หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 2.1 ย่าหลานพานพบ (1)
จี้สิงชวนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าสำนักก็พาหวั่นเฟิงออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก ตอนนี้เว่ยหรูเยียนรับหน้าที่เป็นเจ้าบ้านในสำนักเพียงคนเดียว ในสำนักมีผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ แต่เว่ยหรูเยียนมีไหวพริบและฉลาดเฉลียว ไม่เคยเสียรู้เหล่าผู้อาวุโส แน่นอนว่านางก็มิได้ทำให้บรรดาผู้อาวุโสต้องขายหน้า ทั้งสองฝ่ายจึงสามารถรักษาสมดุลระหว่างกันและกันได้
“วันนี้พวกท่านพักอยู่ที่เรือนหมิงฟางกันก่อน” เว่ยหรูเยียนบอกกับอวี๋หวั่น
เรือนหมิงฟางอยู่ใกล้กับเรือนของหวั่นเฟิงและเว่ยหรูเยียนที่สุด บรรยากาศเงียบสงัด ประดับประดาอย่างวิจิตรบรรจง เหมาะกับคุณชายเรื่องมากบางคน
“ขอบคุณ” อวี๋หวั่นยิ้ม
เว่ยหรูเยียนตอบว่า “เรื่องเล็กน้อย ถ้าหากท่านรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ก็อยู่ที่นี่อีกสักพัก ข้าให้คนไปแจ้งกับหวั่นเฟิงว่าท่านมา ไม่แน่ว่าเขาอาจกำลังเร่งเดินทางกลับมา”
เว่ยหรูเยียนเป็นคนฉลาด ความรู้สึกที่หวั่นเฟิงมีต่ออวี๋หวั่นนั้นเรียบง่ายกว่าความรู้สึกที่เจียงไห่มีให้อวี๋หวั่น แต่บนโลกนี้ จะมีภรรยาคนใดชอบใจที่สามีของตนคะนึงหาสตรีซึ่งไม่ได้ร่วมสายเลือดกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกซาบซึ้งหรือเคารพรักที่หวั่นเฟิงมีต่ออวี๋หวั่น หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น อาจรู้สึกหึงหวงไปแล้ว แต่เว่ยหรูเยียนกลับยินดีในความยินดีของหวั่นเฟิง และเคารพในสิ่งที่หวั่นเฟิงเคารพ
อวี๋หวั่นพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นับเป็นโชคของหวั่นเฟิงที่ได้แต่งงานกับเจ้า แต่ว่า…เจ้าอย่ารังแกเขาละ” เว่ยหรูเยียนฉลาดเฉลียวมากแผนการ หวั่นเฟิงตามนางไม่ทันอย่างแน่นอน
เว่ยหรูเยียนยกมือขึ้นปิดหน้าหัวเราะ นางมองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใคร จึงเข้าไปกระซิบข้างหูของอวี๋หวั่นว่า “ข้ารักเขาจะตายไป จะไปรังแกเขาได้อย่างไร? มีแต่เขาที่รังแกข้า”
คำว่ารังแกที่นางพูดถึง มิได้หมายความว่ารังแกตามรูปศัพท์
เมื่ออวี๋หวั่นเข้าใจสิ่งที่นางกำลังพูดถึง เธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดต่อว่าอย่างไร แม่นางเว่ยเจ้ากล้านินทาสามีอย่างนี้ด้วยหรือ? พูดเสียจนเธอเห็นภาพเชียว!!!
เมื่อเห็นท่านทางกระดากอายของอวี๋หวั่น เว่ยหรูเยียนก็ยกมือขึ้นกุมท้อง หัวเราะร่า
หวั่นเฟิงอายุน้อยกว่าเว่ยหรูเยียนสองปี พวกเขาอายุยังน้อย จึงไม่มีคำว่าเกินพอดี แต่เว่ยหรูเยียนไม่ได้คิดจะเป็นภรรยาของเขาเพียงวันสองวัน นางอยากเติบโตไปกับเขา อยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่า ย่อมต้องรักษาสุขภาพตนเองให้ดี
เว่ยหรูเยียนอนุญาตให้เขาเข้ามาในห้องเพียงเดือนละสองครั้ง แต่สองครั้งนั้น…
อืมมม
เว่ยหรูเยียนหน้าแดงก่ำ
อวี๋หวั่นและเว่ยหรูเยียนมิได้ไปมาหาสู่กันบ่อยนัก แต่กลับเข้ากันได้ดี หากอวี๋หวั่นไม่ได้ตั้งครรภ์ เว่ยหรูเยียนคงคุยกับอวี๋หวั่นทั้งคืน
เว่ยหรูเยียนเห็นว่าอวี๋หวั่นแลดูอ่อนเพลีย จึงพูดว่า “เอาละ ท่านไปนอนเถิด ข้าช่วยดูเด็กๆ เอง”
อวี๋หวั่นง่วงแล้ว แต่เด็กทั้งสามยังคงมีพละกำลังเหลือเฟือ วิ่งไปมาด้วยความตื่นเต้น
ครั้งก่อนที่อวี๋หวั่นมาที่สำนักเฟยอวี๋ เด็กๆ ไม่ได้มาด้วย กระนั้นเว่ยหรูเยียนก็เคยได้ยินจากหวั่นเฟิงว่าเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นมีลูกแฝดสาม เว่ยหรูเยียนเพียงได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจแล้ว เมื่อได้เห็นกับตาก็ยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
เว่ยหรูเยียนได้ยินแต่เสียง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา…
…เด็กผิวคล้ำ จนกลืนไปกับความมืดจนเป็นเนื้อเดียวกัน!
ครั้นเด็กทั้งสามวิ่งเล่นจนเหนื่อย พวกเขาก็วิ่งมาตรงหน้านาง แล้วยื่นมือเล็กออกมา
“ท่านน้า อุ้ม” เอ้อร์เป่าบอก
เว่ยหรูเยียนอุ้มเขา
ผลก็คือนางอุ้มพวกเขาจนแขนชา
แต่เว่ยหรูเยียนก็ยังชอบพวกเขา ตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ ร่าเริงสดใส กินง่าย ไม่กลัวคนแปลกหน้า ไม่ร้องไห้งอแง ทั้งยังหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เป็นเด็กที่เว่ยหรูเยียนจินตนาการเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน
พูดตามตรง ถ้าเว่ยหรูเยียนไม่กลัวถูกพ่อแม่ของเด็กๆ ตีตาย นางคงจะแอบขโมยเด็กไปสักคน!
พวกเขาพักอยู่ในสำนักหนึ่งคืน ตุนของเพิ่มเล็กน้อย และเปลี่ยนม้า พวกเขารีบเร่งเดินทางมานาน นอกจากเจียงจวินซึ่งยังคงมีกำลังวังชาล้นเหลือ ราวกับไม่มีวันใช้หมด ม้าตัวอื่นๆ ล้วนแต่เหนื่อยล้าเต็มที
เว่ยหรูเยียนเปลี่ยนม้าฝีเท้าดีที่สุดในสำนักให้พวกเขา ทั้งยังเปลี่ยนรถม้าให้ใหม่ พร้อมกับปูเบาะรองนั่งซึ่งนั่งเบาและนุ่ม เหมาะกับคนกำลังท้องกำลังไส้และเด็กๆ นอกจากนั้นก็ยังมีแม่แพะอีกตัวหนึ่งซึ่งใช้สำหรับรีดน้ำนม
เว่ยหรูเยียนไม่ได้เตรียมแม่แพะไว้เพียงเพื่อเด็กๆ ทั้งสาม นางยังเป็นห่วงว่าอวี๋หวั่นจะคลอดลูกก่อนที่จะถึงบ้าน เผื่อว่าน้ำนมของเธอไม่พอให้ลูกกิน ทารกจะได้กินน้ำนมแพะไปก่อน
“เจ้าช่างเอาใจใส่จริงๆ” เป็นอีกครั้งหนึ่งที่อวี๋หวั่นรู้สึกว่าหวั่นเฟิงนั้นโชคดีที่มีภรรยาซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถอย่างเว่ยหรูเยียน
เว่ยหรูเยียนจับมืออวี๋หวั่น “ท่านจะไม่อยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อยหรือ? หวั่นเฟิงรู้ข่าวแล้ว เขากำลังเร่งเดินทางมา”
“เรื่องนี้ไม่อาจรอช้า พวกข้าอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ ฝากเจ้าขอบคุณหวั่นเฟิงแทนข้าด้วย” ที่เว่ยหรูเยียนดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนางเห็นแก่หน้าหวั่นเฟิง อวี๋หวั่นเพียงกล่าวขอบคุณอาจน้อยเกินไป เธอจึงหยิบจดหมายซึ่งเขียนเมื่อคืนและของขวัญแทนคำขอบคุณออกมามอบให้เว่ยหรูเยียนก่อนที่พวกเขาจะเดินทางต่อ
เป้าหมายต่อไปของพวกเขาก็คือหนานจ้าว พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองหลวง ขึ้นไปทางเหนือ ผ่านตำบลชิงเหอเพื่อเข้าสู่เขตแดนของต้าโจว
ครั้นเดินทางมา พวกเขาผ่านเส้นทางที่ค่อนข้างคดเคี้ยวและวกวน ทว่าในครั้งนี้เว่ยหรูเยียนมอบแผนที่ซึ่งใช้ภายในสำนักเฟยอวี๋ให้พวกเขา แผนที่นี้บันทึก ‘เส้นทางทางการ’ ของสำนักเฟยอวี๋ ภายในเวลาไม่ถึงสิบวัน พวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของหนานจ้าว
เด็กน้อยทั้งสามกำลังหลับสนิท อวี๋หวั่นแง้มม่านดู ก็พบว่าบนถนนสายยาวซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน
ต่างจากในภาพความทรงจำของเธอมาก “ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ข้ารู้สึกว่าเมืองหลวงคึกคักกว่าเดิมมาก…”
เธอเดินทางออกจากหนานจ้าวในเดือนหนึ่ง ตอนนี้ก็ใกล้เทศกาลสารทจีนแล้ว วันเวลาเดินไปเร็วเหลือเกิน ไม่ทันไรก็จะสิ้นเดือนเจ็ดแล้ว มานึกดูแล้ว ตอนที่เธอเดินทางออกจากหนานจ้าว เธอยังไม่รู้ตัวว่าตั้งท้อง เมื่อไปถึงสำนักเฟยอวี๋แล้วจึงรู้ว่าตนเองตั้งท้องได้เดือนกว่าแล้ว
อวี๋หวั่นลูบท้องซึ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ฮูหยินน้อย ใกล้ถึงจวนเทพสงครามแล้วขอรับ” อิ่งลิ่วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาจากด้านนอกรถ
ใช่แล้วละ ใกล้ถึงจวนเทพสงครามแล้ว เธอควรบอกเรื่อง ‘ชาติกำเนิด’ ของตนเองให้ท่านพ่อโง่เง่าคนนี้รู้ แต่จะทำอย่างไรดี เขาถึงจะรู้สึกไม่ตกใจ?
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังเค้นสมองอย่างหนักเพื่อหาสารพัดวิธีมาบอกเจ้าพ่อบ้าอารมณ์แปรปรวนคนนี้ว่าตนเองเป็นคุณหนูจากจวนเทพสงคราม ท่านพ่อของเธอเป็นผู้สืบทอดมรดกของจวนเทพสงครามนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเตรียมตัวลงจากรถ ประเดี๋ยวเข้าไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากับลุงใหญ่ เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเขาเป็นมิตร”
อวี๋หวั่น “…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นว่าอวี๋หวั่นมีสีหน้าสับสน จึงขมวดคิ้ว “ทำไม? ข้าไม่เคยบอกเจ้าหรือว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นคนของสกุลเห้อเหลียน?”
อวี๋หวั่นนึกอยากโต้แย้ง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เอาเถอะ ท่านจะพูดอะไรก็พูดไป จำเรื่องพวกนี้ได้บ้างก็ดีแล้ว
หลังจากลงจากรถม้า อิ่งลิ่วก็เดินมาหาอวี๋หวั่นด้วยท่าทางระแวดระวัง “คุณชายเขา…”
อวี๋หวั่นมองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งเดินดุ่มเข้าไปในประตูใหญ่จวนเทพสงครามอย่างผึ่งผาย เธอเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียนน่ะหรือ?”
อิ่งลิ่วอ้าปากค้าง “อา…”
ก่อนหน้านี้คุณชายปลอมตัวเป็นคุณชายใหญ่ของสกุลเห้อเหลียน เหตุใดอยู่ๆ ก็นึกเรื่องที่ตนเองปลอมตัวออกเล่า ทั้งยังคิดว่าตนเป็นตัวจริงอีก? วุ่นวายไปหมดแล้ว
……
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนอนกลางวันอยู่ในห้อง จื่อซูนั่งทุบขาให้นาง ทันใดนั้นฝูหลิงก็เปิดม่านเดินเข้ามา
ตอนที่อวี๋หวั่นออกจากหนานจ้าวไป เธอไม่รู้ว่าตนเองตั้งท้อง ไม่คิดว่าตนเองต้องการสาวใช้มาคอยดูแล และคิดว่าไม่ควรมีคนเดินทางไปด้วยมากเกินจำเป็น ดังนั้นจึงให้ทั้งสองอยู่ที่นี่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รักและเอ็นดูทั้งสอง จึงให้ทั้งสองมาคอยรับใช้ข้างกาย
อยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ามานาน ได้เรียนรู้กฎระเบียบต่างๆ มาไม่น้อย พวกนางย่อมรู้ดีว่าตามหลักแล้ว ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังนอนกลางวัน ไม่ควรทะเล่อทะล่าเข้ามา
แต่จื่อซูก็ไม่ใช่คนโง่ นางรีบถามฝูหลิงว่า “มีอะไร ในจวนเกิดเรื่องขึ้นหรือ?”
ฝูหลิงตอบว่า “คุณชายกับฮูหยินน้อยกลับมาแล้ว!”
“ใคร? ใครกลับมาแล้วนะ?” ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นด้วยความตื่นเต้น
จื่อซูส่งสายตาให้ฝูหลิง ฝูหลิงจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “คุณชายใหญ่กับฮูหยินน้อยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นเต็มตาในทันใด นางรีบเลิกผ้าห่มผืนบางขึ้น “ไอ้หยาาาาา หลานชายคนดีของข้ากลับมาแล้ว! รีบหยิบชุดที่ข้าเพิ่งตัดใหม่ออกมาเร็ว!”
จื่อซูยิ้มร่า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปหยิบมาเดี๋ยวนี้ ท่านไม่ต้องรีบร้อนนะเจ้าคะ พวกเขาอยู่หน้าประตู อีกสักพักกว่าจะเข้ามา”
ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มร้อนรน “ไอ้หยา! ข้าว่าวันนี้เจ้าพูดมากเป็นพิเศษนะ!”
………………