้จะบอกว่าที่ผืนนี้เป็นบรรดาศักดิ์ที่พ่อของเธอได้รับ แต่จะให้ราชสำนักเข้ามาแทรกแซงอย่างนี้ไม่ได้หรอก
……………………….