หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 19 กลยุทธ์ของพี่จิ่ว
เด็กทั้งสามมองไปยังประตูซึ่งเปิดแง้มไว้ด้วยท่าทางงุนงง จากนั้นก็มองไปยังท่านพ่อซึ่งกำลังจิบชาอย่างละเมียดละไม
เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดกล่องออก แล้วส่งถังหูลู่ซึ่งเพิ่งซื้อมาให้พวกเขา
เด็กทั้งสามเขย่งปลายเท้า คนหนึ่งหยิบถังหูลู่คนละไม้ เดินเข้าไปตรงหน้าเถี่ยตั้นน้อย แล้วส่งถังหููลู่ไปตรงหน้าของเขา
ท่านน้า อย่าร้องไห้
เถี่ยตั้นน้อยได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในสกุลอวี๋เป็นอย่างดี เขาตัวสูงขึ้น ร่างกายกำยำ ไม่เจ้าเนื้อเหมือนเมื่อก่อน และดูแข็งแรงกว่าเดิม
อวี๋หวั่นลูบศีรษะเล็กๆ ของเถี่ยตั้นน้อย “เจ็ดขวบแล้ว”
เถี่ยตั้นน้อยซุกหน้าเข้ากับอ้อมกอดของอวี๋หวั่น เขารู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง อายุตั้งเจ็ดขวบแล้ว แต่ยังร้องไห้จนงอแงเช่นนี้ น่าอายเหลือเกิน…
อวี๋หวั่นไม่ได้หยอกล้อเขา เพียงแต่รู้สึกใจหายที่เขาโตเร็วเช่นนี้ ทั้งสูงและแข็งแรง ครอบครัวลุงใหญ่ดูแลเขาดีจริงๆ
“เจ้าตั้งใจเรียนหนังสือหรือเปล่า?” อวี๋หวั่นถาม
เถี่ยตั้นน้อยพยักหน้า เมื่อครู่เพิ่งร้องไห้ จมูกจึงแดงก่ำ พูดจากอู้อี้ “บทเรียนที่อาจารย์สอนข้าทำได้หมด! พี่รองกลับบ้านมาทุกเดือน ก็ช่วยตรวจแบบฝึกหัดให้ข้า ไม่เชื่อท่านถามพี่รองได้ ว่าข้าเรียนเป็นอย่างไร!”
อวี๋ซงยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มหล่อเหลาของบัณฑิตหนุ่มวาดผ่านใบหน้า
อวี๋ซงเห็นทีจะเป็นผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เขาไม่มีกลิ่นอายของเด็กชาวชนบทอีกต่อไป รอบกายของเขา
ดูประหนึ่งถูกแทนที่ด้วยไปกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียน มิน่าเล่าถึงกล่าวกันว่าสำนักบัณฑิตเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดของต้าโจว สามารถทำให้คนเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ นั่นมิใช่สิ่งที่สถาบันการศึกษาอื่นสามารถทำได้ และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งย่อมมาจากจากความพยายามของอวี๋ซงเอง เขาชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่เพียงเพื่อการสอบ แต่เขาเพลิดเพลินกับความรู้และการเปลี่ยนแปลงที่ตนได้รับจากโลกแห่งหนังสือ
อวี๋หวั่นแทบหาความเชื่อมโยงระหว่างพี่ชายคนนี้และเด็กหนุ่มชาวนาคนนั้นไม่ได้อีกต่อไป เขาคืออวี๋ซง เป็นเจี้ยนเซิงคนใหม่ซึ่งมีพรสวรรค์ที่สุดในสำนักบัณฑิต โลกแห่งการเรียนรู้นั้นไร้ขอบเขต อนาคตของเขาก็ไร้ขีดจำกัด
“ท่านพี่พูดกับข้าสิขอรับ!” เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่อวี๋หวั่นเบนความสนใจไปหาอวี๋ซง
“ได้ๆๆ พี่พูดกับเจ้าแล้ว” อวี๋หวั่นหันไปยิ้มให้อวี๋ซง
อวี๋ซงพยักหน้าน้อยๆ อวี๋หวั่นจึงหันกลับไปถามเถี่ยตั้นน้อยเรื่องบทเรียน เมื่อก่อนเถี่ยตั้นน้อยไม่ชอบอ่านหนังสือ ทว่าตั้งแต่ที่อวี๋ซงบอกว่าให้เขาตั้งใจเรียน แล้วพ่อแม่และท่านพี่จะกลับมา เขาก็มุ่งมั่นตั้งใจเรียนมากกว่าเด็กทั่วไป
ในหมู่บ้านมีสำนักการศึกษา นักเรียนที่ผลการเรียนดีที่สุดก็คือเขา!
อวี๋หวั่นเห็นว่าน้องชายพูดจาฉะฉาน ก็รู้สึกพอใจและสบายใจเป็นอย่างมาก
อวี๋ซงยืนพิงประตูมองสองพี่น้อง หากกล่าวให้จำเพาะเจาะจง ก็คือมองอวี๋หวั่น
แม้ว่าจะไม่พบกันนาน แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นจากความฝัน ผู้ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเขาก็คือเธอ
“อวี๋ซง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเรียก
“หืม?” อวี๋ซงหันหลังไปด้วยความประหลาดใจ แล้วมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังนั่งจิบชา “น้องเขย…มีอะไรหรือ”
เยี่ยนจิ่วเฉาถามว่า “ที่สำนักบัณฑิตสอนเดินหมากหรือยัง?”
อวี๋ซงพยักหน้า “สอนแล้ว”
อันที่จริง สำนักบัณฑิตไม่มีวิชาศิลปะการเดินหมาก แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ในสำนักบัณฑิตเป็นอะไร ทุกวันหลังเลิกเรียน ก็มักจะเรียกเขาเข้าไปในห้องหนังสือ และสอนเรื่องต่างๆ ซึ่งไม่มีสอนในชั้นเรียน เดิมทีคิดว่าอาจารย์ให้ความสำคัญกับเขา ภายหลังจึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่าอาจารย์น่าจะถูกผู้อื่นจ้างวานมา และเพื่อให้สอนความรู้ศาสตร์อื่นๆ แก่เขา
ความรู้เหล่านี้มิได้มีประโยชน์กับการเรียนในชั้นเท่าไรนัก แต่กลับเป็นการอบรมและเพิ่มพูนความสามารถ ที่เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้นั้น ส่วนหนึ่งก็ด้วยเหตุผลนี้
“น้องเขยอยากเดินหมากหรือ?” อวี๋ซงเดินเข้าไป
“ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มาเดินหมากกันดีกว่า” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างไม่รีบร้อน
“อ้อ เช่นนั้นข้าไปหยิบหมากก่อน!” อวี๋ซงเข้าไปในห้อง ครอบครัวของพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับขุนนางอยู่เป็นนิจ จึงมีของเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
อวี๋ซงหยิบกระดานหมากออกมา
หนึ่งปีมานี้เรียกได้ว่าอวี๋ซงอยู่ในสำนักบัณฑิตราวกับปลาได้น้ำ ความพยายามของเขาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่ได้มาโดยปราศจากความพากเพียร สำนักบัณฑิตเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูง กฎระเบียบเคร่งครัด การแบ่งชั้นเรียนก็เคร่งครัดไม่แพ้กัน เขาเคยเห็นบัณฑิตจากสกุลยากจนซึ่งถูกรังแกจนไม่กล้าไปเรียน เพียงเพราะเคยล่วงเกินคุณชายจากสกุลใหญ่
สำหรับเขาแล้ว นอกจากก่อนที่สถานะของเขาจะถูกเปิดเผย เขาก็เคยกระทบกระทั่งกับเจี้ยนเซิงคนอื่นๆ อยู่บ้าง
ทว่าภายหลังก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาอีก
ชีวิตของเขาที่นี่ มาจากความพยายามของเขากี่ส่วน มาจากอิทธิพลของน้องเขยอีกกี่ส่วน เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ เกรงว่าวิชาเรียนพิเศษที่เขาได้รับก็คงเป็นเพราะน้องเขยฝากฝังให้ จากที่เขาสังเกตดูแล้ว น้องสาวของเขาอาจยังไม่รู้เรื่องนี้
จะว่าไป อาหวั่นเป็นน้องสาวของเขาก็จริง แต่อายุของน้องเขย…มากกว่าเขาเสียอีก เขาเรียกว่าน้องเขยเช่นนี้…
ทันใดนั้นอวี๋ซงก็รู้สึกกระดากใจที่จะเรียกเยี่ยนจิ่วเฉาว่าน้องเขย
“สีดำเดินก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อวี๋ซงตั้งสติได้ จึงตระหนักได้ว่าตนเองหยิบหมากสีดำโดยไม่รู้ตัว เมื่อเริ่มประชันกัน หมากสีดำจะเริ่มเดินก่อน อวี๋ซงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาลอบคิดว่าตนเองไม่ควรหยิบหมากสีดำออกมาโดยไม่ถามก่อน แต่จะให้มาถามตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ
อันที่จริงเรื่องของเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋ซงก็เคยได้ยินมาบ้าง เขาไม่ร่ำไม่เรียน เสเพลตามใจตนเอง สี่ศาสตร์ทั้งฉิน หมาก การเขียนพู่กัน และการวาดภาพล้วนแต่ไม่ช่ำชอง มิได้สืบทอดความปราดเปรื่องของเยี่ยนอ๋องมาแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน อวี๋ซงแม้จะชาติกำเนิดไม่ดีนัก แต่มีสติปัญญาเป็นเลิศ
หากกล่าวถึงศาสตร์การเดินหมากแล้ว แม้เขาเพิ่งเคยเรียนมาไม่ถึงหนึ่งปี ทว่าอาจารย์ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป
เห็นแก่ที่น้องเขยช่วยเหลือเขามาตลอด เขาจะออมมือให้สักหน่อย
เมื่ออวี๋ซงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาแพ้อย่างเอน็จอนาถนัก เขาก็เริ่มประลองกับคุณชายเยี่ยนเป็นครั้งแรก ทว่าหลังจากเดินหมากไปหลายตา ก็เริ่มสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ก่อนหน้านี้ เยี่ยนจิ่วเฉาดูเหมือนว่าจะร่อแร่ไม่เป็นท่า เดินหมากไปซ้ายทีขวาที ไร้ซึ่งกลยุทธ์ใดๆ ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่อวี๋ซงพบว่าหมากของตนถูกอีกฝ่ายล้อมไว้หมดแล้ว จะพลิกกลยุทธ์ก็คงไม่ทัน จึงทำได้เพียงมองดูหมากสีดำของตนเองตาปริบๆ
นี่มัน…กลยุทธ์ระดับเทพเซียนอะไรกัน?!
ยกแรก อวี๋ซงพ่ายแพ้ราบคาบ
ยกที่สองเริ่มต้นขึ้น อวี๋ซงระมัดระวังมากขึ้น ในครั้งนี้ เขาให้เยี่ยนจิ่วเฉาเล่นหมากสีดำ
กล่าวกันว่ามุมสำคัญกว่าขอบ โดยทั่วไปหมากสีดำมักจะเริ่มเดินจากจุดยุทธศาตร์ซึ่งได้เปรียบ แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับไม่ทำเช่นนั้น เขาเริ่มวางหมากที่ขอบ อวี๋ซงรู้สึกฉงนใจ นี่มันกลยุทธ์อะไรกัน? ตนควรจะไปดักเขา…หรือวางหมากที่มุมดี?
อวี๋ซงครุ่นคิดอยู่นาน ยกก่อนหน้าเขาเริ่มเดินหมากจากมุมซึ่งได้เปรียบ ผลก็คือพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาเล่นหมากสีดำก็ไม่อาจเอาชนะได้แม้จะเริ่มเดินจากมุม ในยกนี้ เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องชนะให้ได้!
สุดท้ายแล้วก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาเอาชนะจนไม่เห็นฝุ่น
ความสามารถของเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าโดนเขาหลอก แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อ
กว่าอวี๋ซงจะตั้งสติได้ เวรเอ๊ย! แพ้อีกแล้ว!!! แพ้ได้อย่างไรกัน?!
อวี๋ซงไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียว!
หลังจากสองตาผ่านไป ในที่สุดอวี๋ซงก็เข้าใจแล้วว่าข่าวลือในเมืองหลวงนั้นโกหกทั้งเพ นี่หรือที่เรียกว่าไม่ช่ำชอง ถ้าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ช่ำชอง แล้วเขากับเหล่าอาจารย์ไม่นับว่าเละเทะไม่มีชิ้นดีเลยหรือ?
ยกที่สาม อวี๋ซงเดินหมากสีดำ
บังเอิญว่าในตอนนั้นเอง อวี๋หวั่นจูงเถี่ยตั้นน้อยออกมาจากห้อง ทั้งสองคนกำลังประชันฝีมือกันอยู่ อวี๋หวั่นและเถี่ยตั้นน้อยรู้สึกสนใจ สองพี่น้องจึงเดินเข้ามาหาพวกเขา
“ข้ายอมให้สามตา” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
“ไม่จำเป็น!” อวี๋ซงพูดด้วยความหนักแน่น
“เช่นนั้นห้าตา” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อ
เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี๋หวั่น อวี๋ซงไม่ยินดีที่จะให้เยี่ยนจิ่วเฉาอ่อนข้อให้ แต่เขาก็ไม่อยากแพ้ เพราะฉะนั้นห้าตาก็ห้าตา โอหังเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องชดใช้!
ผลก็คือเขาพ่ายแพ้ยับเยินยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก หรืออาจเรียกได้ว่าแพ้อย่างย่อยยับจนอุจาดตาก็คงได้ ในตอนนั้นเอง อวี๋ซงจึงตระหนักได้ว่าเมื่อสองยกก่อนหน้านี้เยี่ยนจิ่วเฉาเพียงหยอกเขาเล่น ครั้งนี้คงจะเป็นการแสดงความสามารถที่แท้จริง!
ยอมให้ห้าตา แต่ชนะเขาได้รวดเร็ว รุนแรง และเฉียบขาดกว่าไม่ยอมเขาอีก!
อวี๋ซงเจ็บใจเหลือเกิน
นี่มันคนหรือปีศาจ? เดินหมากดีๆ ไม่ได้หรืออย่างไร? ต้องทำให้เขาอับอายต่อหน้าอาหวั่น ดีใจมากไหม?!
คุณชายเยี่ยน: ดีใจมาก!!!
……
ลุงใหญ่เข้าครัว โดยมีอวี๋เฟิงและป้าสะใภ้ใหญ่เป็นลูกมือ ร่างกายของลุงใหญ่แข็งแรงขึ้นแล้ว เขาจึงทำงานหนักกว่าแต่ก่อน งานในเหมืองไม่มากพอหรืออย่างไร? อาหารก็นับเป็นอีกปัญหาหนึ่ง ลุงใหญ่เปิดโรงอาหารแห่งหนึ่ง จ้างลูกศิษย์และพ่อครัวฝีมือดีมาอีกสิบกว่าคน อวี๋เฟิงก็สืบทอดฝีมือการทำอาหารของเขา ทว่าเมื่อเทียบกับงานที่โรงอาหารแล้ว อวี๋เฟิงสนใจกิจการที่เหมืองมากกว่า
เขามีไหวพริบและความเด็ดขาดที่ผู้ทำธุรกิจพึงมี วิธีการพูดของเขามิได้ดูซื่อๆ เฉกเช่นเมื่อก่อน แต่ในใจของอวี๋หวั่นรู้ดีว่าเขายังคงซื่อสัตย์และจริงใจต่อไป๋ถังและครอบครัวไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ท่านพี่รู้ไหมว่าลูกศิษย์คนโปรดของลุงใหญ่คือใคร?” ระหว่างกินอาหาร เถี่ยตั้นน้อยก็กระซิบถามพี่สาวซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง
พี่น้องยังคงสนิทสนมกันเหมือนเมื่อก่อน
เรื่องชาติกำเนิดของตน อวี๋หวั่นไม่มีเวลาเล่าให้คนสกุลอวี๋ฟัง
“ใครหรือ?” อวี๋หวั่นคีบน่องห่านให้เขา
เถี่ยตั้นไม่ได้รีบร้อนตอบ เขาทำท่าทางมีลับลมคมใน แล้วบอกว่า “เหมาตั้นน่ะสิขอรับ! ลูกชายคนเล็กของป้าไป๋!”
ลูกชายคนโตของป้าไป๋สละชีพในสงครามที่ซีเป่ย นางจึงเหลือเพียงลูกสาวตัวน้อย และลูกชายคนเล็กซึ่งอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี
“พี่เหมาตั้น” อวี๋หวั่นยิ้มแล้วดึงใบหูของเขา
เถี่ยตั้นน้อยไม่ได้ใส่ใจว่าตนเองจะถูกดึงหู เดิมทีเขาตั้งใจเรียกเหมาตั้นตั้งแต่แรก ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากท่านพี่ต่างหาก!
เถี่ยตั้นกินข้าวอย่างมีความสุขแล้ว
เด็กน้อยทั้งสามก็กินข้าวเช่นกัน ปีก่อนพวกเขากินข้าวต้องมีคนป้อน ปีนี้พวกเขาหยิบจับตะเกียบกินเองได้อย่างคล่องแคล่ว อวี๋หวั่นดีใจและสบายใจเหลือเกิน
อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากกินอาหารเสร็จ เถี่ยตั้นน้อยก็พาลูกสมุนทั้งสี่ออกไปเล่นในหมู่บ้าน
อวี๋หวั่นยังอยู่ในบ้าน เธอเล่าประสบการณ์ในหนานจ้าวให้ลุงใหญ่ฟัง ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยาถอนพิษของเยี่ยนจิ่วเฉานั้นเธอไม่ได้เอ่ยถึง เพราะไม่อยากให้พวกเขาลำบากใจ พวกเขาจึงคิดว่าอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ในหนานจ้าวมาโดยตลอด
ส่วนเรื่องภูมิหลังของอวี๋หวั่นนั้นได้แพร่สะพัดมาถึงต้าโจวตั้งนานแล้ว อวี๋ซงอยู่ในสำนักบัณฑิต เขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง หลังจากที่อาม่ากลับมาถึงหมู่บ้าน เขากับคนสกุลอวี๋จึงไปให้อาม่ายืนยันอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งที่ควรตกใจ พวกเขาก็ตกใจไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้ฟังที่อวี๋หวั่นเล่าอีกครั้ง พวกเขาก็ตกใจกับเรื่องอื่นอีก
“ข้าบอกแล้วว่าน้องสามกับน้องสะใภ้ต้องไม่ธรรมดา…เสี่ยวซง เจ้าเรียกว่าอย่างไรนะ?” ป้าสะใภ้ใหญ่หันไปถามอวี๋ซง
อวี๋ซงตอบว่า “เหนือปุถุชน”
“ใช่ๆๆ! นั่นแหละ!” ป้าสะใภ้ใหญ่บอก
ไป๋ถังอิจฉาเหลือเกิน เด็กคนนี้โชคดีเกินไปแล้วกระมัง? อยู่ดีๆ ท่านพ่อก็กลายเป็นผู้สืบทอดจวนสกุลเห้อเหลียน ท่านแม่เป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว พ่อสามีก็เป็นถึงเยี่ยนอ๋อง พ่อเลี้ยงของสามีเป็นเทพสงครามแห่งต้าโจว ส่วนสามีของนางก็เป็นซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน…
ไป๋ถังยังไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ ถ้าหากนางรู้ เกรงว่าคงจะเป็นลมล้มพับไปอย่างแน่นอน
“อ๋าาา!” ไป๋ถังกอดแขนของอวี๋หวั่น “ข้าต้องกลับไปถามพ่อข้าบ้างแล้วว่าเขาถูกคนสกุลไป๋เก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า!”
ทุกคนในห้องหัวเราะครืน!
ที่จริงแล้ว อวี๋หวั่นคิดว่าชาติกำเนิดของตนเองแม้จะดี แต่เธอก็ประสบพบเจอกับความลำบากมาไม่น้อย ชะตาชีวิตของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิดเพียงอย่างเดียว ดูอย่างเหยียนหรูอวี้ ชาติกำเนิดของนางดีหรือไม่เล่า? หนานกงเยี่ยนเป็นอย่างไร? แล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหมิงตู กับราชินีแม่มดเล่า…พวกนางล้วนแต่ยืนอยู่ในจุดที่สูงจนไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามอง กระนั้นพวกนางก็ล้วนแต่มีจุดจบที่น่าสลด นี่ไม่ใช่โชคชะตา หากแต่เป็นทางที่เลือกเดินด้วยตนเอง
ต่อให้เธอไม่ใช่คุณหนูสกุลเห้อเหลียน ไม่ใช่องค์หญิงแห่งหนานจ้าว เธอรู้สึกว่าตนโชคดี โชคทีที่ได้มาพบคนสกุลอวี๋ โชคดีที่มีพ่อแม่ที่รักเธอที่สุดในโลก และโชคดีที่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุด…
เรื่องของเยี่ยนอ๋อง คนสกุลอวี๋ไม่กล้าถามต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาถูกอวี๋ซงเรียกไปตกปลา ป้าสะใภ้ใหญ่และไป๋ถังก็ดึงอวี๋หวั่นเข้าไปในห้อง และแอบถามว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้นจริงหรือไม่
“เยี่ยนอ๋องยังมีชีวิตอยู่ หลายปีมานี้เขาเป็นราชบุตรเขยที่หนานจ้าวจริงหรือ?” ไป๋ถังเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกายเปี่ยมความอยากรู้อยากเห็น
ป้าสะใภ้ใหญ่มองไปยังอวี๋หวั่นด้วยความสับสน
ตอนนั้นเอง อวี๋หวั่นก็สัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ดีเหลือเกิน จะไม่ดีได้อย่างไรละ? ทั้งคู่เหมือนกับสามารถส่งกระแสจิตถึงกันได้อย่างไรอย่างนั้น!
แต่ก็ไม่นับว่าแปลก อันที่จริงเรื่องของเยี่ยนอ๋องก็น่าสงสัยเหลือเกิน ต่อให้เป็นเธอก็คงอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ได้ยินว่าตอนนี้ที่โรงน้ำชามีนักเล่าเรื่องเพิ่มมามากกว่าแต่ก่อนอีก
อวี๋หวั่นพยายามนึกคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเยี่ยนอ๋องความจำเสื่อม จำไม่ได้ว่าตนเองเป็นคนต้าโจว ภายหลังจำได้ จึงกลับมา”
“ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ?” ไป๋ถังไม่เชื่อ
ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ไม่เชื่อ
ดูสิ มีที่ไหนกันแม่สามีลูกสะใภ้ นี่มันแม่ลูกกันชัดๆ!
อวี๋หวั่นกระแอม แล้วตอบว่า “จริงๆ ก็ง่ายอย่างนี้แหละ”
อวี๋หวั่นสาบานได้ว่าทุกคำที่เธอพูดล้วนเป็นเรื่องจริง เยี่ยนอ๋องสูญเสียความทรงจำ เพียงแต่ถูกบังคับให้สูญเสียความทรงจำ และเขากลับมาหลังจากที่จดจำเรื่องราวได้ เพียงแต่เขาจัดการตี้จีองค์เล็กก่อนแล้วจึงกลับมา
แต่รายละเอียดของเรื่องนี้ อวี๋หวั่นพูดไม่ออก…
…………………..